ตอนแรกอวี้เม่ยคิดหาข้ออ้างสารพัด องค์ชายสิบสี่ต้องขอเรื่องยากๆ เป็นแน่ หรืออาจอยากแกล้งให้นางต้องร้องไห้โฮกับคำขอที่ยากเกินจะทำให้ได้ แต่แล้วกับเป็นเพียงคำบอกที่ว่าให้เดินเล่นเป็นเพื่อนในอุทยานหลวงเพียงเท่านั้น
โล่งอกไปที คิดว่าจะแย่เสียแล้ว
“ถึงกับถอนหายใจเลยหรือ” เสียงนุ่มลึกเอ่ยถาม
“หม่อมฉันไม่คิดว่าจะทรงขอเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้”
“เรื่องเล็กน้อยงั้นเหรอ… เจ้าได้เรียนเรื่องมารยาทมาจริงๆ หรือเปล่า การที่สตรีเฉกเช่นเจ้าเดินเคียงข้างบุรุษอื่นที่ไม่ใช่คู่หมายโดยปราศจากผู้ติดตามข้างกาย มันจะเป็นอย่างไร”
“ถ้าหากจุดประสงค์ขององค์ชายคืออยากทำให้หม่อมฉันอับอายหรือเป็นที่พูดสนุกปากของใครล่ะก็ บอกเลยว่าเสียเเรงเปล่าเพคะ”
อวี้เม่ยพูดพลางทำหน้าเฉยเมย เราห้ามปากใครไม่ได้ อีกทั้งในอนาคตอวี้เม่ยมีศักดิ์จะได้เป็นพระชายา เป็นว่าที่ฮองเฮา การถูกวิพากษ์วิจารณ์ย่อมมีมากตาม หากเก็บเอาทุกคำพูดมาใส่ใจ คงทำประสาทเสียเข้าสักวัน
เว้นคำพูดนั้นจะต่ำตมจนมิอาจให้อภัย ก็คงต้องมีสั่งสอนกันบ้าง
“งั้นเหรอ ข้าเสียแรงเปล่าสินะ”
องค์ชายสิบสี่เหลือบมองร่างเล็กข้างกาย ในใจคิดว่าสตรีนางนี้ผ่านพบสิ่งใดมาบ้าง เหตุใดจึงมีท่าทีผิดแปลกและสงบนิ่งถึงเพียงนี้ คำพูดดูเฉลียว การเข้าหาคนอื่นเพื่อประจบสอพลอ อีกทั้งครั้งก่อนที่สนามประลอง นางกล้าที่จะพูดออกมาตรงๆ ว่ามาเพื่อให้กำลังใจหวงไท่จื่อ และยังท้าพนันกับเขาอีก อวี้เม่ยเป็นสตรีขี้กลัวและเขินอายจะตายไป ทำไมถึงกล้าเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองถึงเพียงนั้นได้
อยู่ๆ อวี้เม่ยก็เงยหน้าขึ้นมอง ทำองค์ชายสิบสี่ต้องแกล้งมองไปทางอื่นด้วยความตกใจ
“องค์ชายสิบสี่เพคะ มีสิ่งใดก็บอกหม่อมฉันตรงๆ ได้นะเพคะ”
องค์ชายสิบสี่หันกลับมามองอวี้เม่ยด้วยสีหน้าเย็นชา หากแต่ภายในใจนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ที่ทรงชวนหม่อมฉันออกมาเดินในที่ปลอดคนเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะมีเรื่องจะพูดหรือเพคะ”
จะว่ามีก็มี แต่ไฉนนางถึงไม่คิดบ้างว่าบางทีข้าอาจจะแค่อยากอยู่กับนางเเค่สองคน
“ไม่มี” องค์ชายสิบสี่ตอบ
อวี้เม่ยพยักหน้า เว้นสายตาที่หรี่ลงคล้ายจะจับผิด แต่ก็ต้องยกเลิกการกระทำนั้นเมื่อเห็นสายตาปรามของอีกฝ่าย
อวี้เม่ยจึงจำใจหันไปสนใจกับบรรดาดอกไม้เบื้องหน้าแทน หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ เชยชมดอกท้อสีชมพูที่เบ่งบานอยู่เต็มต้นไม้ใหญ่ กลีบดอกนั้นรีเล็กคล้ายรูปหยดน้ำแซมเกสรสีเข้ม สวยงามและเพลินตายิ่งนัก ยามสายลมพัดผ่าน กลีบดอกท้อร่วงหล่นเป็นดังสายฝนที่หมุนวนอยู่รอบสตรี
อวี้เม่ยยิ้มกว้าง เงยหน้ามองภาพที่งดงามล่องลอยท่ามกลางพื้นฟ้าสีคราม ในหัวคิดคำนึงถึงแผนการที่ตระเตรียมไว้ ดอกท้อนี่แหละจะเป็นไพ่ตายของข้า!!!
ขณะหญิงสาวหมุนตัวอยู่กลางดอกท้อที่โปรยปราย สายตาขององค์ชายสิบสี่ก็จับจ้องมาที่นางตลอด ไม่ใช่สายตาเย็นชาหากเป็นความลุ่มหลงที่อยู่ภายในใจ
ยามขยับกาย ท่วงท่าที่แสดงออกโดยที่ไม่ตั้งใจ งามสง่าดังหงส์งามที่กำลังเริงระบำก็มิปาน
อวี้เม่ยหันกลับมายิ้มให้องค์ชายสิบสี่พลางย่างเท้าเข้ามาหา ยื่นดอกท้อในมือให้ชายหนุ่ม “ให้องค์ชายเพคะ”
ดวงตาทอประกายดั่งดวงดาวยามค่ำคืน รอยยิ้มที่อ่อนโยน ทำผู้ได้เห็นรู้สึกอบอุ่นหัวใจ องค์ชายสิบสี่รีบสะบัดไล่ความคิดนั้นก่อนจะทำเป็นเบือนหน้าหนี ไม่สนใจนาง
อวี้เม่ยทำหน้าเศร้าทันที นางเป่าดอกท้อออกจากมือก่อนจะกล่าวขอตัวกลับตำหนัก แต่องค์ชายสิบสี่นั้นไม่อนุญาต
“ทรงต้องการสิ่งใดอีก ขอให้หม่อมฉันมาเดิน ก็มาเดินให้แล้ว” มาทำเป็นเมินใส่กัน แล้วจะให้ออกมาด้วยทำไม อวี้เม่ยที่ไม่เข้าใจการกระทำของบุรุษจึงเริ่มอารมณ์เสีย
“เจ้าอยู่ในตำหนักจินเยว่ เป็นอย่างไรบ้าง”
อวี้เม่ยเอียงคอสงสัย อยู่ๆ ถามอะไรเนี่ย “ก็สบายดีเพคะ”
“ไท่จื่อ…ดีกับเจ้าไหม อันที่จริงข้าก็ได้ยินข่าวมาบ้างว่าความรักของเจ้านั้นชื่นมื่น แต่ก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ไท่จื่อเป็นคนดุร้าย อีกทั้งยังมีโรคประหลาดติดตัว เจ้าคิดว่าจะฝากชีวิตไว้กับคนแบบนั้นจริงๆ เหรอ”
อวี้เม่ยมองเขาอย่างตกตะลึง
เหตุใดองค์ชายสิบสี่ถึงพูดจาเช่นนี้ ตั้งใจดูถูกไท่จื่องั้นเหรอหรืออยากจะขู่อะไรข้ากันแน่
“ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยเพคะ ไท่จื่อดีกับหม่อมฉันมาก แม้ว่าเมื่อก่อนจะไม่ทรงใส่พระทัย แต่ตอนนี้ไท่จื่อทั้งใจดีและเปิดใจกับหม่อมฉันมากขึ้น หม่อมฉันเชื่อว่าไม่นานพวกเราทั้งคู่จะต้องเข้ากันได้ดี อีกอย่างเรื่องโรคของไท่จื่อก็เป็นเพียงอาการป่วยเล็กน้อย ไม่ได้สร้างปัญหาที่จะกระทบต่อการครองราชย์อย่างแน่นอนเพคะ”
ปากขององค์ชายสิบสี่กระตุกเล็กน้อย เขาแทบจะไม่อยากเชื่อว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้า จะพยายามออกแรงปกป้องผู้เป็นพี่ชายของเขาได้ถึงเพียงนี้ ทั้งคำพูดและแววตาดูขึงขังเเละจริงจังมาก
น่าหงุดหงิดเสียจริง
สายลมพัดผ่านกลีบดอกท้อร่วงหล่นบนศีรษะของอวี้เม่ย องค์ชายสิบสี่เอื้อมมือหมายจะหยิบออกให้ หากแต่เมื่อคิดถึงฐานะของตัวเองก็จำต้องรีบชักมือกลับโดยเร็ว
“ยังไงซะ ก็ระวังตัวไว้หน่อยเถิด”
อวี้เม่ยขมวดคิ้วแน่น ถึงปกติคนผู้นี้จะชอบพูดอะไรชวนงุนงงอยู่บ่อยครั้ง และนางควรจะทำใจให้ชินก็เถอะ แต่ถ้ามันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายหรือตระกูลฉางของนาง อวี้เม่ยก็ไม่อาจเพิกเฉยได้
“ทรงหมายความอย่างไรเพคะ ระวังอะไร”
“ข้าบอกไม่ได้ แค่อยากให้เจ้าระวังตัวไว้ก็เท่านั้น บางครั้งคนที่เจ้าคิดว่าดีกับเจ้า อาจจะไม่ใช่คนดีก็ได้”
“หากทรงหมายถึงไท่จื่อ หม่อมฉันว่าไม่มีทางเพคะ”
เหตุการณ์ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป ไท่จื่อจะไม่มีทางทำร้ายข้าอีกแน่นอน เขาต้องอยู่ข้างข้า ปกป้องข้า พวกเราจะต้องไม่เป็นไร
“อวี้เม่ย… ในวังแห่งนี้ มีอีกหลายเรื่องที่เจ้าไม่อาจล่วงรู้”
“หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันรู้ว่าจะเกิดอะไรแต่หม่อมฉันจะทำทุกอย่างไม่ให้มันเกิดขึ้น”
“ทำไมเจ้าถึงดื้อดึงเช่นนี้”
องค์ชายสิบสี่ลืมตัว เข้าไปจับไหล่ที่สั่นเทาทั้งสองของอวี้เม่ยก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ขอร้อง เชื่อข้า เจ้าอย่าทำสิ่งใดที่จะสร้างภัยแก่ตัวเอง ไท่จื่อ พวกพี่รอง หรือแม้แต่เสด็จเเม่ข้า อยู่ให้ห่างจากนาง สัญญากับข้าสิ”
อวี้เม่ยจ้องลึกเข้าไปภายในดวงตานั้นก่อนจะผละตัวเองออกมา “เป็นท่าน!! ท่านที่อยู่นอกตำหนักข้าเมื่อคืนก่อน ท่านในชุดดำนั้น”
อวี้เม่ยถอยหลังด้วยความหวาดกลัว หน้าของหญิงสาวซีดเผือดแต่ยังคงไว้ซึ่งแววตาแข็งกร้าวของคนที่ไม่ยอมจำนน “หม่อมฉันจะปกป้องคนที่รัก ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร หม่อมฉันก็จะสู้จนถึงที่สุด”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ทำใจอวี้เม่ยพลันเต้นระรัว หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกไป สายตาองค์ชายสิบสี่ที่มองมายังนางนั้นดูเย็นชามากขึ้นทั้งยังดูผิดหวังอย่างน่าประหลาด
องค์ชายสิบสี่รู้อะไรมากันแน่นะ
“อวี้เม่ย อวี้เม่ย อวี้เม่ย” ฮองไทเฮาที่เห็นอวี้เม่ยนิ่งไปก็ร้องเรียกจนนางได้สติ “เจ้าเป็นอะไร ข้าเรียกตั้งนานไยถึงเหม่อลอยเช่นนี้”
“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันใจลอยนิดหน่อย เมื่อสักครู่ไทเฮาว่ามีเรื่องหนักพระทัยหรือเพคะ”
หญิงชราพยักหน้าพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ก็เรื่องฮ่องเต้น่ะสิ หมู่นี้ดูเหนื่อยล้าชอบกล ข้าล่ะเป็นห่วงเหลือเกินว่าจะล้มป่วย”
ไม่ใช่แค่อวี้เม่ยที่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ หากแต่คนทั่วทั้งวังหลวงต่างก็รู้ไม่ต่างกัน ระยะหลังเสียนเฟยมักถวายการดูแลฮ่องเต้อยู่ทุกค่ำคืน แม้แสงไฟในห้องจะมืดดับแต่เสียงที่เล็ดลอดออกมานั่นดังชัดเจน ถึงจะไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงแต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าทั้งสองทำสิ่งใดกัน
เสียนเฟยเป็นสตรีที่อายุน้อยกว่าฮ่องเต้หลายปี หน้าตาผิวพรรณงดงามราวบุปผาเบ่งบาน จริตมารยาหญิงนับว่ามีชั้นเชิงยิ่งนัก โดยเฉพาะเรื่องรักใคร่สานสัมพันธ์ เข้าตำราวัวแก่กินหญ้าอ่อน ถึงแม้วัวแก่ตัวนี้หาใช่วัวธรรมดาแต่สังขารก็คือสังขาร ล้วนร่วงโรยตามกาลเวลาไม่ต่างกัน
“เมื่อเช้าองค์ชายห้าก็มาหาข้า บอกเป็นห่วงสุขภาพฮ่องเต้ จะเรียกหมอหลวงมาตรวจดู ฮ่องเต้ก็ไม่ยอม ข้าล่ะกลุ้มใจนัก”
อวี้เม่ยลุกขึ้นพลางเดินไปบีบนวดไหล่ให้ฮองไทเฮา พูดปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ฮองไทเฮาอย่าเพิ่งวิตกเพคะ บางทีฮ่องเต้อาจจะแค่เหนื่อยจากการทรงงาน การเรียกหมอหลวงมาตรวจเกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ สร้างข่าวลือเสียหายในกลุ่มขุนนาง ไม่สู้ให้ทรงออกมาเดินเล่นพักผ่อนในอุทยานหลวงสักหน่อยจะดีกว่าหรือไม่เพคะ”
“เดินเล่นงั้นหรือ”
“เพคะ ยามนี้อากาศกำลังอบอุ่นสบาย ดอกท้อบานสะพรั่ง งดงามตามากนัก ขนาดหม่อมฉันเห็นยังรู้สึกสบายใจเลยเพคะ หากฮองไทเฮาเอ่ยปาก เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ฮ่องเต้ต้องไม่กล้าปฏิเสธเป็นแน่”
ฮองไทเฮาเงยหน้ามองอวี้เม่ยครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ “เอาสิ ลองดูก็ไม่เสียหาย”