ว่ากันว่าอารมณ์ที่ขุ่นมัวมักจะดีขึ้นในยามเช้า ความเงียบและอากาศบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าช่วยปัดเป่าความรุ่มร้อนในจิตใจ
เว้นเพียงสตรีนางนี้
กุ้ยเฟยที่นอนไม่หลับทั้งคืน รีบเร่งฝีเท้าจนขาแทบจะพันกันอยู่รอมร่อ ใจของนางนั้นทั้งกังวลและโกรธเกรี้ยว เหตุใดเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างอวี้เม่ยถึงกล้าแสดงกิริยาเช่นนั้นกับนางได้
ข้าเป็นใหญ่ที่สุดในวังหลัง!!!! มีอำนาจเหนือสนมทุกคนของฮ่องเต้ เจ้ามันก็เป็นแค่ว่าที่พระชายา ริอ่านอยากเป็นศัตรูกับข้าหรือ!!!
“กุ้ยเฟยเพคะ ช้าหน่อยดีไหมเพคะเดี๋ยวจะทรงหกล้ม” แม่นมจางที่วิ่งตามหลังพร้อมนางกำนัลหลายสิบร้องบอก
“ช้าได้อย่างไร ความจริงข้าอยากเข้าเฝ้าเมื่อวานเสียด้วยซ้ำ แต่ฮองไทเฮาทรงมีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าเฝ้าเสียได้” กุ้ยเฟยกล่าวอย่างขุ่นเคืองพร้อมกับเร่งฝีเท้าของตนให้เร็วขึ้นอีก
กระทั่งเข้าเขตพระราชฐานของฮองไทเฮา กุ้ยเฟยก็สูดหายใจลึก ทำหน้าสงบเป็นปกติ และเปลี่ยนมาเดินด้วยท่าทีงามสง่าเหมือนเช่นเคย
เมื่อใกล้ถึงตำหนักฮองไทเฮา มีร่างสูงของบุรุษหนุ่มยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ใจจริงก็อยากจะเดินผ่านทำเป็นไม่สนใจ แต่เกรงว่าจะเป็นที่ถูกครหาจากปากหอยปากปูในวัง อีกทั้งกุ้ยเฟยเองก็เป็นคนที่รักหน้าตาของตนมากกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ชอบการถูกมองข้ามและเกลียดการถูกติเตียนมากที่สุด ฉะนั้นเลยก็กล่าวทักเสียหน่อยก็ไม่เสียหายอันใด
“ถวายพระพรไท่จื่อเพคะ” กุ้ยเฟยเดินเข้าไปย่อตัวพร้อมปั้นหน้ายิ้ม “ทรงมาเข้าเฝ้าฮองไทเฮาเหมือนกันหรือเพคะ”
“อ๋อ เปล่าหรอก คือข้ามารอ...”
“จริงสิ เมื่อวานต้องขอแสดงความเสียใจด้วยนะเพคะที่ทรงแพ้ในงานประลอง” กุ้ยเฟยกล่าวเสียงเศร้าแต่แฝงไปด้วยความสำราญ “ไม่อยากเชื่อว่าจะทรงมีวันดวงตกกับเขาด้วยเหมือนกัน”
“การแข่งขันวัดกันด้วยฝีมือ ไม่เกี่ยวกับดวงเสียหน่อย”
“งั้นก็ทรงยอมรับว่าฝีมือตกหรือเพคะ”
หวงไท่จื่อไม่ตอบแต่จ้องนางตาเขม็ง จงใจจะหาเรื่องข้าหรือไง
“ก็นะ อวี้เม่ยเคยเล่าให้หม่อมฉันฟังอยู่บ่อยครั้งว่าทรงทำอะไร ก็มักจะท่าดีทีเหลว”
“อวี้เม่ยพูดเช่นนั้นหรือ”
เมื่อหวงไท่จื่อแสดงความสนใจ กุ้ยเฟยก็ได้ทีพูดโกหกมดเท็จใส่ไฟต่อ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่สตรีร้ายกาจผู้นี้ใช้เรื่องที่ตนปั้นเสริมขึ้นมาใส่ร้ายอวี้เม่ย พยายามสร้างภาพจำที่ไม่ดีของนางแก่องค์รัชทายาท
“แล้วนางยังบอกข้าอีกว่า...”
แต่ยังไม่ทันกล่าวจบหวงไท่จื่อก็ยกมือห้าม “ข้าไม่คิดเลยว่ากุ้ยเฟยที่สูงส่งจะเก่งเรื่องปั้นน้ำเป็นตัวได้ถึงเพียงนี้”
กุ้ยเฟยชะงัก แต่ก็ยังแสร้งทำหน้านิ่งไม่รู้ความ “ไท่จื่อหมายถึงอะไรเพคะ”
หวงไท่จื่อไม่ตอบ ทำเพียงหัวเราะในลำคอ พระชายาเอกรู้สึกเสียวสันหลังพร้อมขนที่ลุกซู่เมื่อสายตาแข็งกร้าวเริ่มจ้องมองเหมือนกำลังจับพิรุธนาง
น่ากลัว...
แต่แล้วสตรีที่กุ้ยเฟยไม่คาดคิดว่าจะมาอยู่ที่นี่ ก็ค่อยๆ ย่างกายออกมาจากตำหนักใหญ่ ซึ่งครั้งนี้นางดูแปลกกว่าครั้งไหนๆ ไม่ใช่เพราะชุดที่ใส่หรือเครื่องประดับที่มี หากแต่เพราะความมั่นใจและใบหน้าที่อิ่มเอมไปด้วยความสุขปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” กุ้ยเฟยมองอวี้เม่ยด้วยสายตาจิกกัดเหมือนอย่างเคย
อวี้เม่ยก้มหัวเล็กน้อยก่อนตอบ “หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าฮองไทเฮาเพคะ ไยกุ้ยเฟยถึงต้องทำหน้าตื่นตระหนกเช่นนั้นด้วย”
“ใครตื่นตระหนกกัน ไม่มีเสียหน่อย ใช่ไหมแม่นมจาง”
หญิงแก่ข้างกายรีบพยักหน้าเห็นด้วย “เพคะ ไม่มีไม่มี๊ใครตื่นตระหนกเลยเพคะ ว่าที่พระชายาสายตาช่างหาเรื่องเสียจริง”
“หืม”
เสียงปราบของหวงไท่จื่อทำแม่นมจางม้วนลิ้นเก็บแทบไม่ทัน หญิงแก่ก้มหน้าก้มตาเดินถอยไปหลบอยู่ข้างหลังนายของตนโดยเร็ว
“กุ้ยเฟยเพคะ” อวี้เม่ยเงยหน้าสบตากับสตรีจอมบงการอย่างไร้ซึ่งความกลัวใดๆ “หม่อมฉันขอบพระทัยที่ทรงสละเวลาสอนสั่งหม่อมฉันมาหลายวัน แต่ต่อจากนี้ทรงมิต้องลำบากอีกแล้วนะเพคะ”
“เจ้าหมายความว่าไง”
“หม่อมฉันทูลขอฮองไทเฮา เปลี่ยนอาจารย์ผู้สอนคนใหม่”
“อะไรนะ!! ใคร!! ในที่นี้มีใครเหมาะสมกว่าข้าอีกหรือ!!” กุ้ยเฟยแผดเสียงอย่างลืมตัว
อวี้เม่ยยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย นางก้าวเท้าขึ้นมายืนเทียบกุ้ยเฟย ก่อนกระซิบเสียงเย็นชาที่ข้างหู “เป็นคนที่กุ้ยเฟยไม่มีวันจะนึกถึง”
กุ้ยเฟยโมโหจนแทบจะคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ นางกำมือแน่นกระทั่งเล็บยาวทิ่มเข้าไปในเนื้อของตนจนเริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา ถ้าไม่ติดว่าหวงไท่จื่อยืนอยู่ตรงนี้ กุ้ยเฟยคงได้สั่งสอนสตรีปากเก่งคนนี้ไปแล้ว ไม่ปล่อยให้มายืนทัดเทียมพูดจาไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบนี้แน่!
อวี้เม่ยโค้งศีรษะอีกครั้งเป็นการบอกลา พร้อมกับหันหลังเดินจากไปพร้อมว่าที่คู่หมั้น
มันไม่จบแค่นี้แน่ คอยดูเถอะนะ อวี้เม่ย…เด็กอวดดีเช่นเจ้า ข้าจะเอาคืนแน่!!!
รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เป็นคำพูดที่หาได้เกินจริงไม่ เพราะตอนนี้ความรู้สึกของอวี้เม่ยยิ่งกว่าคำว่าโล่งใจเสียอีก
ไม่ต้องทนรับแรงก่นด่า ไม่ต้องทนเรียนเรื่องซ้ำซาก ไม่ต้องรู้สึกด้อยค่าอีกแล้ว
รู้อย่างงี้ข้าทำเสียตั้งนานแล้ว!!!
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดีใจขนาดนั้นเชียว”
อวี้เม่ยพยักหน้า “ดีใจมากเพคะ หม่อมฉันไม่เคยรู้สึกตัวเบาเช่นนี้มาก่อน รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็น”
ในที่สุดข้าก็กำจัดมารร้ายไปได้แล้วหนึ่ง ที่เหลือก็คือองค์ชายกบฏทั้งสามซึ่งก็คือแผนการขั้นต่อไป ซึ่งอาจจะต้องยืดระยะเวลาการลงมือออกไปอีกสักหน่อย เพราะผู้ช่วยของข้ายังถูกกักบริเวณอยู่
โทษฐานการเล่นพนันก็ว่าหนักแล้ว นี่ยังริอ่านเอาแจกันโบราณที่ประเมินค่าไม่ได้มาเดิมพันด้วยอีก กักบริเวณยังถือว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ โทษจริงน่าจะเป็นขังลืมในคุกมืดเสียมากกว่า เป็นคำบอกกึ่งตวาดของเต๋อเฟย
แต่ส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดของข้าด้วย ขอโทษนะอ้ายฉิง ไว้ข้าจะทำขนมไปเยี่ยมท่านนะ
“นี่ก็ยามสายแล้ว ถ้าไท่จื่อพอมีเวลาว่าง อยากจะไปดื่มชาที่ตำหนักหม่อมฉันหรือไหมเพคะ” อวี้เม่ยเอ่ยถาม
หวงไท่จื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ฟังดูน่าสนใจนะ”
แววตาอวี้เม่ยเป็นประกาย แอบอมยิ้มเล็กๆ ด้วยความดีใจ แกว่งเเขนของตนไปมาจนสัมผัสโดนเข้ากับมือใหญ่ของบุรุษข้างกาย นางรีบชักมือกลับด้วยความตกใจ
หวงไท่จื่อหันมามองหน้า
“ขะ…ขออภัย หม่อมฉันดีใจไปหน่อย ลืมสำรวมกิริยาให้เรียบร้อย” อวี้เม่ยรีบแก้ตัว เพราะเกรงว่าจะทำให้หวงไท่จื่อรู้สึกรำคาญในท่าทีเป็นลิงเป็นค่างของตน
ปกติข้าไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยนะ…
อวี้เม่ยทำทีถอยห่าง ยืนเว้นระยะไม่ให้เข้าใกล้หวงไท่จื่อมากเกินไป
ตรงข้ามกับผู้โดนสัมผัส หวงไท่จื่อยกมือของตนขึ้นดูก่อนยื่นออกมาตรงหน้าอวี้เม่ย “มาสิ ยื่นมือเจ้ามา” เสียงทุ้มนุ่มลึกกล่าวพร้อมหงายมือรอรับ
อวี้เม่ยลังเล เงยหน้ามองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจ พลันยกมือของตนขึ้นช้าๆ กลั้นใจ จรดนิ้วมือลงไปก่อนมือของอีกฝ่ายจะรวบทั้งหมดไว้ในคราเดียว
อวี้เม่ยรับรู้ได้ถึงใจที่เต้นแรงของตน ใบหน้าที่ร้อนเเละเเดงไปจนถึงใบหู
หวงไท่จื่อยกมือสตรีที่ครองอยู่ขึ้นมาพลางบอก “ไม่ยักรู้ว่ามือเจ้าเล็กถึงเพียงนี้เชียว”
“มือของสตรีก็ต้องเล็กกว่าบุรุษอยู่แล้วเพคะ” อวี้เม่ยตอบอย่างเหนียมอาย
หวงไท่จื่อมองหน้าที่แดงเรื่อของหญิงสาวพลางนึกขัน มันน่าแกล้งนักเชียว
หวงไท่จื่อออกเดินและจูงมืออวี้เม่ยไปพร้อมกัน ทั้งคู่สลับกันมองหน้าของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลายเกินคาดเดา กระทั่งมาถึงตำหนักจินเยว่ หวงไท่จื่อก็ไม่มีทีท่าจะปล่อยมือ
“ไท่จื่อเพคะ ถึงตำหนักหม่อมฉันแล้ว ปล่อยมือได้แล้วเพคะ”
“ทำไมต้องปล่อยด้วย”
“หม่อมฉันอายนะเพคะ ถ้าฮุยอินหรือใครมาเห็น”
“เรื่องแค่นี้ทำเป็นอาย ทีเรื่องอื่นทำเป็นเก่งนัก”
อวี้เม่ยทำปากเบ้ด้วยความขัดใจ แต่แล้วสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นสตรีผู้หนึ่งที่เดินวนไปมาอยู่หน้าตำหนักของตน เมื่อจับจ้องจนเห็นใบหน้าชัดขึ้น หัวใจของนางที่กำลังเปี่ยมสุขก็มลายหายสิ้น
อวี้เม่ยมองหน้าผู้มาเยือนอย่างตื่นตระหนก
“หม่อมฉันซูไฉเหรินถวายพระพรไท่จื่อ คารวะว่าที่พระชายาเพคะ” ซูลี่กล่าวอย่างนอบน้อมพร้อมส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้เหมือนอย่างเคย