จัดฉาก

1890 Words
หลังจากเตรียมการซักซ้อมอยู่หลายชั่วยาม จนพูดได้ว่าอวี้เม่ยและพลพรรคไม่ได้หลับไม่นอนกันเลยก็ว่าได้ เมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า อวี้เม่ยก็สั่งการให้ทุกคนรีบไปทำตามสิ่งที่ได้มอบหมายให้เรียบร้อย อย่าได้ผิดพลาดเป็นเด็ดขาด เพราะนอกจากโอกาสจะมีเพียงครั้งเดียวแล้ว หากถูกจับอาจมีโทษถึงขั้นหลอกลวงเบื้องสูง “แผนสาวงามพิชิตใจอะไรของเจ้าจะได้ผลแน่เหรอ” องค์ชายห้าที่ถูกลากมาด้วยเอ่ยถามอย่างข้องใจ “แผนสาวงามพิชิตใจมังกร” อวี้เม่ยพูดแก้ “จะอะไรก็ช่างเถอะ เสด็จพ่อข้าน่ะห่างไกลเรื่องผู้หญิงมานานมากแล้ว ท่านสนใจแค่ทุกข์สุขของราษฎรแต่เพียงเท่านั้น” องค์ชายห้ากลอกตาไปมา “ยกเว้นว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นฝ่ายเข้าหาท่านก่อน” อวี้เม่ยหันมาพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำองค์ชายห้าหน้าแดงรีบกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “ยังไงเสด็จพ่อก็เป็นผู้ชาย มะ…มีสตรีงดงามอยู่ข้างกายมัน…เอ่อ…” สตรีงดงามมาเย้ายวนถึงที่ มีหรือจะอดใจไหว จริงอย่างที่องค์ชายห้ากล่าว บุรุษหรือจะหักห้ามใจเมื่อพบหญิงงาม อวี้เม่ยจึงคิดอยากจะนำจุดนี้มาลองใช้ดู เปลี่ยนอุทยานหลวงแห่งนี้ให้เป็นดั่งวิมานสวรรค์ โดยมีซูลี่เป็นเทพธิดาที่ทอประกายอยู่กลางดอกท้อที่บานสะพรั่ง “คุณหนู พระสนมมาแล้วเจ้าค่ะ” เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต อวี้เม่ยจึงสั่งให้ฮุยอิน จินฝู จิ้นอิ๋ง สามสาวใช้รับหน้าที่ไปพาซูลี่มาแต่งกายที่ตำหนักจินเยว่ พร้อมอนุญาตให้ซูลี่เลือกสวมชุดและเครื่องประทินโฉมของนางได้ตามใจชอบ ซูลี่ที่อยู่ด้านหลังเดินมาโค้งศีรษะให้อวี้เม่ยกับองค์ชายห้าด้วยความเขินอาย นางในชุดสีม่วงอ่อนเกาะอกคว้านคอลึกปักลายดอกเหมยสีขาวตระการตา เผยให้เห็นหน้าอกอวบอิ่มกับผิวเนียนขาวชวนมอง มีเพ่ยโป๋[10] เป็นผ้าแพรปักลายพาดไหล่ทั้งสองข้างไปด้านหลังพลิ้วไสวช่วยเพิ่มความอ่อนช้อย ซูลี่มีใบหน้าที่งดงามได้รูปอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องแต่งเติมอะไรมากก็สวยจนสะกดตาชายได้ กระทั่งองค์ชายห้าก็ยังต้องแสร้งมองไปทางอื่น ไม่กล้ามองซูลี่ตรงๆ อวี้เม่ยนั้นตกตะลึงอยู่พักใหญ่ ไม่คาดคิดว่าซูลี่จะกล้าเลือกใส่ชุดที่เปิดเนื้อหนังถึงเพียงนี้ แต่ข้อสงสัยก็ถูกไขกระจ่างเมื่อหันมองไปยังพี่เลี้ยงตัวดีที่ยืนยิ้มกับสองนางกำนัล พลางขยิบตาให้ อ่า ฝีมือฮุยอินนี่เองสินะ แต่ก็คงต้องยกความดีให้นางเพราะแม้ซูลี่จะมีใบหน้าที่งดงามเพียงใดก็คงไม่อาจเอาชนะเสียนเฟยที่งามกว่าได้ การจะเรียกร้องความสนใจก็คงต้องใช้ทรวดทรงเข้าสู้ “มาๆ ซูลี่ เจ้ายืนตรงนี้นะ ระหว่างต้นท้อสองต้นนี้ ให้เจ้ายืนบิดเอวไปมาเหมือนกำลังยืนชมดอกท้อ แล้วก็อย่าลืมยิ้มด้วย ยิ้มอย่างที่เจ้าเคยยิ้มให้ข้าดูเมื่อวันก่อน จำได้นะ” อวี้เม่ยกล่าวกับซูลี่จบ ก็หันกลับมาถามยังองค์ชายหนุ่ม “องค์ชายห้า ท่านผูกเชือกไว้ที่ต้นท้อด้านหลังตามที่ข้าบอกหรือยัง” “ข้าน้อยทำตามสั่งเรียบร้อยแล้วท่านหญิง” องค์ชายห้าโค้งล้อเลียนว่าอวี้เม่ยเป็นนายของตน หญิงสาวพยักหน้าพลางกวักมือเรียกจินฝูกับจิ้นอิ๋งเข้ามาใกล้ “พวกเจ้าสองคนจำหน้าที่ของตนได้นะ ไปยืนจับเชือกไว้ รอฮ่องเต้เสด็จมาถึงก็ค่อยๆ กระตุกเชือกเบาๆ อย่ากระตุกแรงเกิน คอยดูทิศทางลมด้วยไม่อย่างนั้นดอกท้อที่ร่วงลงมาจะดูไม่เป็นธรรมชาติ” “ว่าที่พระชายาเพคะ ถ้าหากฮ่องเต้มีทหารติดตามมาด้วยจะทำอย่างไรเพคะ” จินฝูเอ่ยถาม “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้ากำชับกับไทเฮาแล้วว่าการเดินบำบัดจะได้ผลเมื่ออยู่คนเดียว จิตใจจะสงบกว่า” “หลอกลวงทั้งฮองไทเฮา ทั้งฮ่องเต้” จิ้นอิ๋งโอดครวญ “เถอะน่า ไว้ใจข้าหน่อยสิ แค่พวกเจ้าทำตามที่ข้าสั่งอย่างที่เราซ้อมกันไว้เป็นพอ” ขณะทุกคนกำลังทบทวนถึงสิ่งที่ต้องทำ หนึ่งในขันทีน้อยทั้งสี่ก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาพลางหายใจหอบ “ฮะ…ฮ่องเต้ สะ…เสด็จมาทางนี้ละ…แล้ว” สิ้นคำรายงาน ทุกคนต่างพากันเลิ่กลั่กเป็นการใหญ่ มีเพียงอวี้เม่ยที่พูดย้ำเรียกสติทุกคนให้ใจเย็น ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแน่ ก่อนหันไปกำชับให้ขันทีน้อยรีบกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเอง คอยกันไม่ให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามาใกล้บริเวณนี้ ตึก ตึก ตึก ตึก ซูลี่รู้สึกว่าหัวใจของตนนั้นเต้นแรงจนแทบจะกระโจนออกมาจากอก คราแรกก็คิดแปลกใจว่าทำไมว่าที่พระชายาต้องคิดให้นางทำอะไรแผลงๆ แบบนี้ด้วย ถ้าเกิดฮ่องเต้จับได้ว่าเรื่องทั้งหมดถูกจัดฉากขึ้นจะไม่โดนโทษหนักหรอกหรือ หลอกลวงฮ่องเต้ให้ทรงเข้ามาในอุทยานหลวงเพียงลำพัง จุดประสงค์ก็เพื่อให้ได้พบเจอกับนาง มันจะเป็นไปได้อย่างไร พระสนมมีเป็นร้อย จะเข้าถวายตัวแต่ละครั้งก็ยากเย็น แล้วไฉเหรินเช่นนางมีอภิสิทธิ์อันใดถึงกล้าทำเช่นนี้ได้ แค่คิดก็กลัวหัวตัวเองจะหลุดจากบ่า ทว่าเมื่อได้ยินคำยืนกรานจากอวี้เม่ย ว่าหากเกิดเหตุผิดพลาด นางจะขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว 'ข้าไม่มีอะไรจะเสียเเล้ว หากสำเร็จ ไม่ใช่เเค่เจ้าจะมีชีวิตที่สุขสบาย หากเเต่เป็นข้าด้วย ข้าจะได้ชีวิตของข้ากลับคืนมา' แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่อวี้เม่ยกล่าวมานั้นหมายความว่าอย่างไร แต่แววตาของนางแลดูจริงใจมาก จนซูลี่ไม่อาจปฏิเสธแผนการนี้ เป็นไงเป็นกันสิ! เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ซูลี่ก็เริ่มทำท่าตามที่อวี้เม่ยบอกหากแต่ว่ามันไม่ใช่ท่าทางชมดอกท้อ ซูลี่กำลังร่ายรำ หญิงงามยิ้มกว้างพร้อมร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนหวาน แม้จะปราศจากเสียงดนตรีแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนาง เพราะนอกจากฝีมือการเย็บปักจะเป็นเลิศแล้ว การร่ายรำก็จัดว่ามีพรสวรรค์เช่นกัน เพียงแต่ตั้งแต่เข้าวังมา นางไม่เพียงเก็บพรสวรรค์นี้ไว้ไม่กล้าเผยให้ใครรู้ ยังเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบเสียจนไม่มีใครสังเกตเห็นอัญมณีที่ล้ำค่าเช่นนี้ ดอกท้อเริ่มโปรยลงมาเป็นสัญญาณว่าบุรุษผู้นั้นมาถึงแล้ว การร่ายรำของซูลี่นั้นเรียกได้ว่าเป็นมนต์สะกดที่ไม่อาจล่ะสายตา ทั้งอวี้เม่ยกับองค์ชายห้าที่ซุ่มดูอยู่ไม่ไกลต่างก็ยอมรับว่าหากไม่รู้จักซูลี่มาก่อน คงคิดว่านางเป็นเทพธิดาจำแลงแปลงกายลงมาอย่างแน่แท้ แน่นอนว่าผู้อยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็คิดไม่ต่างกัน บุรุษที่แม้จะอายุมากแต่หน้าตารูปลักษณ์นั้นไม่ได้ชราตาม อีกทั้งยังเปล่งรัศมีความน่าเกรงขาม ใบหน้าคมคายดุดันนั้นสงบนิ่ง หากสายพระเนตรนั้นยากเกินจะหยั่งรู้ สตรีนางนี้คือใครกัน ซูลี่ผู้กำลังเริงร่ากับหมู่มวลบุปผา ช่างเด่นสะดุดตา เมื่อนางเริ่มหมุนตัว อวี้เม่ยก็แกล้งทำเสียงผิวปาก ซูลี่ตกใจจนเสียจังหวะ ข้อเท้าของนางเกิดพลิก แต่ขณะกำลังจะล้มลง ฮ่องเต้ก็เข้ามาคว้าตัวนางได้ทัน ทรงโอบเอวบางของสตรีไว้ ก่อนจะช้อนร่างเล็กขึ้นแนบอกพลางตรัสถาม “เจ้าเป็นอะไรไหม” ซูลี่ตกตะลึงอยู่นาน นางอ้ำอึ้งก่อนจะส่ายหน้า บุรุษท่านนี้คือ…ฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ ซูลี่รู้สึกว่าตัวชาไปหมด นางตัวแข็งทื่อไม่กล้าแม้แต่จะมองพระพักตร์ “ขอประทานอภัยเพคะ มะ…หม่อมฉัน” “รู้ด้วยหรือว่าข้าเป็นใคร” “ทรงน่าเกรงขาม ดูเปี่ยมมากด้วยบารมี ถึงหม่อมฉันจะโง่เขลาแต่ก็พอจะเดาได้เพคะ” ฮ่องเต้ยิ้มให้กับคำพูดที่ใสซื่อของนาง ไม่รู้ทำไมยามมองสตรีนางนี้ ความรู้สึกภายในใจกลับร้อนรุ่มเช่นนี้ได้ เป็นความรู้สึกที่หายไปนานตั้งแต่ฮองเฮาจากไป ความรู้สึกที่อยากครอบครอง เป็นเจ้าของ สตรีนางนี้ปลุกบางอย่างในตัวบุรุษให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารู้จักข้า แต่ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลย” “ทูลฝ่าบาท มะ…หม่อมฉันเสียมารยาท ไม่แนะนำตัวให้ทรงทราบ หากจะทรงปล่อยหม่อมฉัน หม่อมฉันจะได้ถวายพระพร” “จะให้ปล่อยได้เช่นไร ข้อเท้าเจ้าเจ็บอยู่” ฮ่องเต้กระชับอ้อมแขนของตนให้แน่นขึ้น ก้มมองหญิงงามครู่หนึ่งก่อนกระซิบบอก “เอาเป็นว่า เจ้าค่อยไปแนะนำตัวที่ตำหนักข้าก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็ไม่ฟังคำทักท้วงแต่อย่างใด ทรงรีบเร่งอุ้มซูลี่ไปจากบริเวณนั้นทันที อวี้เม่ยกับองค์ชายห้าที่เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดพากันออกมาจากที่ซ่อน ฮุยอินที่ยืนอยู่ด้านหลังยังคงเอามือปิดตาตัวเองอยู่ ทำอวี้เม่ยหัวเราะอย่างขบขัน “แผนสำเร็จยิ่งกว่าสำเร็จเสียอีก” อวี้เม่ยกล่าวอย่างอารมณ์ดี ทำองค์ชายห้าที่ยืนอ้าปากค้างถึงกับพูดไม่ออก เสด็จพ่อ…แข็งแรงกว่าที่ข้าคิดมาก “ทีนี้เจ้าก็วางใจได้แล้วสิ” อวี้เม่ยพยักหน้า “ปัญหาที่หนักใจที่สุดของข้า ในที่สุดก็หาทางแก้จนได้” ฮุยอินที่เริ่มลดมือลง เดินมากระซิบบอกอวี้เม่ย “ไม่คิดเลยนะเจ้าคะ พระสนมซูออกจะนิ่งเงียบขนาดนั้นยังทำฮ่องเต้หวั่นไหวได้ นี่ต้องเป็นเพราะชุดที่ข้าเลือกให้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” อวี้เม่ยยิ้มให้กับความซื่อบื้อของฮุยอิน ถึงแม้อวี้เม่ยจะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ หากแต่ก็เคยได้ยินญาติพี่น้องผู้ชายคุยเล่นในทำนองว่า 'ชายนั้นอย่างไรเสียก็คือนักล่า บางครั้งกลายเป็นฝ่ายถูกล่าบ้างก็ตื่นเต้นดี หากเเต่ถ้าเลือกได้ก็ชอบลูกกวางน้อยมากกว่าม้าพยศเป็นไหนๆ' บุรุษหนอบุรุษ มาคิดๆ ดูแล้ว หากเป็นไท่จื่อ เขาจะชอบแบบไหนกันนะ คงจะลูกกวางน้อยเช่นซูลี่หรือเปล่า เพราะเดิมทีทั้งสองต้องได้ร่วมเคียงกัน แต่ยังไงเสีย ซูลี่…ตอนนี้นางก็คงได้มีความสุขตามแบบฉบับเรื่องราวเดิมของนาง เท่ากับว่าข้าไม่ได้ทำร้ายนาง “จินฝู จิ้นอิ๋ง พวกเจ้าออกมาได้แล้ว ไปตามขันทีน้อยทั้งสี่มาด้วย งานนี้สำเร็จได้เพราะพวกเจ้าช่วยกัน ฉะนั้นคืนนี้ข้าฉางอวี้เม่ยขอเลี้ยงชุดใหญ่ ดื่มกินไม่อั้นกันไปเลย!!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD