จูผิงถึงกับต้องซดยาบำรุงร่างกาย นางรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง ขาสั่นงันงกเมื่อย่างก้าว เมื่อคืนนางโดนเขารังแกหนักมาก ทำกับนางราวกับอดอยากปากแห้งมาแรมปี กว่านางจะได้หลับพักผ่อนก็เกือบเช้า
แต่ถึงกระนั้นนางก็ต้องฝืนตัวลุกตื่นแต่เช้า ตระเตรียมสำรับมื้อเช้าสำหรับฮูหยินผู้เฒ่า นี่เป็นสิ่งที่นางตั้งใจทำเป็นประจำทุกวัน ถ้าไม่มีฮูหยินผู้เฒ่า ปานนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้างไม่รู้
จูผิงเป็นเด็กกำพร้า บิดามารดาป่วยเสียชีวิตด้วยโรคระบาด ตอนนั้นนางอายุเพียงแปดขวบ จึงจำต้องมาอาศัยอยู่กับป้า ซึ่งเป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของนาง
แต่ป้าของนางก็ภาระเยอะอยู่แล้ว อีกทั้งฐานะก็ยากจนข้นแค้น ไม่สามารถรับเลี้ยงนางได้ จึงตัดปัญหาด้วยการขายนางให้กับหอนางโลมไปเสีย ไม่ต้องรับภาระเพิ่ม อีกทั้งยังได้เงินก้อนโตมาใช้
แต่จูผิงไม่อยากเป็นนางโลม นางจึงหนีหัวซุกหัวซุน จนได้บังเอิญมาเจอกับฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางก็นึกสงสาร จึงช่วยเหลือไถ่ถอนตัวนางออกมา แล้วรับมาอยู่ที่จวนในฐานะสาวใช้ เดิมที่จูผิงเป็นสาวใช้อยู่ที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า จนนางพ้นวัยปักปิ่นก็โดนขอตัวให้ไปอยู่ที่เรือนอักษรของคุณชายรอง
และนางก็ได้เริ่มรับใช้เขาบนเตียงตั้งแต่ตอนนั้น…
“อาหยางมาหาย่าแล้วรึ”
“ขอโทษท่านย่า ที่เมื่อวานไม่ได้มาหาท่าน วันนี้เลยตั้งใจมาหาท่านย่าแต่เช้า”
นางได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นหูถึงกับต้องชะงักฝีเท้า ก่อนจะเดินถือถาดอาหารเข้าไปด้านใน
เมื่อเขาเห็นนางก็ยกยิ้มให้
จูผิงจึงรีบจัดสำรับอาหารขึ้นโต๊ะ อาหารพวกนี้นางเป็นคนลงมือทำเอง ส่วนมากจะเป็นอาหาร อ่อนๆ เพราะฮูหยินผู้เฒ่าอายุปาเข้าไปแปดสิบแล้ว เคี้ยวกลืนไม่ค่อยสะดวกเท่าใด แต่ร่างกายยังแข็งแรง ส่วนความจำก็ยังดีด้วยเช่นกัน
จูผิงไม่ลืมจัดสำรับมาให้เขาอีกชุด ก่อนจะถอยออกไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่เงียบๆ
หลังมื้อเช้าสองย่าหลานพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันตามประสาอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เฉินซือหยางจะขอตัวลา เขาเดินผ่านนาง แล้วเปล่งเสียงลอดไรฟัน “กลับเรือน”
จูผิงก้มหน้านิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน นางกลัวว่ากลับไปแล้วเขาจะรังแกนางอีก ตอนนี้นางยังระบมอยู่เลย
“จูผิง! เจ้าอย่าลืมรีบกลับไปทำความสะอาดห้องหนังสือให้ข้าด้วย ฝุ่นที่นั่นเยอะเสียจริง!”
เฉินซือหยางแสร้งสั่งเสียงดัง
“เจ้าค่ะ” จูผิงเม้มปาก
ฝุ่นเยอะอะไร นางทำความสะอาดปัดถูของนางอยู่ทุกวัน...
เฉินซือหยางไปรอนางที่ห้องหนังสือ ชายหนุ่มเดินไปเดินมาอยู่หน้าตั่งยาวตัวใหญ่ หนึ่งชั่วยามก็แล้ว สองชั่วยามก็แล้ว จูผิงสาวใช้ตัวดียังไม่โผล่หน้ามา!
“หลี่อี้!” เขาหันไปเรียกบ่าวคนสนิท
หลี่อี้รีบเปิดประตูถลาเข้ามา “มีอะไรขอรับคุณชาย”
“เจ้าไปตามจูผิงที่เรือนท่านย่า บอกว่าข้ามีเรื่องใช้ให้นางทำ”
หลี่อี้รีบรับคำวิ่งตรงไปยังเรือนฮูหยินผู้เฒ่า สักพักเขาก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบกลับมารายงาน
“คุณชาย ข้าบอกนางไปแล้ว นางบอกเดี๋ยวตามมาขอรับ”
เฉินซือหยางได้ยินแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ เขาเดินกลับไปนั่งรอนางที่ตั่งตัวยาว ทำทีหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน สายตาคอยชะเง้อมองไปที่ประตู
แต่ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม นางก็ยังไม่โผล่หน้ามา!
“หลี่อี้!”
“ขอรับ”
“ไปตามจูผิงมา!”
จูผิงวางหนังสือในมือลง นางกำลังนั่งอ่านหนังสือให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง ริมฝีปากอิ่มถึงกับเม้มแน่นแล้วแน่นอีก
เมื่อครู่เขาให้หลี่อี้มาตามนางหนหนึ่งแล้ว นางก็บอกไปแล้วว่าเดี๋ยวจะตามไปไม่ใช่หรือ!
“เอาล่ะๆ เจ้าไปเถอะ เขาคงมีเรื่องให้เจ้าต้องทำ”
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือให้ ก่อนจะเอนตัวพิงพนักเก้าอี้โยกพลางหลับตาลง นางอยู่มาถึงปูนนี้แล้ว ก็พอจะเดาอะไรออกอยู่บ้าง
“เจ้าค่ะ” จูผิงยอบกายเคารพ
หญิงสาวร่างเพรียวพยายามเดินให้ช้าที่สุด เขาเรียกหานางแบบนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องพลิกผ้าห่มหรอกกระมั้ง นางได้แต่ทอดถอนหายใจ พลางคิดว่า ทนเอาเถิดอีกเดือนเขาก็กลับค่ายแล้ว
ถึงเรือนอักษร นางเดินไปยังปีกซ้ายของเรือนแล้วมาหยุดอยู่หน้าห้องหนังสือ หลี่อี้ยืนรอรับใช้เจ้านายอยู่หน้าห้อง เมื่อเห็นนางมาแล้วก็โล่งอก ไม่เช่นนั้นคุณชายรองคงสั่งให้เขาวิ่งไปวิ่งมาระหว่างเรือนอักษรและเรือนฮูหยินผู้เฒ่าทั้งวันเป็นแน่
“แม่นางจูผิงมาแล้ว เชิญๆ คุณชายรองรอเจ้าอยู่ด้านใน”
หลี่อี้ผายมือไปด้านในพลางยิ้มกว้าง ใครก็รู้ว่าคุณชายเฉินซือหยางโปรดปรานจูผิงเพียงใด คุณชายรองของเขาห่างหายจากนางไปเป็นปี กลับมาทั้งทีก็ต้องชดเชยเวลาที่เสียไปบ้าง
หลี่อี้ผิวปากอย่างอารมณ์ดี อีกนานกว่าคุณชายจะเรียกใช้เขา ระหว่างนั้นของีบกลางวันสักหน่อยเถอะ!
จูผิงเดินเข้ามาด้านใน นางปิดประตูอย่างเบามือ เหลือบมองชายหนุ่มนั่งเอนตัวพิงหมอนใบใหญ่ในท่วงท่าสบาย
ชายหนุ่มรับรู้การมาของหญิงสาว เขาเหยียดตัวขึ้น วางหนังสือในมือลงทันที สายตาเฉียบคมจ้องมาที่นางแล้วสั่งเสียงหนึ่ง “มานี่”
เฉินซือหยางยื่นมือออกมา
“คุณชายมีอะไรจะใช้ข้าหรือเจ้าค่ะ” นางถาม แต่ไม่ยอมเข้าไปหาเขา
ชายหนุ่มถึงกับคิ้วขมวด ที่นางไม่กล้าเข้าใกล้ก็คงเพราะกลัวว่าเขาจะรังแกนางอีกกระมัง
“จูผิง เจ้านายสั่งให้มานี่” เขาสั่งเสียงเข้ม
จูพิงได้แต่แอบถอนหายใจ นางเดินเข้าไปใกล้เขา ยังไม่ทันได้ตั้งตัวแขนแข็งแรงก็รวบรัดเอวเล็กของนางเข้าไปนั่งตัก ร่างทั้งสองประชิดกัน
“เหตุใดถึงมาช้านัก เจ้าเลิกเชื่อฟังคำสั่งข้าตั้งแต่เมื่อใด”
“ต้องขอโทษคุณชายด้วยเจ้าค่ะ ตอนนั้นข้ากำลังอ่านหนังสือเล่มโปรดให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟังอยู่ คิดว่าถ้าจบบทนั้นถึงจะขอตัวออกมา” นางพูดความจริง
“เช่นนั้นหรือ”
เฉินซือหยางพอรู้อยู่บ้างว่าท่านย่าชอบให้นางอ่านหนังสือให้ฟัง ที่นางอ่านออกเขียนได้ทุกวันนี้ก็เพราะเขาช่วยสอนให้ แต่เขาพึ่งกลับจากค่าย นางควรอยู่ปรนนิบัติเขาไม่ใช่รึ!?
“เจ้าค่ะ” จูผิงไม่รู้จะตอบอันใด
“อ่ะแฮ่ม ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะมีของจะมอบให้ต่างหาก” ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น “เจ้าเดินไปดูที่หลังชั้นหนังสือตรงนู้นสิ” เขาพยักพเยิดหน้าไปตรงชั้นหนังสือหลังใหญ่มุมห้อง
จูผิงผละออกจากอ้อมแขน ไม่รู้ว่าเขาจะเล่นพิเรนทร์อะไรกับนางอีกหรือไม่
หญิงสาวเดินหายเข้าไปที่หลังชั้นหนังสือหลังใหญ่ ไม่นานก็โผล่หน้าออกมาพร้อมกรงขนาดกลางในมือ
“แมว?” นี่คือของที่จะมอบให้นาง?
แมวดำขนฟูฟ่องส่งเสียงร้องทักเหมียวๆ มันเอาตัวถูไถกับกรงเหล็กไปมา ก่อนจะทิ้งตัวนอนหงายท้อง ไม่มีท่าทีตกใจคนแปลกหน้าเลย
“ใช่ ข้าเจอมันนอนหนาวอยู่ข้างทางระหว่างเดินทางกลับ นึกได้ว่าเจ้าชอบแมว จึงนำมันกลับมาด้วย”
เฉินซือหยางเดินเข้าไปใกล้ สอดนิ้วเข้าไปลูบหัวมัน มันก็หลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม
จูผิงเลิกคิ้วอย่างสงสัย “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบแมว” ตั้งแต่อยู่จวนเฉินนางไม่เคยเลี้ยงแมวเลย ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับแมวด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มผงะไปแวบหนึ่ง “อ้าวเหรอ สงสัยข้าจำผิด อย่างไรข้าขอยกมันให้เจ้าก็แล้วกัน”
หญิงสาวเดินกลับไปที่ตั่งตัวยาว นางวางกรงลง “ข้าเลี้ยงมันไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ที่เรือนคนใช้คงไม่สะดวก ที่นั่นคับแคบเกินไป คงไม่เหมาะที่จะเลี้ยงหรอกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็ย้ายมาอยู่ที่เรือนอักษรสิ มีห้องว่างอยู่เยอะเจ้าเลือกได้ตามใจชอบ”
จูผิงเข้าใจในเจตนาของเขา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากเช่นนี้กับนาง
“คุณชาย…”
“ช่างเถอะ ถ้าเจ้าไม่เลี้ยง ข้าก็จะเอามันไปปล่อย”
จูผิงเหลือบมองแมวดำขนฟูฟ่อง เหมือนมันจะรู้ชะตากรรมตัวเอง ดวงโตกลมโตสีเหลืองนวลตัดดำจ้องมองมาที่นางราวกับขอร้องให้รับเลี้ยงมันด้วยเถอะนะ เจ้าทาส!