๑๖
"วันนี้จะพาน้ำไปไหนเหรอคะ"
"วันนี้จะพาไปชมธรรมชาติ" รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากหนา มองคนตัวเล็กที่ยังมีความรู้สึกเกร็งๆ เพราะเธออาจจะยังไม่ไว้ใจเขาไม่วางตา
"มาอยู่ที่นี่ได้พักหนึ่งแล้ว ชอบหรือเปล่า"
"ที่นี่สวยดีค่ะ สงบมากด้วย"
"แล้วจะแยกห้องนอนถึงเมื่อไหร่ พอจะให้คำตอบพี่ได้หรือยัง" ถามไปพลางส่งหมวกบักเก็ตให้หญิงสาว เธอยอมรับมันไปถือเอาไว้ ถึงอย่างนั้นก็ยังมองเขาแบบกล้าๆ กลัวๆ
"พี่น่ากลัวมากเหรอ น้ำทำเหมือนกลัวพี่มากเลยนะ"
"ขอโทษค่ะ น้ำแค่ยังไม่ชิน เรื่องแยกห้องนอน ถ้าพี่ภาสไม่โอเคที่น้ำทำแบบนั้น น้ำเข้าไปนอนห้องใหญ่แบบที่พี่ต้องการก็ได้ค่ะ ถึงยังไงซะ วันนั้นก็ต้องมาถึงอยู่แล้ว" มันหดหู่แปลกๆ ที่ต้องพูดแบบนั้น แต่เธอบอกตัวเองทุกวัน ว่าสาเหตุที่ทำให้เธอต้องระหกระเหินมาอยู่ถึงที่นี่มันเป็นเพราะอะไร เขาเสียเงินให้คนที่เลี้ยงดูเธอมาจำนวนไม่ใช่น้อย อย่างน้อยๆ คนที่เธอเคยเรียกว่าพ่อแม่ เขาก็ดึงเธอออกมาจากสถานที่แบบนั้น หากเรื่องที่พวกเขาพูดถึงแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นเรื่องจริง หากแม่แท้ๆ ของเธอทำแบบนั้นกับเธอจริงๆ อย่างน้อยๆ เขาก็มีบุญคุณที่พาเธอออกมา ต่อให้สิ่งที่เขาทำกับเธอในตอนนี้จะไม่ได้ต่างจากสัตว์เลี้ยงหรือสิ่งของที่ใช้แลกเงินก็ตาม
ประภาส ก็เหมือนผู้ที่เป็นเจ้าชีวิตของเธอ ทุกวันนี้เขาให้เธออยู่อย่างสุขสบาย ไม่บังคับแตะต้องตัวเธอแม้แต่ปลายก้อย เขาให้เธออยู่อย่างสงบ ซ้ำยังพยายามสร้างมิตรไมตรีที่ดีต่อกันทั้งที่มองไม่เห็นความจำเป็นข้อนั้นเลยด้วยซ้ำ คนรวยระดับเขา อาจจะหาผู้หญิงสักกี่คนมาประดับบารมี หรือมาดูแลก็คงได้ แต่เขากลับเลือกเธอ หากการกระทำของเขามันเกิดขึ้นด้วยความจริงใจ อย่างน้อยก็ถือว่ามันเป็นโชคดีของเธอ
"พี่ไม่บังคับเธอ พี่บอกเธอไปแล้วว่าพี่ไม่มีใคร พี่อยากให้ความสัมพันธ์ของเราที่แม้จะเริ่มต้นได้ช้ามาก มันเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจจริงๆ"
"ขอบคุณนะคะพี่ภาส น้ำไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดคำไหนมากกว่าคำนี้"
"อย่าดราม่าสิ พี่แค่ถามเล่นๆ แค่นั้นเอง ไม่พร้อมก็คือไม่พร้อมไง" มือหนาวางหมับลงบนศีรษะเล็กพลางโยกไปมาเบาๆ ด้วยความเอ็นดู
"พร้อมยัง วันนี้พี่จะพาไปเที่ยว"
"พร้อมค่ะ" น้ำใจส่งยิ้มให้คนตัวโตที่ช่วยคลายความอึดอัดให้เธออย่างจริงใจ สุดท้ายเขาก็ผายมือไปที่รถยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดที่ลานจอดขนาดใหญ่ แต่ไม่เห็นว่าจะมีใครคอยขับรถให้เขาเลย
"พี่ภาสจะขับรถเองเหรอคะ"
"อืม วันนี้คนงานเข้าไร่กันหมด วันนี้พี่จะขับรถเอง"
"เราจะไปกันสองคนเหรอคะ?"
"กลัวที่ต้องอยู่สองต่อสองกับพี่เหรอ?"
"ปะ เปล่าค่ะ น้ำแค่..."
"ดีแล้วที่เราเป็นคนแบบนี้ เป็นผู้หญิงต้องรู้จักระวังเนื้อระวังตัว คนสมัยนี้ไว้ใจกันไม่ค่อยได้ แต่ยกเว้นพี่นะ พี่ไว้ใจได้" เจ้าของคำพูดหันมาขยิบตาหยอกเย้าก่อนจะหันไปปลดล็อกรถยนต์ ไม่คิดเลยว่าคนระดับเขาจะมาล้อเล่นอะไรกับคนอย่างเธอ
"วันนี้ปุ้มปุ้ยต้องทำงานบ้าน ซักเสื้อผ้าของพี่และของเธอ"
"ขะ ของน้ำด้วยเหรอคะ แต่น้ำซักเองได้นะคะ"
"เขาทำตามหน้าที่ของเขาเราห้ามเขาไม่ได้หรอก"
"ไม่เคยมีใครซักเสื้อผ้าให้น้ำเลย มันรู้สึกแปลกๆ ค่ะ"
"เธอเป็นเมียพี่นะ พี่สู่ขอเธอมาเพื่อเป็นกำลังใจของพี่ ไม่ได้สู่ขอมาเพื่อให้ทำอะไรลำบาก ขึ้นรถครับ พี่เปิดประตูให้" เขาทำแบบที่พูดนั่นคือการขยับตัวไปเปิดประตูให้ เธอโค้งศีรษะให้เขาเพียงนิดบ่งบอกถึงความเกรงใจก่อนจะเดินขึ้นไปนั่งบนรถยนต์แต่โดยดี
"จะเป็นการก้าวก่ายมากเกินไปหรือเปล่าคะ หากน้ำจะถามถึงพ่อกับแม่ของพี่"
"ไม่ก้าวก่ายหรอก เพราะพี่เองก็คิดที่จะเล่าให้เธอฟังและขอความช่วยเหลือจากเธออยู่เหมือนกัน"
"เรื่องอะไรเหรอคะ?"
"แม่พี่ไปอยู่บนสวรรค์ตั้งแต่ตอนที่พี่เกิดนะ พ่อมีเมียใหม่หลังจากที่แม่พี่ตายได้ไม่นาน พี่เคยอยู่ในบ้านที่มีพ่อแต่กลับมีแม่เลี้ยงเป็นใหญ่ สุดท้ายพอพ่อตาย มรดกถูกแบ่งพี่จึงเลือกที่จะมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดของแม่ แยกทางกับแม่เลี้ยงที่เหมือนจะไม่ได้ดูดำดูดีหรือสนใจอะไรนอกจากสมบัติที่มี"
"นี่มันเรื่องจริงเหรอคะ"
"จริงสิ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปัญหาอะไรหรอก แต่พอสมบัติที่เขามีเริ่มหมดไปเขาจึงเริ่มที่จะเข้ามาวุ่นวายกับพี่อีกครั้ง"
"..."
"เขาทราบเรื่องการป่วยของพี่นะ เลยหวังที่จะกลับเข้ามาในชีวิตของพี่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ดูดำดูดีเพราะหวังว่าสักวันหากพี่ตาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่มีจะตกเป็นของเขา"
"..."
"เพราะแบบนั้นพี่ถึงเลือกที่จะดึงเราเข้ามาอยู่ข้างกาย"
"แต่ว่าน้ำเป็นคนนอก อย่างน้อยๆ แม่เลี้ยงของพี่ เขาก็อาจจะผูกพันกับพี่มากกว่า"
"คนที่เคยคิดฆ่าเรา อยากให้เราตายเพื่อหวังจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างของเรา เธอคิดจริงๆ เหรอว่ามันจะมีความผูกพัน" น้ำใจกลืนน้ำลายเหนียวลงคอด้วยความยากลำบาก เธอหันมองเสี้ยวใบหน้าคมคายของคนที่ทำหน้าที่เป็นพลขับ สีหน้าของเขาในตอนนี้มันจริงจังขึ้นมาจนเธอรู้สึกได้ เป็นไปได้ว่าเรื่องที่เขาพูดมันคือเรื่องจริงและยังส่งผลต่อความรู้สึกของเขาจริงๆ
"ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าเงินสามารถทำให้คนคิดที่จะฆ่าแกงกันได้"
"เงินมันคมมากกว่าที่เราคิด หลายครั้งที่เพื่อนแตกหักกันเพราะเงิน ญาติพี่น้องแตกคอกันก็เพราะเงิน ยิ่งเงินเยอะ ความคมมันก็ยิ่งมาก ความอิจฉาริษยา ความเห็นแก่ตัวมันก็ยิ่งมากเช่นกัน"
"ไม่รู้จะพูดคำไหนเลยค่ะ มันพูดไม่ออก" คนตัวโตคลี่ยิ้มออกมาแทนคำตอบ พลางเลื่อนมือมาโยกศีรษะทุยเล็กเบาๆ
"ที่พี่เล่าพี่ไม่ได้ต้องการอะไรจากเรานอกจากคำว่ากำลังใจ และสิ่งที่พี่บอกว่าพี่อยากขอ คือขอให้น้ำอยู่กับพี่ อย่าทิ้งพี่ไปไหน"
"น้ำ..."
"อย่าพูดคำว่าไม่มั่นใจในตัวเอง อย่าพูดคำว่าเราไม่ได้รู้จักกันอะไรมากมาย และอย่าขอให้พี่ไม่ต้องเชื่อใจเธอ พี่เชื่อตามความรู้สึกของตัวเอง พี่อยากให้น้ำมั่นใจในตัวเองเช่นกัน"
"ขอบคุณที่ไว้ใจนะคะ คำที่น้ำอยากพูดพี่ก็รู้ทันทุกอย่างเลย ว่าแต่ คนระดับพี่ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ถูกใจจริงๆ เหรอคะ"
"สงสัยพี่บ้างานเกินไปน่ะ พยายามที่จะรักษาทุกอย่าง เพราะคนงานของพี่ไม่เคยทิ้งพี่ และแรงงานจากพวกเขาที่ทำให้พี่มีทุกวันนี้ หากวันหนึ่งพี่เป็นอะไรไป พี่หวังว่าคนที่พี่เลือกแล้วจะช่วยสานต่อความตั้งใจของพี่ อย่าทิ้งมิตรภาพดีๆ ของคนงานนับร้อยที่ไม่เคยทิ้งพี่ ดูแลเขาช่วยพี่ หรือแม้กระทั่งแทนพี่ แค่นั้นจริงๆ"
"อย่าพูดแบบนี้สิคะ" หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำพูดของเขามันเหมือนลางสังหรณ์ เธอไม่ชอบคำพูดแบบนี้เลย
"รังเกียจการอยู่บ้านนอกคอกนาหรือเปล่าน้ำ"
"สำหรับน้ำอยู่ที่ไหนก็เหมือนกันค่ะ"
"แต่ว่าบ้านนอกมันไม่เหมือนกับในเมืองนะ"
"อยู่ที่ไหนแล้วมีความสุขและสบายใจเท่านั้นก็พอแล้วค่ะ"
"ดูสิ พี่เลือกแม่ของลูกไม่ผิดเลย" เขาหันมายิ้มให้เธอหลังจากที่จบประโยคนั้น ทำคนฟังถึงกับชะงักไป จริงๆ แล้วเธอลืมผู้ชายอีกคนไม่ได้ แต่สุดท้ายแล้วเธอบอกตัวเองเสมอว่าเธอต้องอยู่กับความเป็นจริง