บ้านเมืองต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด หวงไท่จื่อผู้ไม่มีทางเลือกแม้ว่าจะอยากอยู่ต่อมากแค่ไหน ก็จำใจต้องเดินลากเท้าออกจากตำหนักจินเยว่อย่างเสียไม่ได้ โดยมีอาฟงตัวทำเสียเรื่องเดินคอพับคออ่อนตามไปไม่ห่าง
เมื่อคนปั้นหน้ายักษ์ไม่อยู่แล้ว องค์ชายห้าก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก รีบไต่ถามทันทีว่าหวงไท่จื่อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร และสายตาเมื่อครู่คือไม่พอใจอะไรในตัวเขาหรือไม่
“เจ้าเห็นสายตานั้นไหม เขาไม่เคยมองข้าแบบนั้นเลยนะ หรือจะเป็นเพราะขนมเซาปิ่ง”
“หม่อมฉันว่าไม่น่าใช่นะ”
“ไม่ใช่เหรอ งั้น...ไท่จื่อมาหาเจ้าเพราะเสน่ห์หาหรือไม่”
อวี้เม่ยส่ายหน้าทันควัน “เสน่ห์หา?! ไม่ใช่หรอกเพคะ ไท่จื่อคงแค่มาตรวจตราความเรียบร้อยเท่านั้น”
ถึงจะบอกไปอย่างนั้น แต่ในใจลึกๆ นางก็หวังอยากจะให้เป็นดังที่องค์ชายห้าบอก เสน่ห์หา...คนแบบเขาน่ะเหรอ จะเสน่ห์หาข้า เขามีแต่อยากจะให้ข้าไปตายเสียมากกว่า
อวี้เม่ยเชิญองค์ชายห้านั่งลงพลางเรียกนางกำนัลให้นำน้ำชามารับรองก่อนจะเอ่ยถาม “องค์ชายคงไม่ได้มาหาหม่อมฉันเพียงเพราะจะเอาขนมมาให้ใช่ไหมเพคะ”
องค์ชายห้ายิ้มน้อยๆ รู้สึกเขินนิดหน่อยที่ถูกอวี้เม่ยดูออกได้โดยง่าย “จะว่าเจ้าฉลาดหรือข้าแสดงไม่เนียนดีล่ะ” องค์ชายห้าเม้มปาก “ใช่ ความจริงข้ามาเพราะเรื่องเจ้าสิบสี่ ที่เมื่อวานเห็นเจ้าทั้งสองยืนคุยกันที่อุทยาน คือ...ข้าไม่รู้จะพูดยังไงอวี้เม่ย แต่เจ้าควรอยู่ให้ห่างจากเขา ไม่ใช่แค่กับสิบสี่ ทั้งพี่รองและเจ้าแปดก็ด้วย”
“องค์ชายห้า ถึงพวกท่านจะเป็นพี่น้องที่ไม่ถูกกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องเกลียดฝ่ายหนึ่งและเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่ง”
“ไม่อวี้เม่ย ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” องค์ชายลังเลว่าสิ่งที่ตนกำลังจะพูดต่อไปนี้ สมควรหรือไม่ที่จะให้สตรีตรงหน้าได้รับรู้ เขาไม่อยากดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเกมการเมืองบ้าๆ นี้ แต่ถ้าหากจะสามารถอธิบายให้นางเข้าใจและไม่เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวได้ เขาก็จำเป็นต้องเสี่ยง
“ฟังนะ สายของข้ารายงานมาว่าพักนี้ พวกเขาสามคนมีท่าทีแปลกๆ ลับๆ ล่อๆ ดูมีพิรุธยังไงชอบกล อีกทั้งหลายคืนมานี้ยังนัดรวมตัวกันที่ตำหนักพี่รองอยู่บ่อยครั้ง ข้าสังหรณ์ใจว่าจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นสักวัน อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหวงไท่จื่อ”
ฉลาดมาก อ้ายฉิง ท่านนี้เป็นคนฉลาดสุดๆ ไปเลย อวี้เม่ยแกล้งทำหน้าตกใจเล็กน้อย ราวกับตนไม่อยากเชื่อในสิ่งที่องค์ชายห้าบอก
“เพราะฉะนั้นข้าเลยไม่อยากให้เจ้าผู้มีศักดิ์จะได้เป็นพระชายาของไท่จื่อไปคลุกคลีกับพวกนั้น มันจะดูไม่ดี เผลอๆ จะกลายเป็นว่าเจ้าสมรู้ร่วมคิดด้วย”
อวี้เม่ยพยายามรวบรวมสติ พิจารณาถึงสิ่งที่องค์ชายห้าบอก ซึ่งมันทำให้นางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกใส่ร้าย อวี้เม่ยเป็นสตรีที่ถูกหวงไท่จื่อดูแคลน ตัวคนเดียวในวังหลวง ไร้กัลยาณมิตรที่ดี ไร้มิตรสหายที่ไว้ใจได้ นางที่วางตัวไม่เข้าใกล้องค์ชายห้า ทำให้ทั้งคู่ห่างเหิน คุยกันแทบนับครั้งได้
ผิดกับองค์ชายรองที่มักจะเข้าหานางอยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นอวี้เม่ยไม่คิดเคลือบแคลงหรือสงสัยแต่อย่างใด หลงคิดว่าองค์ชายรองมีน้ำใจ หยิบยื่นไมตรีให้ สุดท้ายพอเกิดเรื่อง หลักฐานกลับถูกโยงมาที่ตัวอวี้เม่ยซะอย่างนั้น
เมื่อกลับมาพิจารณาคำพูดขององค์ชายเมื่อครู่ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเริ่มเข้าเค้า องค์ชายรองวางแผนอยู่ก่อนแล้วสินะ หวังเข้าใกล้ข้าเพื่อจับตาดูและหาทางโยนความผิดทั้งหลายให้ข้านี่เอง
จะว่าไป...ถ้าตอนนั้นข้าไม่ทำตัวออกห่าง และได้รับคำเตือนจากองค์ชายห้าก่อนก็คงจะดี
“อวี้เม่ย เจ้าฟังข้าอยู่รึเปล่า”
อวี้เม่ยพยักหน้า นางเริ่มมีความคิดลังเลที่อยากจะบอกองค์ชายห้าเรื่องความฝันของนาง มันจะดีกว่าไหมถ้ามีใครที่อยู่ข้างๆ และให้คำปรึกษาแก่นางได้
ฉลาด เก็บความลับได้ เพื่อนที่สนิทและรู้ใจ แต่เขาจะเชื่อข้าเหรอ
“ถ้างั้นข้าขอตัวก่อน” องค์ชายห้าเตรียมจะลุกออกไป แต่อวี้เม่ยก็รีบรั้งไว้จนเผลอเรียกชื่อของเขาออกมา “อ้ายฉิง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษา”
องค์ชายห้าขมวดคิ้ว งงกับพฤติกรรมที่กลับไปกลับมาของอวี้เม่ย แต่ก็ไม่ได้ต่อว่านางแต่อย่างใด เขานั่งเงียบๆ รอฟังเรื่องที่นางจะเล่า
“สัญญากับข้าก่อนนะ ว่าจะเปิดใจกว้างและ...จะไม่หาว่าข้าบ้า”
องค์ชายห้ารับปาก
อวี้เม่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่นางฝันเห็น เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในวัง ความสัมพันธ์ของนางกับหวงไท่จื่อ ไปจนถึงการแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาท การลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เหตุก่อกบฏ และความตายของนาง
องค์ชายห้าได้แต่นั่งนิ่ง ฟังนางเล่าจนจบ สีหน้าเริ่มเคร่งเครียด “เจ้าจะบอกว่าเจ้าฝันเห็นอนาคต แล้วตอนนี้มีบางเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แล้วเจ้าก็เปลี่ยนมันได้”
“ไม่ใช่ทุกเหตุการณ์ แค่บางเหตุการณ์เท่านั้น อย่างวันพิธีต้อนรับฮองไทเฮากับฮ่องเต้ ท่านจำได้ไหม ข้ารู้ว่าตัวเองต้องใส่ชุดซ้ำกับกุ้ยเฟย ต้องหกล้ม ต้องมีเรื่องขายหน้า ข้าพยายามเลี่ยงแต่มันก็ยังเกิดขึ้น แม้จะไม่เหมือนเดิมทั้งหมด แต่ก็เกิดขึ้น”
“อ่า ข้าจำได้ ที่เจ้าหนีไปซ่อนตัวสินะ”
“แล้วเมื่อวาน ข้ารู้ว่าจะต้องถูกองค์หญิงหลิงเซียงแกล้ง ก็เลยพยายามเลี่ยงดูอีกครั้ง ครั้งนี้สำเร็จแต่มันก็เกิดผลที่เกินคาดหลายๆ อย่าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะส่งผลดีหรือไม่”
“เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก”
“ข้ารู้ว่าไม่น่าเชื่อ ขนาดฮุยอินยังไม่เชื่อข้าเลย”
องค์ชายห้าครุ่นคิดก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่ข้าเชื่อเจ้านะ”
อวี้เม่ยชะงัก แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาเชื่อข้าอย่างงั้นเหรอ?
“เพราะเช่นนี้เองเจ้าถึงทำตัวประหลาด เดี๋ยวดีเดี๋ยวเพี้ยน พอเจอหน้าพวกพี่รองก็โมโหใส่”
“นั่นก็เป็นอีกเรื่อง คือ...มันเป็นเรื่องที่ข้าไม่ควรทำ เป็นเหตุการณ์นอกเหนือจากสิ่งที่ฝันเห็น แล้วมันก็ส่งผลเสียมากๆ”
“ถูกกุ้ยเฟยลงโทษสินะ เจ้าถึงกลับมาว่านอนสอนง่ายเหมือนเดิม”
ทั้งคู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยามที่ไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมา ในใจอวี้เม่ยมีแต่ความกังวล นางไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปจะทำให้นางดูโง่หรือไม่ องค์ชายห้าเชื่อนางจริงๆ หรือแค่แกล้งเชื่อไปอย่างนั้นเอง
และหากเขานำเรื่องไปพูดต่อ ข้าไม่แย่หรอกหรือนี่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้พูดพล่อยๆ โดยไม่มีมูลได้ซะที่ไหน
“แล้วมันจะเป็นยังไงต่อ” แต่แล้วองค์ชายห้าก็เอ่ยขึ้น “หากว่าเจ้าพบว่าอนาคตที่กำลังจะเกิดมันเลวร้าย และเจ้าเปลี่ยนมันได้ เจ้าจะทำหรือไม่”
“องค์ชายจะหมายความว่า...”
“ขนาดเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับเจ้า เจ้ายังไม่อยากให้มันเกิดเลย แล้วกับเรื่องที่เกี่ยวพันถึงตำแหน่งฮ่องเต้ ผู้นำของปวงประชา เจ้าไม่คิดว่าอยากจะช่วยบ้างเหรอ”
ช่วย? ให้ข้าคนนี้ช่วย ช่วยอะไร ขนาดข้าเองยังเอาตัวเองไม่รอด จะเอาปัญญาไปช่วยใครได้
“องค์ชายอย่าพูดล้อเล่น คนอย่างข้าจะไปช่วยอะไรใครได้”
“ได้สิ เจ้าช่วยได้แน่”
“ไม่!!! ข้าทำไม่ได้”
องค์ชายหันมองอวี้เม่ยที่นั่งขมวดคิ้วกัดฟันกรอด ข้าลืมนึกถึงใจนางไปได้อย่างไร มัวแต่ห่วงเรื่องพี่น้องตีกัน จนลืมห่วงความรู้สึกของนางไป อวี้เม่ยควรมีชีวิตสุขสบายแท้ๆ กลับต้องมาตายเพราะสิ่งที่ไม่ได้ทำ อีกทั้งตระกูลที่รักของนางยังพลอยโดนหางเร่ไปด้วย นางคงจะกลัวและขวัญเสียมากเป็นแน่
“อวี้เม่ย...ข้าขอโทษที่ขออะไรโดยไม่สนใจความรู้สึกเจ้า”
“ทุกครั้งที่ข้านึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ข้ารู้สึกจุกที่อกจนแทบหายใจไม่ออก เจ็บปวดเหมือนถูกคมดาบนับสิบทิ่มแทง ข้าตัวคนเดียว ไม่มีใครยืนหยัดเพื่อข้า สายตาที่ดูถูกดูแคลน ศักดิ์ศรีที่ถูกฉีกกระชากไม่มีเหลือ แล้วพอคิดว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมันจะเกิดขึ้นซ้ำอีก ข้าก็...”
เสียงที่สั่นเครือกับน้ำตาที่เริ่มไหลริน องค์ชายห้าเอื้อมไปบีบไหล่อวี้เม่ยเบาๆ พยายามปลอบให้นางใจเย็นลง “แต่ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้น เจ้ามีทางเลือกจะแก้ไขมัน และข้าก็อยู่ตรงนี้ จะคอยยืนหยัดเพื่อเจ้าเอง”
ซาบซึ้งหรือปลื้มปริ่ม อวี้เม่ยไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้ของนางเหมาะที่จะใช้คำไหนดี
“แต่ข้าก็ยังขอยืนกรานคำเดิม แค่เรื่องของข้าเองก็ปวดหัวจะแย่ ไหนเลยจะให้ช่วยเรื่องพวกท่านพี่น้อง ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
“เจ้ายังโกรธอยู่ใช่ไหม”
“คำว่าโกรธยังน้อยไป ข้าอยู่ของข้าดีๆ พวกเขาก็มาหาเรื่องใส่ความข้า ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะล้างแค้นพวกเขา ให้รู้สึกแบบเดียวกับที่ข้ารู้สึก เจ็บปวดแบบเดียวกับข้าที่เคยโดนกระทำ”
ว่ากันว่าความริษยาและความแค้นของอิสตรีนั้นน่ากลัวกว่าสิ่งอื่นใดบนโลก เห็นทีจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว องค์ชายห้าสัมผัสได้ถึงไฟแห่งโทสะที่แฝงอยู่ในคำพูดเหล่านั้น ความแค้นที่พร้อมแผดเผาทุกคนได้จริงดังที่นางลั่นวาจา แต่เพราะอะไรบางอย่างในแววตานั้น ทำให้องค์ชายยังรู้สึกว่าตนยังมีความหวัง
“กับไท่จื่อ เจ้าก็…”
“ข้ายอมรับว่าทรงเป็นคนที่ข้านึกแค้นมากที่สุด แต่ข้า...ก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าแค้นพระองค์”
ความรักหรือความโง่ อาจจะเพราะสองสิ่งนี้ที่ไม่อาจทำให้อวี้เม่ยตัดใจจากหวงไท่จื่อได้ รักแรกมันลืมยาก แม้ว่าจะโดนทำร้ายจิตใจมากขนาดไหน ก็ไม่อาจเลิกรักได้
องค์ชายห้าพยายามคิดอยู่หลายตลบ เป็นพี่น้องที่ตามกันมาแท้ๆ หากแต่เห็นแก่อำนาจจนลืมสิ้นสายสัมพันธ์นี้ หมายจะเอาชีวิตกันถึงตาย ข้าคนนี้จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่จะให้อวี้เม่ยที่เป็นเพียงสตรีอ่อนแอไปขัดขวางแผนการชั่วร้ายของบุรุษ มันก็ดูแทบจะเป็นไปได้ยาก
อีกอย่างหวงไท่จื่อก็เป็นเหตุที่ทำให้นางฆ่าตัวตาย ทั้งรักทั้งแค้นขนาดนี้ จะทำให้นางใจอ่อนยอมช่วยได้อย่างไร
แต่เดี๋ยวก่อน...
“ถ้าเจ้าเปลี่ยนได้ ถ้าทำให้ไท่จื่อหันมารักเจ้าล่ะ เจ้าว่าจะเป็นอย่างไร”
ให้ไท่จื่อรักข้า?!