ไท่จื่อไปลั่วหยาง?!
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย” อวี้เม่ยเอ่ยเสียงสั่น เผลอปล่อยถาดผลไม้ที่ถือมา โชคดีที่องครักษ์หนุ่มว่องไวรีบคว้าไว้ได้ทันก่อนจะหยิบชิ้นส้มที่ถูกแกะไว้พร้อมเรียงอย่างสวยงามเข้าปาก
“เป็นการเดินทางกะทันหันจึงไม่ได้เรียนบอกว่าที่พระชายา อีกทั้งยังเป็นการเสด็จส่วนพระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
กะทันหันและส่วนตัวงั้นเหรอ… แปลก… อะไรมันจะลึกลับขนาดนั้น
ไอ้เราก็อุตส่าห์จัดการเรื่องซูลี่ได้แล้วเชียวนะ ไหงไท่จื่อถึงไปไหนไม่บอกไม่กล่าวเช่นนี้
อวี้เม่ยหันมองอาฟงที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยัดส้มที่นางตั้งใจปอกเปลือกพร้อมแกะเป็นชิ้นๆ อย่างบรรจงเข้าปากตัวเองอย่างเอร็ดอร่อย แต่เมื่อชายหนุ่มเห็นอวี้เม่ยหมุนตัวจะเดินไปก็รีบโกยทั้งหมดเข้าปากก่อนจะสาวเท้าเข้ามาใกล้
“เจ้าจะตามข้ามาทำไม”
“กระหม่อมจะไปส่งว่าที่พระชายากลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้เม่ยขมวดคิ้ว ทำหน้างุนงง “ข้ากลับเองได้”
“กระหม่อมต้องทำตามคำสั่งไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้เม่ยจ้องอาฟงตาเขม็ง “เหตุใดไท่จื่อจึงรับสั่งเช่นนั้น”
“ว่าที่พระชายาอย่าคิดมาก ไท่จื่อแค่ให้กระหม่อมอารักขาท่านแต่เพียงเท่านั้น”
โกหก แบบนี้ไม่ใช่อารักขาเสียหน่อย ไท่จื่อคงอยากจะจับตาดูข้าตอนตัวเองไม่อยู่สินะ แต่ทำไมกันล่ะ...
แม้จะรู้ว่าสิ่งที่อาฟงพูดเป็นคำลวง แต่อวี้เม่ยก็ไม่ได้พูดแย้งใดๆ นางปล่อยให้บุรุษเดินตามนางไปจนถึงตำหนักเเห่งหนึ่ง อาฟงทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ในหัวหวนนึกถึงสิ่งที่ไท่จื่อรับสั่ง
'พักนี้อวี้เม่ยทำตัวเก่งกล้าขึ้นเยอะ หักหน้ากุ้ยเฟย เข้าหาซูเฟย เป็นแม่สื่อให้ไฉเหริน แล้วต่อไปไม่รู้จะทำเรื่องอะไรอีก ข้าล่ะกลัวเหลือเกินว่าจะมีคนประสงค์ร้ายต่อนาง ฉะนั้นในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ คงต้องฝากเจ้าดูเเลแทน อย่าให้นางทำเรื่องแผลงๆ เด็ดขาด'
คราแรกอาฟงคิดว่าหวงไท่จื่อทรงกังวลเกินไปแล้ว ว่าที่พระชายาก็เป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ นอกวัง จะทำอะไรได้ แต่ตอนนี้คงต้องเชื่อแล้วว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา
“เอ่อ…ท่านมาที่นี่”
“ข้าอยากมาหาองค์ชายห้า” อวี้เม่ยหันมาบอก แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าเข้าไป องค์หญิงหลิงเซียงก็เดินมาขวางหน้าไว้เสียก่อน นางจ้องอวี้เม่ยด้วยแววตาเย็นเยียบ มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนเอื้อนเอ่ย
“ไม่ได้เจอกันเสียนาน ว่าที่พระชายาสบายดีหรือไม่”
แม้จะไม่ทันตั้งตัวแต่อวี้เม่ยก็สงวนท่าทีสงบนิ่ง ยัยบ้านี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไรนะ
“สบายดี” อวี้เม่ยไม่อยากเสียเวลาเสวนากับคนตรงหน้าจึงพยายามเบี่ยงตัวหลบแต่องค์หญิงจอมหาเรื่องก็ขยับมาขวางหน้าเช่นเดิม ทำอย่างนี้ซ้ำไปมาจนอวี้เม่ยเริ่มหมดความอดทน
“ต้องการยั่วโมโหข้าหรือไง”
“ข้ามิกล้า เพียงแต่มิอาจเปิดทางให้เจ้าเข้าไปข้างในได้ ตอนนี้พี่ห้าของข้ามีแขก คงไม่สะดวกให้การต้อนรับ อีกอย่างการที่ว่าที่พระชายาจะเข้านอกออกในตำหนักนี้ตามใจชอบ ชวนพี่ห้าออกไปเที่ยวเล่นเช่นนี้ดูจะเป็นการไม่เหมาะสม อย่าว่าข้าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ การที่เจ้าวิ่งไปหาชายคนนั้นทีคนนี้ที มันใช่สิ่งที่ผู้หญิงตระกูลฉางควรกระทำอย่างนั้นหรือ”
“องค์หญิงหลิงเซียงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมว่าพูดกันดีๆ ก็ได้ ไยต้องกล่าวร้ายว่าที่พระชายาเช่นนั้นด้วย” อาฟงที่ทนฟังคำสบประมาทนั้นไม่ได้ กล่าวปกป้องอวี้เม่ย
องค์หญิงหลิงเซียงมองอาฟงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนจะสบถด่า “ขี้ข้าอย่างเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนข้า ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง อยากโดนโบยหรือไง!!!”
“หลิงเซียง!!! เหตุใดเจ้าถึงชอบพ่นแต่คำสกปรกๆ เช่นนี้อยู่เรื่อย เรื่องที่เจ้าปล่อยข่าวลือข้าเมื่อคราวก่อน ไม่ได้สอนบทเรียนแก่เจ้าเลยใช่หรือไม่” อวี้เม่ยที่หมดความอดทนเดินเข้าไปจ้องหน้านาง แววตาคมกริบประดุจมีดดาบ ทำองค์หญิงหลิงเซียงกลืนน้ำเฮือกใหญ่ แต่ก็ครู่เดียวเท่านั้นเมื่อนางตั้งสติได้ก็หันหลังเดินกลับเข้าไปภายในตำหนักทันที
อวี้เม่ยที่เกลียดการดูถูกคนเป็นที่สุดไม่อาจทนปล่อยเรื่องนี้ไปได้ แต่หากจะทูลฟ้องเต๋อเฟย เกรงว่าจะเปล่าประโยชน์ เพราะใครๆ ต่างก็กล่าววาจาเช่นนี้กับคนที่ต่ำกว่าตนทั้งนั้น
อวี้เม่ยมองขึ้นไปยังต้นไม้ข้างๆ ก่อนจะยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย อาฟงที่เห็นดังนั้นรีบเข้ามาขวางโดยไว หากแต่อวี้เม่ยก็ไล่เขาออกไปให้พ้นทาง “ข้าจะไม่ปล่อยให้คนปากสุนัขเช่นนี้ได้ใจหรอก”
ว่าแล้วสตรีที่แม้จะตัวเล็กหากแต่เก่งเรื่องปีนป่ายก็ค่อยเคลื่อนกายขึ้นไปตามกิ่งก้านสาขา จนเมื่อถึงบนยอดก็กวาดตามองหาเป้าหมาย
องค์หญิงหลิงเซียงยืนอยู่บริเวณลานกว้าง กำลังกล่าวอะไรบางอย่างกับบรรดานางกำนัล ท่าทางวางอำนาจน่าดู สายตาอวี้เม่ยเหลือบไปเห็นรังมดแดงรังเล็กอยู่ไม่ไกล นัยน์ตาคู่งามส่องประกายพร้อมความคิดชั่วร้าย นางปลดผ้าผืนหนึ่งที่เอวก่อนจะพันไว้ที่มือตัวเอง พร้อมเอื้อมไปคว้ารังมดนั้นอย่างระวัง แล้วจึงไต่ตามกิ่งไม้กิ่งหนึ่งที่ยาวโค้งเข้าไปภายในตำหนัก
อวี้เม่ยก้มตัวนิ่งรอจังหวะที่องค์หญิงหลิงเซียงเดินเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นก็โยนรังมดแดงลงกลางศีรษะของนาง เสียงกรี๊ดดังขึ้นทันใด อวี้เม่ยรีบพาตัวเองลงจากต้นไม้ก่อนจะวิ่งหนีไปอีกทาง
อาฟงที่วิ่งตามหลังมา ตกตะลึงในความกล้าบ้าบิ่นของนางพร้อมสงสัย นี่คือการกระทำแผลงๆ ที่ไท่จื่อสั่งห้ามไว้หรือเปล่า?
เมื่อทั้งคู่วิ่งมาได้ไกลพอก็พากันหยุด หันมองหน้ากันและหลุดหัวเราะออกมาดังลั่น
“หวังว่าครั้งนี้จะทำให้นางเข็ดหลาบเสียบ้าง”
“ท่านไม่กลัวหรือ หากองค์หญิงหลิงเซียงนำเรื่องนี้ไปฟ้อง…”
“นางไม่มีหลักฐานเสียน้อย กล้ากล่าวหาข้าก็ลองดู”
เชื่อเข้าเลย… นางช่างร้ายยิ่งนัก อาฟงยิ้มอย่างขบขันก่อนจะบอกให้อวี้เม่ยกลับตำหนักจินเยว่ได้แล้ว จะได้ให้ฮุยอินตรวจดูว่ามีร่องรอยการถูกมดแดงกัดหรือไม่
อวี้เม่ยพยักหน้า แต่แล้วหางตากลับเห็นใครบางคนวิ่งอยู่ไกลๆ ดูท่าทางลับๆ ล่อๆ น่าสงสัยยิ่งนัก อย่ากระนั้นเลยลองตามไปดูเสียหน่อยดีกว่า
ชายผู้มีท่าวิ่งโงนเงนเช่นนั้น เดาได้เลยว่าเป็นองค์ชายแปด
บุรุษที่ยังไม่สร่างจากฤทธิ์สุรา ตรงไปยังตำหนักองค์ชายรองด้วยความเร่งรีบ เมื่อย่างเท้ามาถึงก็เห็นพี่น้องทั้งสองนั่งพูดคุยกันอยู่ก่อนแล้ว
“ว่าอย่างไรว่าอย่างไร แผนสำเร็จไหม” ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะนั่งลงยังเก้าอี้ ปากก็พร่ำถามถึงแผนการก่อนแล้ว
“เจ้าใจเย็น ไท่จื่อเพิ่งจะเดินทางออกไป คงอีกสักพักใหญ่กว่าจะถึง” องค์ชายรองตอบ
“ก็ข้าอยากรู้นี่น่า จะอดใจไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ไท่จื่อเป็นคนฉลาด ระวังตัว อีกทั้งยังเก่งวรยุทธ์ หากหุนหันพลันแล่นไป เกรงจะพวกเราเองที่จะเดือดร้อน” องค์ชายสิบสี่กล่าวเสริม
“หึ! ทำเป็นพูดดี หากแผนครั้งนี้ล่ม สาเหตุก็มาจากเจ้านั่นแหละ”
“คนที่วันๆ ไม่ทำอะไร รอเพียงกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว ไม่มีสิทธิ์จะมาว่าข้านะ”
“นี่เจ้า!!!”
องค์ชายรองทุบโต๊ะดังปัง ทำองค์ชายแปดที่กำลังลุกขึ้นชี้นิ้วด่าองค์ชายสิบสี่รีบนั่งลงทันที
“พวกเจ้าจะทะเลาะกันทำไมหนักหนา ลงเรือลำเดียวกันเเล้ว สามัคคีกันหน่อยไม่ได้หรือไง”
“ข้าขอโทษ” องค์ชายแปดเอ่ยเสียงสั่น
องค์ชายรองถอนหายใจพลางยกชาขึ้นดื่มก่อนจะปรายตามองน้องชายอีกคน “เจ้าก็เหมือนกัน พักนี้เป็นอะไร ใครพูดอะไรนิดหน่อยเป็นต้องมีน้ำโหไปเสียหมด”
องค์ชายสิบสี่ไม่กล้าบอกเรื่องที่อวี้เม่ยเข้าหาซูเฟยให้องค์ชายรองรู้ เพราะลึกๆ แล้วเขานั้นรู้ดีว่าหญิงสาวจงใจจะเข้าหาตนเอง แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่านางมีจุดประสงค์อันใด หากพูดออกไปตอนนี้รังแต่จะสร้างปัญหาให้นางเสียเปล่าๆ
องค์ชายรองสนจะทำการใหญ่แต่เพียงเท่านั้น คงไม่สนสตรีที่ไร้พิษสงอย่างอวี้เม่ย เว้นเสียแต่อวี้เม่ยจะเริ่มทำตัวเป็นปรปักษ์ ขัดขวางแผนการของบุรุษ องค์ชายรองก็คงไม่นิ่งนอนใจ ต้องหาทางกำจัดนางอย่างแน่แท้
“แผนในครั้งนี้ ข้าจะขอลงไปสั่งการด้วยตัวเอง จะไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน”
ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น องค์ชายรองก็หัวเราะอย่างชอบใจ “เป็นเช่นนั้นก็ดี หากเจ้าทำสำเร็จข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”
“พี่รองวางใจข้าได้ ไท่จื่อจะไม่มีโอกาสกลับมายังวังหลวงแห่งนี้ได้อีก หรือหากกลับมาได้ก็จะกลับมาเพียงร่างกายเท่านั้น”
แม้การเสด็จออกไปครั้งนี้จะเป็นความลับแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสายตาขององค์ชายทั้งสามไปได้ พวกเขารอโอกาสนี้มานาน ในที่สุดวันที่เหมาะสมจะลงมือก็มาถึง แม้จะเป็นหวงไท่จื่อก็เถอะ อย่างไรเสียก็ไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชในครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน
แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาทั้งสามไม่ทันได้คาดคิด คือหญิงสาวที่เกาะฟังเรื่องราวทั้งหมดอยู่นอกหน้าต่างนั้นต่างหากเล่า อวี้เม่ยได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน นางวิ่งหน้าตาตื่นออกมาก่อนจะเขย่าร่างขององครักษ์หนุ่มที่ยืนดูต้นทางอยู่ทางด้านหลัง
“เราต้องรีบไปช่วยไท่จื่อ พวกเขาจะลอบสังหารไท่จื่อ” อวี้เม่ยกล่าวอย่างร้อนรน หากแต่อาฟงกลับยืนนิ่งไม่ได้รู้สึกตื่นตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“ท่านอย่าได้ห่วง ไท่จื่อเป็นผู้มีบุญ อย่างไรเสียฟ้าต้องคุ้มครอง”
ห๊า? คิดงั้นจริงสิ นี่เจ้าเป็นองครักษ์แน่หรือเปล่าเนี่ย
อาฟงเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีของอวี้เม่ย จึงกล่าวต่อ “ไท่จื่อทรงฉลาดปราดเปรื่อง เก่งกล้าสามารถ อย่างไรเสียก็เอาตัวรอดได้แน่”
อวี้เม่ยเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางนั้นทั้งซีดเผือดและเหงื่อแตกพร่า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน “ข้าต้องการไปช่วยว่าที่พระสวามีข้า หากเจ้าไม่ช่วย ข้าก็มีวิธีของข้าเหมือนกัน”
อาฟงถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า อวี้เม่ยเหมือนจะเริ่มถอดใจแต่แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “คืนส้มที่เจ้ากินทั้งหมดมา เข้าทางไหนออกทางนั้น เข้าด้วยรูปลักษณ์อย่างไรต้องออกมาเป็นเช่นเดิม มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้าข้อหาขโมย โทษสูงสุดคือเนรเทศไปสุดขอบชายแดน เจ้าว่าอย่างไร”