บทที่ 1 : เจ้าสาวบ้านนอก (1)
“เราแต่งงานกันเถอะนะโรส”
เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถามนางแบบสาวลูกครึ่งไทย - อเมริกา ที่คบหากันมาเกือบจะสามปีด้วยความคาดหวังในคำตอบ ทว่าหญิงสาวก็ยังคงปฏิเสธกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกตามเคย
“คุณพูดเรื่องแต่งงานอีกแล้วนะคะคีย์ โรสบอกแล้วไงคะว่าโรสยังไม่พร้อม ขอเวลาโรสอีกหน่อยนะคะ”
นางแบบสาวว่าพลางดึงผ้าห่มผืนใหญ่มาปกปิดเรือนร่างเปลือยเปล่าของตัวเอง หลังจากที่ได้ผ่านพ้นกิจกรรมรักร้อนแรงบนเตียงกับคนรักหนุ่มสุดหล่อที่พลิกตัวนอนลงข้างๆ ได้ไม่ถึงนาที
“แต่ผมพร้อมแล้ว ผมอยากจะมีเบบี๋มากคุณก็รู้”
คีรินทร์นักธุรกิจหนุ่มไทยวัยสามสิบสอง เจ้าของนัยน์ตาคมกริบ คิ้วคมเข้ม จมูกโด่งคมสัน โครงหน้าหล่อเหลาลงตัว เช่นเดียวกับรูปร่างกำยำสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ยังไม่ละความพยายามในการอ้อนขอสิ่งที่ตนอยากได้ที่สุดตอนนี้ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาร้องขอจากเธอ หากแต่ร้องขอตั้งแต่คบกันมาได้เกือบสองปีที่แล้วได้
“แต่โรสยังไม่พร้อมจะมีลูกค่ะ โรสเพิ่งจะอายุสามสิบสองยังสนุกกับการทำงาน และที่สำคัญโรสยังไม่คิดเรื่องมีลูกค่ะ หวังว่าคีย์จะเข้าใจนะ”
“ที่ผ่านมาผมก็เข้าใจคุณมาตลอด เลยไม่เร่งเร้าคุณยังไงล่ะ ว่าแต่ครั้งนี้จะต้องให้ผมรออีกกี่ปี…สองหรือว่าสามปีดี”
คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูงถามด้วยน้ำเสียงติดเล่นนิดๆ ขณะใช้มือข้างหนึ่งเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้างดงามของนางแบบสาวอย่างเบามือ
“อย่ากดดันโรสแบบนี้สิคะคีย์ คุณก็รู้ว่าโรสรักคุณมาก รักพอๆกับที่คุณรักโรส เพราะฉะนั้นจะกี่ปีคุณก็ต้องรอได้สิคะ”
“เอาคำว่ารักมาอ้างอีกแล้วนะโรส แล้วก็ทำผมใจอ่อนทุกที”
เขาอดไม่ได้ที่จะบีบจมูกเล็กของคนรักเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ ส่งผลให้หญิงสาวต้องหัวเราะคิกออกมาเบาๆ
“ฉันรู้ค่ะว่าคุณน่ารักเสมอ”
หญิงสาวระบายยิ้มเมื่อเห็นว่าคนรักหนุ่มกำลังจะพลิกตัวหันหลังให้ด้วยอาการงอน เธอเลยรีบซุกซบใบหน้าลงกับอกกว้างพลางใช้แขนเล็กรัดเอวสอบของเขาเอาไว้แน่น เช่นเดียวกับคีรินทร์เมื่อเห็นคนรักสาวง้อด้วยการกอด เขาก็อดใจอ่อนไม่ได้ เลยต้องดึงเธอมากอดไว้เช่นกัน
“สัปดาห์หน้าผมจะกลับเมืองไทย ไปงานแต่งของหลานชาย คุณจะกลับไปด้วยหรือเปล่า”
เสียงทุ้มบอกเบาๆ แต่ทำคนฟังต้องเลิกคิ้วสูงพลางเงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขานิ่ง
“หลานชาย?”
“ใช่ ภวิตหลานชายคนโตของตระกูลไง ตอนนี้เรียนจบปริญญาตรีและกำลังจะเป็นเจ้าบ่าวแซงหน้าอาอย่างผมไปแล้ว”
“ไม่น่าเชื่อ ฉันจำได้ว่าตอนที่ฉันเจอเขาครั้งล่าสุดเขายังดูเป็นเด็กหนุ่มวัยซนอยู่เลย ไม่คิดว่าตอนนี้จะพร้อมสร้างครอบครัวเสียแล้ว”
ที่พูดแบบนั้นเพราะคีรินทร์เคยพาเธอไปบ้านมาแล้ว และเขาก็แนะนำเธอกับครอบครัวในฐานะคนรัก ซึ่งเป็นความชัดเจนที่เขาได้แสดงออกถึงการคบหาดูใจกับเธอในครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่าเขารักจริงหวังแต่งนั่นเอง
“พร้อมสร้างครอบครัวหรือเปล่านั้นอันนี้ผมก็ไม่แน่ใจ เพราะนั่นเป็นความต้องการของผู้ใหญ่ ดีไม่ดีตาวิตอาจจะไม่เต็มใจเข้าประตูวิวาห์เลยก็ได้”
คีรินทร์บอกเล่าไปตามความเป็นจริง เนื่องจากไม่เคยมีเรื่องต้องปิดบังคนรักสาว แต่ทว่าคำบอกเล่าของเขาก็สร้างความตกใจให้กับคนรักสาวอยู่ไม่น้อย
“หมายความว่าไงคะ เขาถูกจับคลุมถุงชนอย่างนั้นเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิง”ชายหนุ่มไม่ฟันธง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าสมัยนี้ยังมีการบังคับแต่งงานด้วยวิธีแบบนี้อยู่อีก”
“ครับ”คีรินทร์พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคำถาม“ว่าแต่คุณจะกลับเมืองไทยไปกับผมหรือเปล่า”
“สัปดาห์หน้าโรสมีเดินแบบค่ะ คงกลับไปด้วยไม่ทัน ไว้โรสจะฝากของขวัญผ่านทางคุณไปให้แล้วกันนะคะ”
“คุณไม่กลับไปด้วยผมคงคิดถึงคุณแย่เลย”
“เราอยู่ด้วยกันทุกวัน คุณยังไม่เบื่ออีกเหรอคะ”
“ไม่เบื่อ เพราะผมรักคุณ”
“ฉันก็รักคุณค่ะ”
หญิงสาวบอกรักตอบพร้อมขยับใบหน้าจูบแก้มสากๆ ทีหนึ่งแล้วซุกซบกลับมาหาอกกว้างตามเดิม แต่เพียงไม่นานก็ต้องผละออกจากเขา เมื่อสัมผัสได้ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างใต้ผ้าห่ม ซึ่งกำลังเบียดกับหน้าท้องแบนราบของเธอ
“จะทำอะไรคะ”โรสศิรินเอ่ยถาม ขณะที่จ้องมองมือใหญ่ที่เลื่อนเข้ามาใต้ผ้าห่มด้วยความไม่ได้วางใจ
“ถ้ากลับเมืองไทยผมคงคิดถึงเรือนร่างของคุณจนแทบคลั่งแน่เลย”
เขาบอกพร้อมกับวางผ่ามือลูบไล้ผิวเนียนนุ่มใต้ผ้าห่มพลางขย้ำมันเป็นพักๆ อย่างอดใจไม่ไหว
“แต่คีย์คะ คุณเพิ่งจะรักโรสไปเมื่อกี้นี้เองนะ”
“อีกรอบเถอะนะคนดี”
ชายหนุ่มออดอ้อนเสียงนุ่ม พร้อมกับฝังจมูกโด่งๆ ลงมาคลอเคลียพวกแก้มงามราวกับแมวน้อยขี้อ้อน และก็ได้ผลเมื่อคนรักสาวหัวเราะคิกออกมาเพราะทนเสน่ห์เกินต้านเขาไม่ได้เลยสักครา
…………………………………………….
ณ คฤหาสน์หรูใจกลางเมือง ประเทศไทย
“ว่าไงนะ! ว่าที่เจ้าสาวของผมชื่อดาวเรือง”
เด็กหนุ่มหน้าใส เจ้าสำอาง ร้องเสียงดังลั่นหลังจากที่ได้ยินชื่อของว่าที่เจ้าสาวตัวเองเป็นครั้งแรก เพราะไม่คิดว่าสมัยนี้จะมีคนที่ชื่อบ้านนอกแบบนี้อยู่อีก ถ้าหากเป็นชื่อเล่นก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นชื่อจริงของเธอที่แสนจะเชย ขนาดชื่อยังหนักขนาดนี้เขาไม่อยากจะคิดตอนที่เจอหน้าเจ้าหล่อนเลยจริงๆ
“ใช่ หนูดาวเรืองเป็นหลานของเพื่อนคุณปู่ อายุก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแก เพราะเห็นคุณปู่บอกว่าเธอก็เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีเหมือนกัน ถ้าเจอหน้ากันก็คงปรับตัวเข้าหากันได้ไม่ยาก”
ผู้เป็นบิดายืนยันกับลูกชายเสียงหนัก พร้อมกับเล่าเรื่องราวของเธอให้ฟังอีกคร่าวๆ
“ใครจะอยากปรับตัวเข้าหาเธอกัน แค่ฟังชื่อก็บ้านนอกขนาดนั้น ตัวจริงจะหน้าตาบ้านนนอกขนาดไหนกัน”
“ตาวิต! จะพูดอะไรก็ให้เกียรติว่าที่เจ้าสาวแกหน่อย”
คณิตดุลูกชายตัวแสบที่พูดจาไม่ให้เกียรติว่าที่เจ้าสาว ทว่าชายหนุ่มกลับไม่สนใจ ตรงกันข้ามกลับสวนบิดาด้วยน้ำเสียงที่ร้อนเป็นไฟ
“ว่าที่เจ้าสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณพ่อถามผมสักคำหรือยังว่าอยากแต่งงานกับเธอหรือเปล่า ขนาดผัวยังหาเองไม่ได้ ต้องให้ผู้ใหญ่จับคู่คลุมถุงชนแค่นี้ผมก็พอจะเดาออกแล้วว่าน่าตาเธอแย่ขนาดที่ไม่มีผู้ชายคนไหนเอา”
“ภวิต!”
คณิตเรียกชื่อลูกชายดังลั่นด้วยอารมณ์เดือดดาล อยากจะตวัดฝ่ามือลงไปบนหน้าใสๆ นั้นสักที แต่ก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่นข่มใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถเพียงเท่านั้น
“ทำไมครับ คุณพ่อกลัวไม่ได้มรดกจากคุณปู่หรือไงถึงต้องบังคับลูกตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงบ้านนอกไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้น”
“ตาวิต! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ”
“ถ้าผมพูดแล้วคุณพ่อจะทำไม! จะตัดเงินเดือนผม ยึดบัตรเครดิต หรือจะอะไรอีก แต่ถ้าคุณพ่อจะใช้วิธีเดิมๆ เหมือนที่ผ่านมาแล้วละก็ ผมบอกไว้ก่อนว่าคำขู่พวกนั้นมันใช้ไม่ได้กับผมอีกต่อไป เพราะผมไม่ใช่เด็กอมมือที่จะต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่หัวโบราณที่คิดจะจับลูกหลานตัวเองหันซ้ายหันขวายังไงก็ได้”
“เพี๊ยะ!”
เสียงฝ่ามือกระทบลงบนแก้มใสๆ ดังขึ้นทีหนึ่งอย่างเหลืออด ทำเอาใบหน้าหล่อใสถึงกับต้องหันไปตามแรงตบท่ามกลางความตกใจของภรรยาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“คุณคะ!”
“เป็นยังไงบ้างลูก”โสภาที่เห็นเหตุการณ์รีบปราดเข้ามาหาลูกชายด้วยความเป็นห่วง ทว่าเด็กหนุ่มกลับสะบัดตัวออกพร้อมตวัดเสียงดังลั่น
“อย่ามายุ่งกับผม”
พูดจบก็หมุนตัวก้าวออกจากบ้าน แต่คนเป็นแม่นั้นไม่อยากให้ลูกชายออกไปจึงรีบตามมาคว้าแขนลูกฉุดไว้
“ไม่ต้องไปตามมัน ถ้ามันอยากไปไหนก็ปล่อยมันไป ถ้าคิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งแล้วก็ไป!”
“ผมไปแน่ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ตาวิต ใจเย็นๆก่อนสิลูก”
โสภาพยายามฉุดดึงแขนลูกชายเอาไว้แน่น พร้อมกับเอ่ยขอร้องไม่ยอมให้ลูกชายไป ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจเมื่อความโมโหเข้าครอบงำ
“ปล่อยผมครับคุณแม่”
ภวิตสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุดจากการเกาะกุมของมารดา จากนั้นก็เดินอาดๆ ออกจากบ้านไปโดยที่ไม่เหลียวหลังกลับมามองอีก
……………………………………………