ผู้ชนะ

1819 Words
ทุกคนถูกกันให้ออกไปอยู่รอบข้างลานประลอง มีเส้นแดงขีดยาวล้อมรอบเป็นกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ห้ามไม่ให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไปภายในระหว่างกำลังทำการแข่งขัน ฉากการต่อสู้เริ่มด้วยความได้เปรียบขององค์ชายรอง ชายผู้เคยมีประสบการณ์ในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน แม้จะไม่เคยได้เป็นแม่ทัพชั้นแนวหน้า แต่ก็นับได้ว่ามีฝีมือกล้าแกร่งเป็นที่เลื่องลือ แต่นั้นก็ใช่ว่าจะชนะคู่ต่อสู้อย่างหวงไท่จื่อได้โดยง่าย บุรุษที่มีวรยุทธ์มาแต่กำเนิด เหาะเหินเดินอากาศ ตัวเบาดุจปุยนุ่น สายตาแหลมคมมองความคิดของคู่ต่อสู้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ครั้งหนึ่งเมื่อโดนขัดใจครั้นยังเด็ก ก็ร้องไห้จ้าจนลมปราณที่มีถูกปล่อยออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำแก้ว ไห แจกันภายในตำหนักแตกกระจายหมด เหตุการณ์ในครั้งนั้นจึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้ทุกคนได้ล่วงรู้ถึงพรสวรรค์นี้ หากแต่การต่อสู้ในครั้งนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ที่หมายจะเอาชีวิตกัน หวงไท่จื่อจึงเลือกที่จะต่อสู้อย่างยุติธรรม ใช้เพียงสองมือและสองเท้าเหมือนกับองค์ชายรองแต่เพียงเท่านั้น ทั้งคู่ใช้กระบวนท่าพื้นฐานอย่าง หมัด ฝ่ามือและขา แม้จะไม่มีอะไรน่าตื่นตา แต่ก็ไม่มีใครสามารถล่ะสายตาจากพวกเขาไปได้ โดยเฉพาะกับอวี้เม่ย ที่หลงใหลและตกเป็นทาสรักของหวงไท่จื่ออย่างถอนตัวไม่ขึ้น แม้จะเคยโดนทำร้ายและตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปรู้สึกแบบเดิมอีก แต่ไฉนเลย…ข้าถึงทำไม่ได้ ดวงตาคู่นั้น เส้นผมดำขลับ จมูก ริมฝีปาก ข้า…อยากจะครอบครองทุกสิ่งที่เป็นเขา “ดวงตาเป็นประกายคล้ายจะเป็นรูปหัวใจอยู่แล้ว” องค์ชายห้ายิ้ม ก่อนจะเดินวนรอบตัวสตรีที่ยืนจ้องพี่ชายของตนไม่วางตา “แล้วมาทำเป็นปากแข็งบอกไม่ชอบ การกระทำของเจ้ามันฟ้องอยู่ทนโท่” “มันไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่” “อย่ามาแก้ตัวหน่อยเลย ข้าไม่เชื่อคำเจ้าหรอก อิสตรีร้อยทั้งร้อยล้วนปากไม่ตรงกับใจ อย่างเสด็จแม่ข้า ปากบอกไม่สนเสด็จพ่อ แต่พอมีคำเชิญให้หาเท่านั้นแหละ ตื่นมาเลือกชุดตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง” “นินทาเต๋อเฟยแบบนี้ ไม่กลัวข้านำไปฟ้องหรือไง” องค์ชายห้าหัวเราะ “ถ้ากลัวคงไม่เล่าให้เจ้าฟังหรอก ไว้ไท่จื่อชนะแล้ว ข้านี่แหละจะเป็นคนเชื่อมความสัมพันธ์ให้เจ้าเอง ตอบแทนที่เจ้าช่วยข้าเรื่องพนันไง” “ถ้าเช่นนั้นอย่าตอบแทนเสียดีกว่า” “ก็เจ้ามันชักช้า อืดอาดแบบนี้ เมื่อไรจะได้อภิเษกล่ะ” แต่แล้วจู่ๆ ฝุ่นควันก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน บดบังทัศนวิสัยและฉากการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นจนสิ้น ลมพัดมาวูบใหญ่ราวกับจะมีพายุก่อนจะสงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อฝุ่นควันได้จางลงแล้ว บุรุษหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวยังคงยืนสง่าเตรียมพร้อมรับเสียงตบมือ ส่วนอีกหนึ่งล้มลงในท่าคุกเข่า มือหนึ่งพยายามพยุงตัวเองไม่ให้ล้ม อีกมือหนึ่งจับไปที่หน้าอกของตัวเอง “การประลองในวันนี้ ผู้ชนะคือองค์ชายรอง!!!” อวี้เม่ยยืนนิ่ง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น องค์ชายห้าเองก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ยืนอ้าปากค้างก่อนจะอุทานเสียงหลง “เงินของข้า” มันไม่ถูกต้อง!!! ไท่จื่อต้องเป็นผู้ชนะสิ ทำไมกลายเป็นองค์ชายรองไปได้ เสียงประกาศก้องระคนยินดี ฮ่องเต้รับสั่งให้บุตรชายผู้ถือครองตำแหน่งชัยชนะเข้าพบ ก่อนกล่าวชื่นชมและอวยยศให้เป็นแม่ทัพใหญ่ในศึกครั้งหน้า อวี้เม่ยหันมองว่าที่คู่หมั้นของตนที่กำลังยืนปัดฝุ่นที่เสื้อออกอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ นัยน์ตาของสตรีแสนเศร้าโศก ไม่อยากให้หวงไท่จื่อรู้สึกแย่หรือผิดหวัง “ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด!!! มันต้องมีอะไรผิดพลาด” องค์ชายห้าเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาพลางทำท่าเลิ่กลั่ก “เจ้าไม่ได้แกล้งข้าใช่ไหมอวี้เม่ย ไหนเจ้าบอกตนเองเห็นอนาคตไง แล้วผู้ชนะ…ทำไม” หญิงสาวส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ ข้าเองก็…ตกใจไม่ต่างจากท่านหรอก” “เจ้ารู้ไหมว่านอกจากเงิน ข้ายังเอาแจกันหยกมาเดิมพันด้วย ถ้าเสด็จแม่รู้ ข้าตายแน่” องค์ชายห้าโอดครวญ เขาพยายามคุมสติไม่ให้เตลิดไปมากกว่านี้ก่อนขอตัวลี้ภัยไปอย่างเงียบๆ อวี้เม่ยก็ทำได้เพียงกล่าวขอโทษพร้อมสายตาสำนึกผิด เพราะตัวนางเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใด เรื่องราวถึงได้กลับตาลปัตรเช่นนี้ได้ หรือเพราะข้าทำอะไรตามใจตนเองอีกแล้ว ข้าหนีกุ้ยเฟยเพื่อมาดูไท่จื่อแข่งหรือเปล่านะ เรื่องราวถึงได้เปลี่ยนไป ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแย่ไปกันใหญ่ หรือตนนั้นจะเป็นต้นเหตุจริงๆ เป็นตัวอับโชคหรือเปล่า โธ่เอ๊ย ข้าไม่น่ามาเลยจริงๆ ขณะกำลังรู้สึกผิดกับเรื่องที่ก่อ ชายผู้พ่ายแพ้ก็เดินมายืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ย “เพราะข้าแพ้งั้นหรือ เจ้าถึงทำหน้าเศร้าถึงเพียงนี้” อวี้เม่ยคอตก ไม่กล้ามองหน้าหวงไท่จื่อ “ชัยชนะควรเป็นของท่าน แต่ข้ากลับทำพังเสียหมด” “ข้าจะแพ้หรือชนะเกี่ยวอะไรกับเจ้า” “หม่อมฉันเป็นตัวอับโชค” หวงไท่จื่อหัวเราะก่อนเชยคางสตรีหน้างอให้เชิดขึ้น “อย่าคิดเช่นนั้น การแข่งขันมีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่างการที่ข้าจะชนะหรือแพ้ก็อยู่ที่ตัวข้า หาใช่ใครอื่น และครั้งนี้ข้าก็เป็นคนเลือกที่จะแพ้” “ทรงหมายความว่าอย่างไร” อวี้เม่ยเริ่มสับสน รีบถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ไท่จื่ออยากชนะในการประลองนี้ไม่ใช่หรือเพคะ” “ก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” หวงไท่จื่อบอกพลางยิ้มน้อยๆ ให้ แต่ใบหน้าของสตรีก็ยังคงความไม่กระจ่างอยู่ในใจ หวงไท่จื่อสูดหายใจพลางส่ายหน้า นึกสงสัยว่าไหวพริบที่มีของหญิงสาวหายไปไหนเสียหมด ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงไม่เข้าใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจทั้งหมดออกมาพร้อมอธิบาย “ผู้ชนะจะได้รับเกียรติเป็นแม่ทัพ ต้องออกไปรบไกลหลายวันหรืออาจเป็นเดือน ฉะนั้นข้าก็จำต้องจากวังหลวงไปนาน…” หวงไท่จื่อพูดเว้นช่วงเพื่อดูปฏิกิริยาของนาง และก็เป็นไปตามคาด อวี้เม่ยทำท่าคิดตาม แต่ก็เหมือนจะยังไม่เข้าใจ บุรุษเริ่มหงุดหงิด “นี่เจ้าไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ ทำไมต้องให้ข้าบอกเรื่องน่าอายนี้แก่เจ้าด้วย” อวี้เม่ยอึกอัก ตกใจที่น้ำเสียงของหวงไท่จื่อเริ่มแข็งกร้าวขึ้น “ขออภัย หม่อมฉันโง่เขลา ไม่รู้ว่าทรงไม่อยากจากวังหลวง” “ข้าไม่อยากจากเจ้าต่างหาก!!” ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ จะว่าพลั้งปากหรือหลุดปากดี แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร คำพูดนั้นก็ทำให้ผู้ฟังถึงกับตะลึงงัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขวยเขินและใจเต้นแรง “ครั้งล่าสุดที่ข้ากลับมาจากการล่าสัตว์ก็ทำเจ้าไม่สบายใจไปคราหนึ่งแล้ว ไม่ทันไรจะให้ออกไปรบอีกเห็นทีจะไม่เหมาะ” ไหนๆ ก็พูดแล้วก็ถือโอกาสพูดไปให้หมดเลยละกัน “คือข้าหาสาเหตุที่เจ้าโกรธข้าจนถึงกับต้องร้องไห้ไม่ได้ ไม่รู้เจ้าน้อยใจอะไร ก็เลยคิดว่าอาจเพราะข้าทิ้งเจ้าให้อยู่คนเดียวหรือไม่” แม้จะเป็นคำอธิบายแต่ฟังดูระคายหูชอบกล ยิ่งออกจากปากหวงไท่จื่อผู้ไม่สนใครด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ทั้งคนกล่าวและคนรับฟังหน้าแดงไปตามๆ กัน เรื่องจริงหรือนี่… ไท่จื่อยอมแพ้เพราะข้า ไท่จื่อเป็นห่วงความรู้สึกของข้าขนาดนั้นเชียวหรือ อวี้เม่ยน้ำตาคลอด้วยความปลาบปลื้ม ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องร้ายจะกลับกลายเป็นดีได้ถึงเพียงนี้ หวงไท่จื่อดูจะยอมรับและใส่ใจอวี้เม่ยมากขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า อวี้เม่ยส่งรอยยิ้มหวานให้หวงไท่จื่อก่อนกล่าวขอบพระทัย หวงไท่จื่อแสร้งกระแอมกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอาย “งั้นข้าเดินไปส่งเจ้าที่ตำหนักนะ มาที่ลานประลองคนเดียวโดยขาดผู้ติดตามแบบนี้ เดี๋ยวจะถูกนำไปนินทาอีก” ข้าควรจะปฏิเสธตามมารยาทหรือเปล่านะ ตามหลักแล้วก็ควร แต่ทำไมข้าจึงได้เพียงพยักหน้าตอบแต่เพียงเท่านั้นล่ะ ตลอดทางที่เดินมาเต็มไปด้วยความเงียบ ไม่มีใครกล้าที่จะเริ่มพูดก่อน จนสุดท้ายอวี้เม่ยก็ยกเรื่องบึงน้ำที่นางชอบไปสมัยยังเด็กขึ้นมาเล่าให้หวงไท่จื่อฟัง เพื่อหวังสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น นางเล่าถึงบึงน้ำสีครามสดใส ส่องประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ยามเช้า มีเหล่าปักษาบินวนอยู่โดยรอบ กลิ่นต้นไม้ใบหญ้าช่วยผ่อนคลายอารมณ์ที่เหนื่อยล้า เงียบ… ไร้ซึ่งเสียงตอบกลับหรือหัวเราะ อวี้เม่ยเริ่มตระหนักเล็กๆ ว่า บึงน้ำที่เล่าไปนั้นน่าเบื่อเกินไปหรือไม่ ทำไมหวงไท่จื่อถึงได้แต่ทำหน้านิ่ง ข้าทำอะไรไม่ถูกไม่ควรอีกแล้วหรือเปล่านะ ไท่จื่ออุตส่าห์สนใจข้าแล้วเชียว เขาจะมองว่าข้าเป็นสตรีน่าเบื่อ ไร้แก่นสารหรือเปล่านะ “อยากไปดูไหม” “เพคะ?” “บึงน้ำ ข้ารู้จักที่หนึ่ง เอาเป็นพรุ่งนี้เช้าดีไหม” เกินคาด… วันนี้มีแต่เรื่องเกิดคาดเดาทั้งนั้น นี่ไท่จื่ออยากใช้เวลาอยู่กับข้างั้นหรือ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ต้องตั้งสติให้ดี ใจเย็นอวี้เม่ยใจเย็น “ทำไมถึงเงียบไปล่ะ” “เอ่อ…ปะ…ไปเพคะ หม่อมฉันอยากไป แต่ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันมีเรื่องที่ต้องจัดการนิดหน่อย จะทรงว่าอะไรไหมถ้าจะเลื่อนเป็นวันอื่น” “ได้สิ ตามใจเจ้าเลย” อวี้เม่ยยิ้มรับอีกครั้ง ไม่รู้แล้วว่าเป็นรอยยิ้มที่เท่าไหร่ของวัน แต่คาดว่ารอยยิ้มคงยังไม่คลายไปอีกหลายชั่วยาม ขณะทั้งสองเดินเคียงคู่ไปตามอุทยานหลวง ดอกไม้บานร่วงหล่น ปลิวตามลม เป็นภาพงดงามชวนมอง เกิดเป็นเรื่องราวความรักบทใหม่ให้คนทั่วทั้งวังนำไปบอกต่อพร้อมใส่สีสันเติมแต่งให้หวานล้ำไปอีกหลายวัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD