ใจเย็นๆ นะอวี้เม่ย เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องใหญ่อยู่พอควร ถ้าไม่คิดให้รอบคอบอาจจะส่งผลร้ายมากว่าผลดี อีกทั้งข้าเองก็ยังไม่มั่นใจเรื่องแผนชิงตำแหน่งหวงไท่จื่อ ถึงจะเห็นเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นมาแล้วบ้าง แต่ก็ไม่มากพอจะจับพวกเขาได้
ไร้หลักฐาน ไร้พยาน
หากข้าโพล่งออกไปว่า ข้าฉางอวี้เม่ยมีญาณทิพย์พิเศษฝันเห็นอนาคตได้ พวกเขาคงหาว่าข้าบ้าแน่ๆ ใครจะมาเชื่อข้ากันเล่า
“คุณหนู ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ฮุยอิน!! มาได้ถูกจังหวะเลย มานี้สิ ข้ามีเรื่องจะปรึกษา”
ฮุยอินน้อมรับ เดินเข้ามาหาพลางกำมือของตนหมายซ่อนบางอย่างเอาไว้ ร่องรอยของการถูกกลั่นแกล้งขณะทำงานอยู่ที่ห้องเครื่องนั่นเอง
แต่ยิ่งมีท่าทีแปลกเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้อวี้เม่ยจับสังเกตได้แทบจะในทันที “แบมือให้ข้าดู”
“คุณหนู...”
“ข้าบอกให้แบมือ”
ฝ่ามือเรียวเล็กเต็มไปด้วยรอยบาดแผลขีดข่วน บางรอยเลือดซิบ บางรอยเนื้อเปิด อวี้เม่ยสะกดกั้นอารมณ์ที่เริ่มจะปะทุออกมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝีมือใคร นางกำนัลส่วนใหญ่ก็เป็นคนของกุ้ยเฟยทั้งนั้น
ทำอะไรข้าไม่ได้ก็เลยไปลงมือกับคนของข้าแทนงั้นสินะ เลวจริงๆ
“ที่ห้องเครื่อง...เจ้ามีหน้าที่ทำอะไร”
“ข้า...ก็ทำหน้าที่เตรียมอาหารทั่วไป...”
“อย่าโกหกข้าฮุยอิน”
“ข้ามีหน้าที่แบกฟืน ตักน้ำใส่โอ่ง แล้วก็ติดเตาไฟ”
“เจ้าทำทั้งหมดนั้นคนเดียวเหรอ!? มันจะมากเกินไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรถึงมาใช้เจ้าทำงานหนักขนาดนั้น ไม่ได้ ข้ายอมไม่ได้ ข้าจะไปเอาเรื่องนาง”
“คุณหนูเจ้าคะ อย่าไปเลย” ฮุยอินรีบเข้ามายืนขวางหน้าอวี้เม่ย พยายามพูดโน้มน้าวชักแม่น้ำทั้งห้าให้นายของตนสงบใจลง “แผลแค่นี้ข้าทนได้ ให้เรื่องมันจบที่ตรงนี้ดีกว่า อย่าต่อความยาวเลย ไหนคุณหนูเคยบอกว่าอยากอยู่ในวังอย่างสงบไงเจ้าคะ”
นั่นมันก่อนที่ข้าจะรู้ว่าตนจะต้องตายนี้...
“คุณหนูสงบใจไว้เถิด หากเราอยู่เฉยๆ แบบนี้ คงไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องพวกเราหรอกเจ้าค่ะ”
อวี้เม่ยมีท่าทีลังเล แต่ก็ยอมอ่อนให้โดยง่าย ไม่อยากขัดความคิดโลกสวยของพี่เลี้ยง “จินฝู จิ้นอิ๋ง พวกเจ้ามานี้สิ”
สิ้นเสียง สองสาวนางกำนัลก็เดินมาปรากฏตัวเบื้องหน้า “ว่าที่พระชายามีอะไรให้พวกหม่อมฉันรับใช้เพคะ”
“พวกเจ้าพาฮุยอินไปทำแผลให้ที ใช้ยาตัวที่ดีที่สุดในตำหนักเลยนะ”
“เพคะ”
ตอนแรกฮุยอินมีทีท่าจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้เห็นสายตาดุดันของนายหญิงก็จำใจต้องจำยอมให้สองนางกำนัลพาไปแต่โดยดี
อวี้เม่ยที่ตอนนี้อยู่ในอารมณ์ที่หงุดหงิดสุดๆ สูดหายใจเข้าออกพยายามทำให้ใจให้ปลอดโปร่ง จริงอย่างที่ฮุยอินบอก ถ้าไปก็เท่ากับว่าเดินตามเกมของนาง นางตั้งใจอยากให้ข้าโกรธจะได้หาเรื่องลงโทษข้าอีก หึ! ข้าไม่หลงกลง่ายๆ หรอก
เมื่อคิดได้ดังนั้นอวี้เม่ยก็เริ่มใจชื้นขึ้น เบนความคิดของตนให้กลับมาจดจ่อกับเรื่องที่คิดค้างไว้เมื่อครู่ ชีวิตของนาง...พลางภาวนาอยากได้คำชี้แนะจากเบื้องบน
สวรรค์...เหตุที่ข้าฝันเห็นอนาคต มันต้องมีความหมายอะไรสักอย่างใช่หรือไม่ สวรรค์ให้ทางรอดข้า ให้ข้าเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเองได้ หรือแท้ที่จริง...หวังอยากให้ข้าเปลี่ยนแปลงชีวิตใครกันแน่
ชะตาของข้า ชีวิตของข้า มันคงไม่มีค่าพอที่จะทำให้ฟ้าดินมองเห็นเป็นแน่ เว้นเสียแต่มันจะเกี่ยวพันกับใครสักคน...ที่สำคัญขนาดสั่นสะเทือนคนบนฟ้าได้
“หวงไท่จื่อเสด็จ!!”
บุรุษสูงศักดิ์ในชุดสีน้ำเงินดูน่าเกรงขาม ก้าวเดินเข้าประตูมาอย่างฉับพลันก่อนที่ขันทีด้านนอกจะขานยศศักดิ์เสร็จเสียอีก เขาหยุดยืนต่อหน้าอวี้เม่ย จ้องมองนางไม่วางตา
“ถวายพระพรไท่จื่อ”
จู่ๆ บุคคลที่ไม่คาดคิดก็โผล่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว อวี้เม่ยที่ตอนแรกเดินไปมาพลางกระโดดราวกระต่ายป่าซุกซน ต้องรีบกลับมายืนสำรวมสงวนท่าทีโดยไว
“ดูไม่ยุ่งเท่าไหร่นี่”
“เพคะ? ยุ่ง? หมายถึงหม่อมฉันเหรอ”
“ได้ข่าวว่าเจ้าไปสร้างเรื่องที่งานเลี้ยงเมื่อวาน”
ออ...ที่แท้ก็มาตำหนิข้านี่เองสินะ ข่าวไปไวแท้
“หม่อมฉันผิดเองเพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวังเลยทำให้องค์หญิงหลิงเซียงได้รับบาดเจ็บ การแสดงร่ายรำก็พลอย...”
“ข้าไม่ได้จะมาฟังเจ้าแก้ตัวเรื่องนี้”
อ้าว แล้วจะพูดขึ้นมาทำไม
หวงไท่จื่อกระแอมเบาๆ แสร้งมองไปทางอื่น “เจ้าไม่มีอย่างอื่นจะบอกข้าหรือไง”
“ถ้าทรงหมายถึงเรื่องเมื่อคืนก่อน... หม่อมฉันยอมรับว่าแสดงกิริยาไม่เหมาะสม ขอไท่จื่อโปรดอย่าถือสาหาความ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย”
วาจาของผู้พูดแฝงไปด้วยความหงุดหงิดอย่างชัดเจน นี่นางไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้กันแน่
อวี้เม่ยที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เยือกเย็นจึงอาสาจะไปนำน้ำชาและขนมมาให้ แต่หวงไท่จื่อก็บอกปฏิเสธทันควัน “มีบ่าวไพร่ตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องไปเอาเองด้วย”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ หม่อมฉันทำได้เพคะ”
“จะเล็กไม่เล็กก็ไม่ควรทำเอง ข้าอุตส่าห์สั่งพวกมันมาคอยรับใช้เจ้า ไหนเลยจะของ...เอ่อ เจ้าก็ทำตัวตามสบายเถิด”
“ไท่จื่อเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ลำบากอะไรเลย จริงอยู่ที่ตอนนี้หม่อมฉันเป็นว่าที่พระชายาของพระองค์ แต่หม่อมฉันเติบโตมานอกวัง ตระกูลฉางเราไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นบ่าวไพร่ แต่เป็นครอบครัว เพราะงั้นเรื่องไหนหม่อมฉันสามารถทำได้เอง ก็ไม่อยากรบกวนพวกเขา”
หวงไท่จื่อพยักหน้าคล้ายจะเข้าใจ แต่ลึกๆ ก็สับสนกับคำพูดนางอยู่ไม่น้อย บ่าวไพร่ก็คือบ่าวไพร่สิ จะมาเป็นครอบครัวได้ไง เพ้อเจ้อจริงเชียว
“แล้วไท่จื่อ...” อวี้เม่ยกล่าวเสียงอึกอัก ไม่กล้าถามตรงๆ ว่าหวงไท่จื่อเสด็จมาที่ตำหนักจินเยว่เพื่อจุดประสงค์ใด
“แล้วสองวันมานี้ไปอยู่ที่ตำหนักกุ้ยเฟยเป็นอย่างไรบ้าง กลับมาคราวนี้ดูสงบลงนะ อืม...ว่าแต่ดูเครื่องเงินพวกนี้สิ ปิ่นปักผมเจ้าสวยดีนะ จะว่าอะไรไหมถ้าข้าอยากกินไก่ตุ๋นยาจีนใส่โสม”
กล่าวมาขนาดนี้ บอกข้ามาตรงๆ เลยก็ได้นะ
รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้านวลลออ “หม่อมฉันนี้แย่จริง ไท่จื่อทรงประทานสิ่งของต่างๆ ให้หม่อมฉันตั้งมาก กลับลืมที่จะไปขอบพระทัยเสียได้”
ความจริงก็ลืมจริงๆ นั่นแหละ
หวงไท่จื่อโบกไม้โบกมือพร้อมกล่าวว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโต ยืดไหล่อกตั้ง ภูมิใจในสิ่งที่ตนทำหนักหนา อวี้เม่ยที่ลอบมองอยู่พยายามที่จะไม่ขำให้กับท่าทีน่าขันนั้น ภาพเช่นนี้หาดูได้ยากยิ่งนัก ปกติจะทรงเก็บความรู้สึก ไม่แสดงท่าทีขี้เล่นแบบนี้
“เอ่อ...ไท่จื่อเพคะ คือหม่อมฉันยังมีเรื่องต้องจัดการ”
“จริงสินะ ข้าคงรบกวนเวลาเจ้ามากไปแล้ว งั้นข้าขอตัวกลับก่อนละกัน”
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้กล่าวลาให้เรียบร้อย เสียงประกาศก้องของขันทีหน้าตำหนักคนเดิมก็ดังขึ้นเสียก่อน
บุรุษอีกคนเดินเข้ามาในตำหนักอย่างไม่รีรอ วางกล่องขนมสองกล่องบนโต๊ะใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยทักสตรีตรงหน้าเหมือนอย่างเคย อวี้เม่ยได้แต่ยิ้มเล็กๆ พลางเหลือบมองหวงไท่จื่อ ซึ่งเขาก็มองกลับมาด้วยสายตาขึงขังเช่นกัน
“ไท่จื่อ! ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ด้วย พอดีเสด็จแม่ได้รับขนมเซาปิ่งแสนอร่อยมาหลายกล่อง ข้าก็เลยเอามาฝากอวี้เม่ย ถ้ารู้ว่าท่านอยู่ด้วยจะได้เอามามากกว่านี้”
“ขอบใจเจ้ามากนะ แต่เจ้าก็รู้ว่า...ข้าไม่ชอบของหวาน”
องค์ชายห้าหัวเราะ เพิ่งนึกออกว่าตนลืมไปจริงๆ ด้วยว่าพี่สามเป็นคนทานอะไรยาก รสจัดไปก็ไม่ได้ จืดไปก็ไม่ถูกปาก รสชาติต้องกลมกล่อมทานง่าย ของหวานไม่ต้องพูดถึง ไม่มีวันแตะ
“แต่หม่อมฉันค่อนข้างชอบนะเพคะ” อวี้เม่ยเดินตรงไปที่กล่องขนมอย่างสนใจ หยิบเซาปิ่งหอมกรุ่นหนึ่งชิ้นขึ้นมาสูดดมก่อนจะกัดคำแรก กลิ่นหอมของงา ความกรอบของแป้ง ความหวานของไส้ถั่วเหลืองละลายไปทั่วทั้งปาก
“อร่อยมากเลย!”
“ใช่ไหมล่ะ ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องชอบ”
“ขอบพระทัยเพคะ ข้าจะกินให้หมดไม่ให้เหลือเลย”
สองคนหัวเราะคิกคักสนุกสนาน อีกหนึ่งคนยืนกอดอกหน้าถมึงทึงไม่พูดจา กะอีกแค่ขนมกล่องสองกล่องดีใจอะไรขนาดนั้น ทีกับข้านะ...
“เมื่อครู่ไท่จื่อบอกว่าจะกลับแล้ว งั้นหม่อมฉันส่งเสด็จ”
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
อวี้เม่ยมองตามร่างสูงที่เดินไปนั่งยังเก้าอี้เบื้องหน้า “พอดีวันนี้ข้าว่าง อยากอยู่ต่อสักพัก”
ไม่ใช่แค่อวี้เม่ยที่แปลกใจ องค์ชายห้าเองก็แปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยได้ยินคำว่าว่างจากหวงไท่จื่อเลยสักครั้ง ไหงมาวันนี้กลับบอกว่าตนว่างกันเล่า
ถึงแม้องค์ชายห้าจะเป็นน้องรักของหวงไท่จื่อแต่ในสถานการณ์ตรงหน้านี้ บอกได้เลยว่าไม่ปกติ และมันคงจะเป็นการดีกว่าหากเขาไม่โพล่งถามอะไรที่ดูโง่เง่าออกไป
แต่แล้วอาฟงผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็พรวดเข้ามา “ไท่จื่อทรงอยู่ที่นี่เอง กระหม่อมตามหาตั้งนาน มีฎีกาเร่งด่วนที่ทรงยังไม่ตรวจสอบอยู่อีกเยอะเลยพ่ะย่ะค่ะ ทั้งคำร้องเรื่องภาษี ภัยแล้ง ข้าศึกทางเหนือ กองพลม้า รีบไปกันเร็วๆ เถิด”
ชิ่ง
องครักษ์หนุ่มรับรู้ได้ถึงสายตาพิฆาต เขาโน้มศีรษะลงถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะทันสังเกตเห็นองค์ชายห้ากับว่าที่พระชายาที่ยืนอยู่บริเวณนั้นด้วย อ่า...ข้าเข้ามาไม่ถูกจังหวะสินะเนี่ย