กลิ่นหอม

1691 Words
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเวลาน้ำชาของสองเรา จะกลับกลายเป็นสามคนไปเสียได้ ซูลี่ยื่นถุงเครื่องรางใบเล็กสีแดง ปักคำว่าโชคดีมีสุขแก่อวี้เม่ย “คราวก่อนที่ทรงช่วยหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีอะไรจะตอบแทน นอกจากสิ่งนี้เพคะ” อวี้เม่ยรับถุงเครื่องรางมาเชยชมอย่างยินดี แม้จะไม่อยากสนิทสนมหรือยุ่งเกี่ยวกับซูลี่มากนัก แต่สตรีผู้นี้ก็หาใช่คนเลวร้าย อีกทั้งยังมีจิตใจที่ดีและห่วงหาอาทรคนรอบกายนางเสมอ “เป็นเครื่องรางนำโชคจากวัดบนภูเขา บ้านเกิดของหม่อมฉันเอง ก่อนเข้าวังท่านแม่ได้ให้หม่อมฉันมาสองชิ้น บอกให้พกติดตัวไว้เพื่อคุ้มครองตนเองเพคะ” “ของมีค่าจากมารดาเช่นนี้ ให้ข้าไว้จะดีหรือ” “ดีสิเพคะ หม่อมฉันก็พกไว้ชิ้นหนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งชิ้นให้ว่าที่พระชายาเก็บไว้ จะได้นำโชคลาภและปกป้องคุ้มครองตัวท่าน” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หยิบเครื่องรางที่เหมือนกันอีกชิ้นขึ้นมาให้ดูพลางคลี่ยิ้มน้อยๆ ช่างเป็นสตรีที่อ่อนหวานและไร้เดียงสาเสียจริง คนเช่นนาง ข้าไม่อยากทำร้ายหรือเป็นศัตรูด้วยเลย ซูลี่ก็ไม่ต่างอะไรกับปลาตัวเล็กท่ามกลางหมู่มวลฉลามกล้า ต้องสู้อดทนว่ายเวียนอยู่ในบ่อเลี้ยงในส่วนที่ลึกไร้ซึ่งแสงส่องถึง ไร้ผู้มองเห็น ทุกวันนางทำได้เพียงหลบอยู่ตรงมุมมืด ภาวนาให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัย ไม่ต้องถูกฉลามตัวไหนจับกินหรือกระทั่งคนที่ให้อาหารเองก็โปรดเมตตาอย่าคิดดับชีวิตนาง อวี้เม่ยเหลือบมองหวงไท่จื่อที่นั่งอยู่ตรงข้ามนาง รู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อดวงตานั้นยังนิ่งสงบ ไร้ซึ่งความสนใจใดๆ อาจมีเงยหน้ามองสตรีทั้งสองบ้างแต่ก็แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น “งั้นขอรับน้ำใจนี้ไว้ ขอบคุณมากที่ซูไฉเหรินมีใจคิดถึงข้า” “หม่อมฉันเต็มใจ ว่าที่พระชายามีบุญคุณกับหม่อมฉัน หม่อมฉันจำได้ไม่เคยลืม หากไม่ทรงช่วยพูดกับกุ้ยเฟยในครานั้น เห็นทีหม่อมฉันคงตกที่นั่งลำบากเป็นแน่” หวงไท่จื่อวางถ้วยชาในมือ ก่อนเอ่ยถาม “ช่วยหรือ เรื่องใดกัน” ซูลี่หันมองไปยังบุรุษขี้สงสัย หากแต่เมื่อสบตาความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อวี้เม่ยลุกพรวดขึ้นทันใด แสร้งทำเป็นรินชาให้ทั้งสอง จนเต็มถ้วย “ระ…เรื่องไม่เป็นเรื่องเพคะ แค่กุ้ยเฟยกับซูไฉเหรินบังเอิญเดินชนกันเพียงเท่านั้น” อวี้เม่ยบอก “เจ้าก็เลยพูดต่อรองกับนางงั้นสิ ช่างกล้าไม่เบา” อวี้เม่ยยิ้มขยับปากจะตอบกลับ แต่ซูลี่กลับพูดเสริมขึ้นมา “จริงเพคะ ว่าที่พระชายาช่างกล้าหาญและมีเมตตา ตั้งแต่หม่อมฉันเข้าวังมาก็มีแต่ว่าที่พระชายานี่แหละเพคะที่ทำดีกับหม่อมฉัน” หวงไท่จื่อพยักหน้าก่อนจะมีลมวูบหนึ่งพัดผ่านมา กลิ่นหอมปริศนาล่องลอยในอากาศ เมื่อหวงไท่จื่อได้สูดดมก็รู้สึกดีเป็นอันมาก เอ่ยถามถึงต้นตอของกลิ่นหอมนี้จากสตรีทั้งสอง อวี้เม่ยเองก็ได้กลิ่นอยู่จางๆ หากก็ไม่รู้ว่ามาจากแห่งไหน สตรีอีกคนอมยิ้มน้อยๆ ก่อนตอบคำถามนี้ “ไท่จื่อหมายถึงถุงหอมของหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ” ถุงหอมสีชมพูอ่อนดูเข้าชุดที่สวมใส่ ปักลายดอกมู่ตันด้วยเส้นไหมหลากสีอย่างประณีตบรรจงถูกหยิบขึ้นมาวางต่อหน้า ข้างในบรรจุสมุนไพรที่มีสรรพคุณเฉพาะตัวหลากชนิด ช่วยทำให้ผู้ที่สูดดมรู้สึกผ่อนคลายและเลือดลมหมุนเวียนดี อีกทั้งยังมีดอกไม้แห้งและหญ้าป่าเติมความหอมสดชื่นเพิ่มเข้าไปอีก “ซูไฉเหรินทำเองหรือ งานปักงดงามยิ่งนัก” เมื่ออวี้เม่ยเอ่ยชมก็ทำคนตรงหน้าตาเป็นประกาย รอยยิ้มน้อยค่อยๆ โค้งขึ้นจนแทบจะเผยให้เห็นฟันซี่ขาวที่ซุกซ่อนอยู่ “หม่อมฉันก็ถนัดแต่งานปักเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นแทบจะเรียกว่าไม่ได้เรื่องเลยก็ว่าได้” ซูลี่เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของขุนนางชั้นผู้น้อย ไม่มีชื่อเสียงหรืออำนาจในราชสำนัก นางเป็นหญิงสาวที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่ถนัดเรื่องกาพย์กลอน หมากรุกหรือกระทั่งดนตรี จะมีก็แค่งานปักผ้าเท่านั้นที่หาคนเทียบชั้นได้ยาก แต่เรื่องแค่นี้ไฉนเลยจะดึงดูดความสนใจฮ่องเต้ได้ “ข้าขอดูหน่อยได้ไหม” อวี้เม่ยนิ่งงัน มองหวงไท่จื่อสลับไปมากับซูลี่ ซึ่งนางเองก็มีท่าทีลังเลว่าจะส่งให้ดีหรือไม่ หวงไท่จื่อวางมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะเปลี่ยนจากประโยคขอร้องเป็นคำสั่ง “ขอข้าดูหน่อย” อวี้เม่ยลุกขึ้นอีกครั้ง หมายจะแกล้งทำเป็นรินชาแต่ด้วยความเลิ่กลั่กทำให้มือไปปัดโดนถ้วยชาของหวงไท่จื่อ อีกทั้งกาน้ำที่ถืออยู่ก็หลุดมือจนฝาเปิดออก น้ำชาหกเรี่ยราดเต็มพื้นโต๊ะ บางส่วนกระเด็นไปถูกเสื้อผ้าของซูลี่ อีกทั้งถุงหอมในมือนางก็พลอยเปียกน้ำชาไปด้วย อวี้เม่ยตกใจมากรีบกล่าวขอโทษคนทั้งสองเป็นการใหญ่ “ไท่จื่อทรงเป็นอะไรไหมเพคะ หม่อมฉันขอประทานอภัย” หวงไท่จื่อยืนขึ้นมองสำรวจเสื้อผ้าของตนเช่นเดียวกับซูลี่ “ซูไฉเหรินโดนน้ำชาลวกหรือไม่ ขอข้าดูหน่อยนะ” แต่ซูลี่กลับปัดมือของอวี้เม่ยออกก่อนเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าว ในมือกำถุงหอมของตนแน่น “หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ ถ้าอย่างไรหม่อมฉันขอตัวกลับก่อน” “แต่ชุดของเจ้าเปื้อนหมดแล้ว ยังไงเข้ามาเปลี่ยนชุด…” กล่าวยังไม่ทันจบ ซูลี่ก็ย่อตัวลงพลางหมุนกายเดินออกไปทันที ดูเป็นการกระทำที่ไร้มารยาทและไม่สมกับเป็นซูลี่เหมือนอย่างเคย แต่ช่วงจังหวะหนึ่งหางตาของอวี้เม่ยนั้นสังเกตเห็นได้ว่าสตรีผู้นี้กำลังปิดบังบางอย่างเอาไว้ น้ำตา… ซูลี่กำลังร้องไห้?! “เห็นทีข้าก็คงต้องขอตัวกลับตำหนักเหมือนกัน” อวี้เม่ยหันไปมองหวงไท่จื่อที่ยืนทำหน้านิ่งอยู่ข้างหลัง โชคดีที่เขาไม่ได้โดนน้ำชากระเซ็นไปโดน แต่ใบหน้านิ่งนั้นเหมือนบ่งบอกอารมณ์ที่ไม่ค่อยอภิรมย์นัก “หม่อมฉันไม่ตั้งใจ…” “แค่น้ำชาหกเอง เจ้าอย่าคิดมากเลย” “ทรงอารมณ์เสียหรือเปล่า โกรธหม่อมฉันไหม” สายตาหวงไท่จื่อเริ่มคลายลง น้ำเสียงก็คล้ายจะอ่อนเล็กน้อย “เจ้าเห็นข้าเป็นคนโมโหร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ” ซึ่งความจริงก็ใช่ หวงไท่จื่อทั้งโมโหร้ายและเย็นชา ผู้ใดพบเห็นเป็นต้องหัวหดกันแทบทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่คู่หมั้นอย่างอวี้เม่ย ที่เมื่อเข้าวังมาก็มักจะถูกหมางเมินอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งเรื่องราวเก่าก่อนเริ่มเปลี่ยนไป กำแพงที่กั้นขวางระหว่างพวกเขาทั้งคู่เริ่มทลายลงทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย ภาพอวี้เม่ยที่นิ่งเงียบ ยอมทำตามคำสั่งทุกอย่างของกุ้ยเฟยราวหุ่นเชิดได้หายไป พูดในสิ่งที่คิดและเปิดใจกับหวงไท่จื่อมากขึ้น มีหรือที่เสือร้ายในคราบบุรุษรูปงามอย่างเขาจะไม่ยอมโอนอ่อนให้ อย่างไรเสียก็เติบใหญ่มาด้วยกัน ความสดใสและรอยยิ้มที่สตรีเคยมอบให้ในวัยเด็ก เป็นสิ่งที่ยากเกินจะหาได้ในวังหลวงแห่งนี้ เช่นนั้นแล้วหากเพียงหญิงสาวแสดงออกถึงความจริงใจที่มี เป็นตัวเองตัวเองดั่งที่เป็นอยู่ ก็หาต้องกลัวผู้ใดมาขโมยหัวใจดวงนี้ไปได้ “ไม่แน่นอนเพคะ ก่อนนี้หม่อมฉันก็กลัวอยู่บ้าง แต่หลายวันที่ผ่านมาทรงปฏิบัติกับหม่อมฉันดีทุกอย่าง เพียงแต่…” ข้ากลัวเหลือเกินว่าความรู้สึกที่ท่านมีต่อซูลี่จะปะทุขึ้นมา “งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม รุ่งขึ้นเมื่อฟ้าสาง ข้าจะมาพาเจ้าไปบึงน้ำที่เล่าให้ฟังเมื่อครั้งก่อน” อวี้เม่ยยืนนิ่ง ปากเผยอขึ้นด้วยความดีใจพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องกุ้ยเฟยก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ส่วนเรื่องอื่นก็ยังต้องรอเวลาที่เหมาะสมค่อยจัดการ “เพคะ” อวี้เม่ยยิ้มกว้าง แต่ก่อนหวงไท่จื่อจะเดินไป อวี้เม่ยก็เอ่ยถาม “ไท่จื่อเพคะ ทรงชอบถุงหอมของพระสนมซูหรือเพคะ” หวงไท่จื่อขมวดคิ้ว “ถุงหอม?” “ก็ที่ทรงขอดูเมื่อครู่” อะไรกัน ลืมเสียแล้วหรือ “ถุงหอมนั้นข้าไม่สนใจหรอก สนใจเพียงสิ่งที่อยู่ข้างในต่างหาก ข้ารู้สึกว่ากลิ่นของมันช่วยทำให้หัวโล่งดี ไม่แน่ว่าอาจช่วยเรื่องเกี่ยวกับโรคปวดหัวของข้าได้” อวี้เม่ยทำหน้าเข้าใจในทันที จึงไม่ได้กล่าวถามอะไรต่อ บุรุษจึงเอ่ยซ้ำกับนางเรื่องบึงน้ำก่อนย่างกายของตนเองออกไป ทันทีที่แผ่นหลังนั้นลาลับ เสียงโวยวายของบรรดาสาวใช้ก็ดังขึ้น “ตายแล้วทำไมน้ำชาหกเยี่ยงนี้ จินฝู จิ้นอิ๋ง เจ้าสองคนรีบไปหาผ้ามาเช็ดเร็วเข้า” ฮุยอินสั่งสาวใช้ทั้งสองก่อนสาวเท้าเข้ามาหานายของตน ในมือนั้นยังคงถือถาดขนมที่จะเอาไว้ทานกับชาพลางเอ่ยถาม “คุณหนูไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ มือโดนชาลวกหรือไม่ แล้วไท่จื่อกับพระสนมซูกลับไปแล้วหรือ” คำถามของฮุยอินสะกิดบางอย่างในใจของอวี้เม่ย นางหันกลับไปมองดูเครื่องรางที่ยังคงสะอาด ไม่โดนน้ำชาหกรดวางอยู่บนโต๊ะนั้น นางเดินไปหยิบขึ้นมามองดูก่อนจะเอ่ยกับตัวเองเบาๆ “ข้าทำผิดต่อนางหรือเปล่านะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD