SOMETHING05:เริ่มอ่อย

1366 Words
SOMETHING 5 ************************ เพล้ง! นี่คือเสียงเศษหน้าของฉันที่แตกละเอียดจนต่อไม่ติด หน้าแตกหมอไม่รับเย็บด้วย อะไรจะน่าอายกว่านี้มีอีกมั้ย ให้ตายเถอะ เขากำลังทำให้ฉันเป็นบ้าแล้วนะ อยู่ด้วยไม่ทันข้ามวันฉันเริ่มจะทนกับเขาไม่ไหวแล้วอ่ะ เมื่อไหร่จะผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้นะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้ก็มีเรียนเช้าด้วยแถมเพื่อนก็ไม่มีสักคน จะหาเพื่อนดีๆ ได้จากที่ไหน อ๊ะ...อะ...อ๊า...อ๊ะ...อ่า...อะ... ฉันหันไปมองหน้าโฟร์เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนผู้หญิงร้องครวญครางออกมา มันดังมาจากฝั่งที่เขานั่งอยู่ เป็นไปได้เหรอที่เขาพกผู้หญิงเอาไว้ในกระเป๋าด้วย โฟร์หยิบไอโฟนในกระเป๋าของตัวเองออกมาก็เห็นว่ามันเป็นเสียงริงโทนของเขา OMG! เขาใช้เสียงนี้เป็นเสียงริงโทนเหรอ เสียงผู้หญิงร้องเนี่ยนะ ฉันคิดว่าตัวเองคงอยู่ร่วมห้องกับไอ้โรคจิตแล้วล่ะ ไม่ปลอดภัยต่อชีวิตยังไงไม่รู้ จะเรียนจบหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยกลัวว่าจะได้เสียตัวให้เขาก่อน “คืนนี้ไม่ว่างว่ะ” เขารับสายแล้วกรอกเสียงกลับไปอย่างเซ็งๆ ก่อนจะปรายตามามองฉันที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว ที่ฉันมองเขาอยู่ตลอดเวลาเป็นเพราะฉันไม่อยากพลาด เพราะถ้าเขาคิดที่จะทำอะไรฉันขึ้นมาฉันก็พร้อมที่จะป้องกันตัว “มีรูมเมทแล้วว่ะ...พรุ่งนี้เดี๋ยวกูไปหา” “...” ตอนนี้โฟร์วางสายไปแล้ว เขาหันมายิ้มให้ฉันเล็กน้อยก่อนจะเก็บไอโฟนเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม “เพื่อนมันแกล้งใช้เสียงนี้น่ะ” โยนความผิดให้เพื่อนเฉยเลย ฉันรู้หรอกว่าเขามันเป็นโรคจิต ฉันสังเกตพฤติกรรมเขามาสักพักแล้ว แล้วไอ้ของที่เขามาเอากับเพื่อนต้องเป็นของไม่ดีแน่ๆ ฉันไม่น่าหลวมตัวมากับเขาเลย “เธอเรียนอยู่คณะไรอ่ะ?” “ระ...รัฐศาสตร์” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ เขาก็โยนคำถามมาให้ฉัน ฉันหันไปมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังเพ่งสมาธิในการขับรถอยู่ “ทำไมถึงเลือกเรียนรัฐศาสตร์?” “มันไม่มีคำนวณน่ะ คือฉันไม่เก่งคำนวณ” ฉันตอบตามความจริง จะเรียกว่าฉันโง่ก็ได้ คือที่ฉันต้องมาเรียนก็ไม่ได้ชอบอะไรหรอกนะ แค่อยากเรียนโดยที่ไม่มีอุปสรรคก็เท่านั้น กว่าจะผ่านมอหกมาได้ก็เล่นเอาเกือบตายแน่ะ “จบไปอยากทำงานอะไร?” ฉันมองหน้าโฟร์อย่างงุนงง ทำไมต้องถามเป็นทางการด้วย แล้วทำไมต้องอยากรู้เรื่องของฉัน อีกอย่างเขาจะรู้ไปทำไมในเมื่อเราอยู่ด้วยกันแค่หนึ่งปี เขาไม่จำเป็นต้องรู้มากไปกว่านี้ก็ได้นะ “ที่จริงฉันอยากเป็นพยาบาล อยากจบมาสามารถใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาดูแลพ่อแม่ได้” สุดท้ายฉันก็ต้องตอบเขา มันก็ไม่ได้เป็นคำถามที่ตอบยากเท่าไหร่ ฉันอยากเป็นพยาบาลจริงๆ อยากเก่งเหมือคนอื่นๆ ช่วยเหลือคนป่วย แค่เห็นว่าพวกเขาหายดีเพราะเราช่วยเหลือฉันก็ดีใจมากแล้วล่ะ “อยากเป็นพยาบาลแต่เลือกมาเรียนรัฐศาสตร์?” “ฉันเรียนไม่เก่งอ่ะ เลยสอบเข้าไม่ได้” น่าอายใช่มั้ยที่ต้องพูดความจริงออกมาแบบนี้ แต่ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ฉันสบายใจที่จะพูดความจริงมากกว่าโกหกแล้วตัวเองต้องเป็นทุกข์ โฟร์หัวเราะในลำคอก่อนจะหันมามองหน้าฉันที่นั่งทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆ ก็ถูกเขาหัวเราะใส่แบบนี้ “ฉันว่าเธอเก่งนะรันนี่” โฟร์เลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดรถหลังหอพักก่อนจะขยับตัวมาพูดกับฉัน “เรียนรัฐศาสตร์ใครว่าโง่ จบมาแล้วสอบเป็นปลัดได้เลยนะ อีกอย่างคณะนี้ส่วนมากแล้วเน้นความจำนี่เธอคงจะเก่งเรื่องการจำใช่ป่ะล่ะ?” “ใช่มั้ง” ฉันเองก็ไม่มั่นใจตัวเองเหมือนกันว่าได้เก่งจริงๆ หรือเปล่า แต่เวลาที่สอบผลคะแนนออกมาฉันก็ได้เยอะกว่าเพื่อนร่วมคลาสตลอดเลย บางทีฉันอาจจะไม่ได้เกิดมาเป็นพยาบาลอย่างที่ตัวเองชอบก็ได้ แต่เรียนคณะนี้ก็ไม่ได้แย่นะ ฉันว่ามันสนุกและท้าทายดี เวลาที่ต้องเข้าห้องสอบแล้วเห็นว่าข้อสอบเป็นบทวิเคราะห์ เหมือนให้เราแสดงความคิดเห็นของตัวเองลงไป “แล้วนายล่ะเรียนคณะอะไรเหรอ?” “แพทย์” ฉันมองหน้าโฟร์อย่างไม่เชื่อ เขาเนี่ยนะเรียนแพทย์หน้าไม่ให้เอามากๆ เลย พอเห็นว่าฉันทำหน้าไม่เชื่อเขาก็เอี้ยวตัวไปหยิบซองเอกสารอะไรสักอย่างออกมาแล้วเปิดให้ฉันดู “นี่คือบัตรประจำตัวนักศึกษาของฉัน” “เรียนแพทย์ศัลยกรรมเหรอ?” เขาต้องเก่งมากแน่ๆ เลยอ่ะ ถึงจะสอบเข้าได้ แค่สอบเข้าไม่เท่าไหร่หรอก แต่เรียนนี่สิฉันว่ายากยิ่งกว่า “ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อเลยนะเธอ” เขาเก็บบัตรนักศึกษาไว้ตามเดิม ใครจะไปเชื่อล่ะ ดูจากท่าทางและห้องพักที่เขาอยู่ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเรียนแพทย์ “ไม่ใช่แค่เธอหรอกนะที่ไม่เชื่อ ผู้หญิงคนอื่นๆ ก็ไม่เชื่อเหมือนกัน เพราะการวางตัวของฉันมันไม่เหมือนนักศึกษาแพทย์” “ทำไมถึงเลือกเรียนสาขาศัลยกรรมล่ะ ชอบความสวยความงามเหรอ?” อดถามไม่ได้อ่ะ ฉันอยากรู้ว่าเขามีความคิดยังไงถึงได้เลือกเรียนสาขานี้ มันยากกว่าสาขาอื่นๆ อีกนะ “ฉันชอบความท้าทายน่ะ ยิ่งยากก็ยิ่งอยากค้นหา” สายตาของโฟร์ไล่มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ทำให้ฉันรู้ว่าประโยคที่เขาพูดเมื่อกี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องเรียนแล้ว แต่หมายถึงอย่างอื่นมากกว่า ฉันรีบลงจากรถและตรงดิ่งไปที่ลิฟต์ทันที โฟร์เองก็เดินตามฉันมาติดๆ คุยเรื่องอื่นได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องวกกลับมาเรื่องอะไรก็ไม่รู้ “เดินเร็วขนาดนี้กลัวห้องหายหรือไงครับ” “ปวดฉี่” ฉันหันไปตอบเขาก่อนจะวิ่งเข้าลิฟต์และไม่รอให้เขาเข้ามาด้วย พอประตูลิฟต์กำลังจะปิดโฟร์ก็สอดมือเข้ามาทันทำให้ลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง “ฉันก็ปวด” เขาอมยิ้มให้ฉัน ฉันได้แต่ก้มหน้ามองมือตัวเองที่มันสั่นเทาเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง “ถ้าลิฟต์ค้างเราจะหาไรทำแก้เซ็งดี” “...” นี่ปากคนเหรอที่พูดอ่ะ สิ่งไหนที่มันไม่ดีทำไมชอบพูดจัง แล้วไอ้สายตาที่มองฉันอย่างจาบจ้วงนี่ขอร้องเหอะให้เลิกทำได้แล้ว นี่ถ้าเขาได้เป็นหมอจริงๆ สาบานได้เลยว่าฉันจะไม่ไปใช้บริการเลย เดี๋ยวนะ! ที่เขาบอกว่าอยากเรียนสาขาศัลยกรรมอาจเป็นเพราะเขาจะได้เห็นหน้าอกผู้หญิงตอนที่ทำนมหรือเปล่า ต้องใช่แน่ๆ เลย ผู้ชายคนนี้ชอบเรื่องลามกแน่ๆ ไม่ได้แล้วฉันควรจะอยู่ห่างจากเขา “อย่าเงียบดิมันน่ากลัว” โฟร์ขยับตัวเข้ามาเบียดชิดฉัน ทำให้แขนของเราแนบติดกันไม่มีช่องว่างเอาไว้ให้หายใจเลย “ฉันกลัวผีนะ” เขาไม่ได้พูดอย่างเดียวแต่ร่างกายก็ทำด้วย โดยการโอบกอดฉันอย่างถือวิสาสะ ทำให้ฉันหมดความอดทนที่จะทนอยู่เฉยต่อไปได้ ฉันผลักเขาให้ออกห่างจากตัวก่อนจะชี้หน้าเขาด้วยความโกรธ “หน้าอย่างนายน่ะเหรอกลัวผี” โฟร์จับหน้าอกตัวเองเพราะเมื่อกี้ฉันผลักหน้าอกเขาแรงเหมือนกัน แต่ใครสนล่ะฉันไม่ชอบให้ผู้ชายมาถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ พูดจาแทะโลมได้นะแต่อย่าแตะต้องตัวฉัน ร่างกายของฉันมีค่าพ่อแม่เป็นคนสร้างมาให้ฉันก็รักของฉันเหมือนกัน “ผีต่างหากมั้งที่ควรกลัวนาย”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD