ดาวเรืองที่ไม่รู้จะไปไหนหรือทำอะไรเลยเดินออกมาสูดอากาศอยู่ที่สวนหลังบ้าน เธอเดินชมนกชมไม้อย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง
“นี่เธอเป็นใคร มาอยู่ที่บ้านของฉันได้ยังไง”
หยิงสาวค่อยๆ หันมาทางต้นเสียง แล้วก็พบกับชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าขาวตี๋ การแต่งตัวก็ออกไปทางวัยรุ่นเกาหลี ประเมินจากสายตาดูแล้วเขาก็น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ
“บ้านของนายอย่างนั้นเหรอ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นสูงถาม พร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอก ขณะที่ใช้สมองคิดประมวลอยู่ว่าชายคนดังกล่าวเป็นใคร เพราะตั้งแต่เธอเหยียบเข้ามาในบ้านนี้ก็ไม่เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายเลยสักครั้งเดียว ถ้าหากจะบอกว่าเป็นลูกแม่บ้าน หรือคนสวนแถวนี้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะผิวพรรณการแต่งตัวบ่งบอกถึงสถานะอันสูงส่งของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ฉันเนี่ยนะเข้าใจผิด บ้านนี้ และหลังอื่นๆที่อยู่ในรั้วนี้เป็นของตระกูลฉันทั้งหมด รวมทั้งหลังที่เธอกำลังเดินออกมาด้วย”
ชายหนุ่มอธิบายพร้อมกับชี้ไปที่รอบๆ แล้วหยุดอยู่ตรงบ้านหลังปีกซ้ายที่เธอเดินออกมา และนั่นก็ทำให้ดาวเรืองคิดอะไรขึ้นมาได้ในทันที หญิงสาวเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามอย่างไม่เกรงกลัว
“คุณเป็นหลานคนไหนของตระกูลล่ะ ใช่คนที่ขี้ขลาดหนีงานแต่งเมื่อวานหรือเปล่า”
“นี่เธอ!”
โดนด่าตรงๆ แบบนี้ทำให้ภาวิตที่ไม่เคยโดนใครว่ามาก่อน นอกจากบิดาถึงกับเลือดขึ้นหน้า ชี้ไปที่หน้าของเธออย่างเอาเรื่อง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น เสียงของอาหนุ่มก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหยุดอยู่ระหว่างทั้งสองคนที่กำลังยืนเผชิญหน้ากัน
“ตาวิต กลับมาแล้วเหรอ”
“สวัสดีครับคุณอา ผู้หญิงคนนี้เป็นใครครับ”
ภาวิตไม่ตอบ หากแต่กล่าวทักทายผู้เป็นอาที่มีอายุห่างกันหนึ่งรอบตามมารยาท แล้วถามถึงผู้หญิงแปลกหน้าทันที
“เป็นเมียฉันเอง ดาวเรืองภรรยาที่ฉันเข้าประตูวิวาห์แทนนายเมื่อวาน”
คีรินทร์ตอบคำถามของหลานชายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่แสดงถึงอารมณ์กรุ่นโกรธอีกฝ่าย ที่ผลักความรับผิดชอบจนทำให้เขาต้องกลายเป็นเจ้าบ่าวสายฟ้าแลบแทน แต่คำตอบของเขานั้นทำให้เจ้าของคำถามถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะตั้งสติได้ในเวลาต่อมา
“นี่คุณอาแต่งงานกับเธอเหรอครับ”
“ถ้าไม่ให้ฉันแต่งกับเธอแล้วจะให้ใครแต่งกับเธอล่ะ ก็ในเมื่อนายหนีงานแต่งไปแบบนั้น มันเป็นทางเดียวที่จะกู้ศักดิ์ศรีตระกูลคืน”
“แต่เธอเป็นของผม คุณอาไม่น่าแต่งงานกับเธอเลย”
จู่ๆ ภาวิตก็เกิดรู้สึกเสียดายหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมา เขายอมรับว่าตัวเองเป็นเสือผู้หญิงที่ไม่เคยคิดจะหยุดอยู่ที่ใคร เพราะชีวิตวัยรุ่นของเขากำลังเต็มไปด้วยสีสันที่ไม่อยากจะผูกมัดไว้ด้วยการแต่งงานตามที่ผู้ใหญ่เป็นคนจัดหามาให้ แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้าสาวบ้านนอกที่เขาเคยตราหน้าเธอไว้นั้นตัวจริงจะสวยปานนางฟ้าเดินดิน ที่มองแวบเดียวก็รู้ได้ในทันทีว่าใบหน้างดงามไร้ที่ติ และเรือนร่างสมบูรณ์แบบนั้นเป็นของจริง ไม่ได้ผ่านมีดหมอมาเลยแม้แต่น้อย นั่นเลยทำให้เขารู้สึกเสียดาย เหมือนตัวเองได้ตัดสินใจพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต
“นายเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าตาวิต ดาวเรืองไม่ใช่สิ่งของที่นายคิดจะทิ้งขว้างหรือกลับมาหาเมื่อไหร่ก็ได้ เธอเป็นคนมีชีวิตจิตใจ ถ้าคิดจะทำกับเธอแบบนั้นตั้งแต่แรกก็ควรบอกผู้ใหญ่ให้ทราบล่วงหน้าก่อน ไม่ใช่หนีไปในวันแต่งแบบนั้น วิธีที่นายเลือกใช้มันไม่ใช่ลูกผู้ชายเลยนะวิต”
คีรินทร์ตำหนิหลานชายอย่างตรงไปตรงมาก เพราะเขาเองก็เหลืออดเต็มทีกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย
“คุณอาไม่ต้องมาสอนผม ผมโตแล้ว คิดและตัดสินใจเองได้”
ภาวิตสวนกลับแทบจะทันที ก่อนที่จะหมุนตัวก้าวยาวๆ เดินออกไปจากที่ตรงนั้น ปล่อยให้ผู้เป็นอามองตามพลางส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“เด็กสมัยนี้มันเป็นอะไรกันหมด ถึงได้ไม่ชอบฟังคำสั่งสอนจากผู้ใหญ่เอาเสียเลย”
“บางทีคุณอาจจะแก่เกินไป จนไม่เข้าใจเด็กวัยรุ่นก็ได้นะ”
“นี่หาว่าผมแก่เหรอ?”
คีรินทร์หันขวับมาทางหญิงสาวที่กำลังยกยิ้มที่มุมปากกวนโมโหอยู่ไม่ไกลนัก
“เปล่าสักหน่อย ใครร้อนตัวก็รับไปสิ”
ดาวเรืองยักไหล่ พลางหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกคน ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามพร้อมกับคำรามตามหลังไปติดๆ
“ยายจอมแสบ!”
……………………………………………
เรื่องนี้ภาวิตไม่ยอมง่ายๆ เพราะเขาไม่สามารถทำใจได้ที่ผู้เป็นอาแย่งเจ้าสาวไปจากเขา เขาเดินเข้ามาในคฤหาสน์หลังโตแล้วตรงไปหาผู้เป็นปู่ทันที
“ทำไมคุณปู่ถึงอนุญาตให้คุณอาแต่งงานกับเจ้าสาวของผมละครับ”
“แกจะมาทวงสิทธิ์อะไรตอนนี้ ในเมื่อแกเป็นคนหนีงานแต่งเอง”
ประโยคตำหนิของคุณปู่ที่เคยรักตนนักหนา ทำให้ภาวิตรับรู้ได้ถึงชะตาชีวิตของตัวเองในทันที จากที่เคยเป็นหลานรักตอนนี้ก็ไม่ต่างจากหมาหัวเน่าตัวหนึ่ง เพียงเพราะการตัดสินใจทิ้งงานแต่งที่ท่านได้จัดเตรียมไว้ให้นั่นเอง แต่เขาก็ไม่คิดจะโทษตัวเองเลยสักนิด กลับมองว่าความผิดครั้งนี้เกิดจากผู้เป็นปู่ฝ่ายเดียว
“ผมก็แค่สับสนแล้วหนีไปตั้งหลักก็แค่นั้นเอง ทำไมคุณปู่ถึงไม่ยกเลิกงานแต่ง รอจนกว่าผมจะพร้อมแล้วค่อยจัดใหม่ก็ได้”
“หยุดพูดได้แล้วตาวิต หายออกจากบ้านหลายวันสมองกระทบกระเทือนหรือไงถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองส่งข้อความมาให้แม่ว่ายังไง”
คณิตที่มาทันได้ยินบทสนทนาของลูกชายกับผู้เป็นพ่อถึงกับเลือดขึ้นหน้า ต้องเดินเข้ามาขัดจังหวะลูกชายตัวดีที่บังอาจแสดงกิริยาก้าวร้าวต่อผู้มีพระคุณทันที
“ถ้าจำไม่ได้ก็เอาไปอ่านซะ! เผื่อจะนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
เขาพูดพร้อมกับส่งหลักฐานข้อความที่ลูกชายส่งมาให้กับภรรยาตรงหน้าลูกชายเพื่อเตือนความจำ ทว่าภวิตก็ยังคงปฏิเสธเสียงแข็งอยู่ดี
“ตอนนั้นผมเมา ผมไม่รู้ว่าพิมพ์อะไรไปบ้าง”
“หยุดแก้ตัวได้แล้ว ต่อไปนี้อยาจจะทำอะไรก็เชิญ แต่อย่าให้เดือดร้อนมาถึงคนในตระกูลพอ เพราะถ้ายังมีครั้งต่อไปพ่อจะไม่ใจดีกับแกอีกแล้ว”
“คุณพ่อจะทำอะไรผมงั้นเหรอ”ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามผู้เป็นพ่ออย่างท้าทาย
“ฉันทำในสิ่งที่แกคาดไม่ถึงแน่ เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าเป็นลูกชายคนเดียวแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรก็แล้วกัน”
“โถ่เว้ย!”
เมื่อไม่ได้ดังใจ ภวิตก็สบถออกมาพร้อมกับหมุนตัวเดินออกจากบ้านที่เขาเพิ่งเดินกลับเข้ามายังไม่ถึงห้านาทีด้วยอารมณ์หงุดหงิด ท่ามกลางสายตาของผู้เป็นพ่อ และปู่ที่มองตามด้วยความหนักอก
……………………………………….