“เจ้าจงใจแกล้งข้า!!!”
ดนตรีหยุดบรรเลงอย่างฉับพลัน ผู้คนต่างพากันยืนนิ่งมองหน้ากันไปมา องค์หญิงหลิงเซียงที่ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้นร้องโวยวายเสียงดัง พยายามจะลุกขึ้นพลางชี้หน้าด่าอวี้เม่ย
“ข้าเปล่านะ ก็องค์หญิงจะชนข้า ข้าก็ต้องหลบสิ”
“โกหก!!! ใครจะไปชนเจ้า เจ้าแกล้งข้าชัดๆ คอยดูเถอะ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
นางกำนัลสองคนรีบเข้ามาพยุงตัวองค์หญิงหลิงเซียง
ฮองไทเฮาที่นั่งชมการแสดงอยู่ลุกขึ้นเดินมาทางพวกนางด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว การร่ายรำที่อ่อนช้อยงดงามกลายเป็นละครลิงได้อย่างไร
“เสด็จย่า เสด็จย่าต้องจัดการให้หม่อมฉันนะเพคะ อวี้เม่ย นางจงใจแกล้งหม่อมฉัน คงเห็นหม่อมฉันสวย เด่นกว่าก็เลยจงใจทำให้หม่อมฉันขายหน้า”
“เอาล่ะๆ เจ้าใจเย็นก่อนเถอะ” ฮองไทเฮาหันมามองทางอวี้เม่ยที่ยืนสงบเงียบก้มหน้าไม่กล้าสบตา “ใครเป็นคนจัดให้อวี้เม่ยมาอยู่แถวหลัง”
กุ้ยเฟยรีบเดินมากราบทูลโดยไว “ทูลฮองไทเฮา หม่อมฉันเองเพคะ คือหม่อมฉันเห็นว่าอวี้เม่ยยังไม่ค่อยมีพื้นฐานจึงให้นางมาอยู่หลังองค์หญิงหลิงเซียงเพื่อที่นางจะได้มีต้นแบบ...”
“ทั้งๆ ที่นางตัวเล็กกว่าเนี่ยนะ”
เสียงของฮองไทเฮาดูแข็งกร้าวขึ้นทันที พลางปรายตามองไปที่เสียนเฟยเพื่อหวังจะได้ยินความจริงมากกว่าคำแก้ตัว
“หม่อมฉันผิดเองเพคะ การแสดงนี้เป็นหน้าที่ที่หม่อมฉันต้องเตรียมการ แต่ขาดความคิดไตร่ตรองเเละความกล้าที่จะโต้แย้ง พอได้ยินพี่หญิงเสนอความคิดเรื่องอวี้เม่ย หม่อมฉันจึงไม่กล้าขัด...”
ถือว่าเสียนเฟยเป็นคนฉลาดอยู่พอควร ถึงจะอายุน้อยและเพิ่งเข้าวังมาได้แค่ห้าปีทว่าทักษะการเอาตัวรอดถือว่ายอดเยี่ยม รู้จักปัดความผิดให้พ้นตัว มิหนำซ้ำยังโบ้ยให้คนอื่นหน้าตาเฉย
“กุ้ยเฟย นี่เจ้าก้าวก่ายงานของเสียนเฟยอย่างงั้นหรือ”
“เอ่อ...หม่อมฉัน”
“ฮ่องเต้ให้เจ้าคุมวังหลังก็จริง แต่งานของใครก็ของมันสิ ข้ามอบหมายงานเเสดงให้เสียนเฟยเพราะเห็นนางมีความสามารถด้านนี้ แต่เจ้า...เจ้าอยากจะคุมทุกอย่างเลยหรือไง”
“หม่อมฉันขออภัย หม่อมฉันไม่ได้มีเจตนา...”
“เอาเถอะๆ บทเรียนครั้งนี้ก็ให้จำไว้ พวกเจ้าทั้งหมดก็ด้วย รู้หน้าที่ รู้ฐานะของตนแต่พอดี” ฮองไทเฮาจงใจย้ำคำว่าฐานะเป็นพิเศษ “แยกย้ายเถอะ ข้าอยากดื่มชาแล้ว”
“แล้วเสด็จย่าจะไม่ลงโทษ...”
องค์หญิงหลิงเซียงยังคงเซ้าซี้ไม่เลิก ทว่าฮองไทเฮาก็หาได้ฟังคำนางต่อ ทรงหันหลังเดินจากไปราวกับนางเป็นธาตุอากาศ องค์หญิงหลิงเซียงอ้าปากกรี๊ดเป็นรอบที่สองก่อนจะเดินกระทืบเท้าออกไปจากงาน
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง...
เมื่อข้าตัดสินใจหลบตอนที่กำลังจะถูกองค์หญิงหลิงเซียงชน กุ้ยเฟยก็จะถูกฮองไทเฮาตำหนินี่เองสินะ
อวี้เม่ยผู้รู้งาน เดินตามไปรินชาและกล่าวขอบพระทัยฮองไทเฮาที่มิทรงเอาเรื่อง “หม่อมฉันก่อเรื่องอีกแล้ว ทำให้งานเลี้ยงของพระองค์ไม่ราบรื่น ขอได้โปรดลงโทษหม่อมฉัน...”
“พูดอะไรอย่างนั้น เจ้าไม่ได้ตั้งใจ อีกอย่างมันก็แค่อุบัติเหตุเล็กๆ หลิงเซียงต่างหากที่โวยวายซะใหญ่โต ไม่สมกับกุลสตรี เต๋อเฟย เจ้าได้อบรมนางบ้างหรือเปล่า ทำไมถึงมีกิริยาเช่นนี้ได้”
เต๋อเฟยก้มศีรษะนอบน้อม รีบกล่าวขอโทษที่ตนนั้นละเลย ไม่อบรมสั่งสอนสตรีในปกครองให้ดี ถึงองค์หญิงหลิงเซียงจะไม่ใช่ธิดาแท้ๆ แต่เมื่อรับมาเลี้ยงดูแล้วก็ต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อขัดเกลาให้นางดำรงตำแหน่งองค์หญิงได้อย่างภาคภูมิ
“ฮองไทเฮาเพคะ หม่อมฉันรู้สึกเวียนหัว ใคร่จะขอกลับตำหนักก่อนได้หรือไม่เพคะ”
“อ้าว เจ้าไม่สบายหรือ เป็นอะไรตรงไหนให้ข้าตามหมอหลวงไหม”
“ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ได้นอนพักสักหน่อย ก็น่าจะดีขึ้นเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไปพักเถอะ ถ้ารู้สึกไม่ดีให้รีบบอกเลยนะ อย่าฝืนเด็ดขาด”
“เพคะ ขอบพระทัยเพคะ”
ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่อวี้เม่ยรู้สึกได้ถึงสายตาริษยาที่ทิ่มแทงมา ไม่ใช่หนึ่ง อาจเป็นสอง ไม่แน่ว่าการที่นางเลือกทำเช่นนี้จะเป็นการสร้างศัตรูเพิ่มหรือไม่ เพราะในฝันนั้น....นางที่ถูกชนจนเสียจังหวะก็ยังคงอยู่ในงานเลี้ยงต่อ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นหนึ่งในสตรีที่ร่วมจิบชาและนั่งเงียบๆ ไม่ได้มีปากเสียงอะไร
หากแต่ตอนนี้ ทุกคนกำลังจ้องมาที่นาง สนใจในสิ่งที่ฮองไทเฮาแสดงออกแก่นาง ทั้งรักและเอ็นดู เผลอๆ อาจจะมากกว่าเหล่าองค์หญิง ผู้เป็นพระราชนัดดาแท้ๆ เสียด้วยซ้ำ
สตรีนางนี้ช่างไม่ธรรมดา ใช่เล่ห์กลให้องค์หญิงหลิงเซียงดูเป็นตัวร้าย แล้วตัวเองดันกลายเป็นคนที่ถูกรังแก อีกทั้งกุ้ยเฟยและเต๋อเฟยยังถูกฮองไทเฮาตำหนิอีก เป็นปัญหาที่ชวนให้เหล่าผู้คน ณ ที่นี้ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกอยู่ฝ่ายไหน คนที่กำลังจะเสื่อมอำนาจหรือคนที่กำลังจะมีอำนาจในอนาคต
เป็นคำถามที่ไม่น่ายากเกินไป... หากแต่ก็ไม่ง่ายที่จะตัดสินใจ
อวี้เม่ยที่เดินออกมาจากงานเลี้ยงแล้ว เดินวนไปมาอยู่ในสวน ในห้วงความคิดนั้นสับสนและตีกันยุ่งไปหมด ไม่รู้ว่าสิ่งที่นางทำนี้จะส่งผลลัพธ์อย่างไรบ้าง
น่าแปลก...เหตุการณ์ครั้งนี้ ข้าสามารถเปลี่ยนมันได้ ข้าไม่รำผิดจังหวะ ไม่อับอาย หากแต่เป็นหลิงเซียงที่ล้มและเสียหน้าแทน อีกทั้งยังเรื่องของกุ้ยเฟยและเต๋อเฟย มันต้องมีความเกี่ยวข้องกันแน่ๆ
อวี้เม่ยที่เดินมาเรื่อยๆ สังเกตเห็นองค์ชายสิบสี่อยู่เบื้องหน้า ครั้นจะเดินผ่านไปเลยก็เกรงจะเสียมารยาท จึงตัดสินใจกล่าวทักทายสักเล็กน้อยและถือโอกาสขอโทษเรื่องเมื่อครั้งก่อนไปด้วยในตัว
“ถวายพระพรองค์ชายสิบสี่ ขอประทานอภัยที่ก่อนหน้านี้หม่อมฉันพูดจาไม่ดี”
องค์ชายสิบสี่พยักหน้ารับ “นี่สินะอวี้เม่ย ต้นแบบสตรีที่เขาพูดถึงกัน”
“เพคะ?”
“อ้าว ก็ใครๆ ก็พูดแบบนี้ ตั้งแต่...อืมสิบสองใช่สิบสอง ที่เจ้าเริ่มไปเข้าพวกกับบรรดาองค์หญิงทั้งหลาย ทั้งคำพูดกิริยาท่าทางถอดแบบมาจากสนมทุกคนของเสด็จพ่อ อีกทั้งยังได้เป็นคนโปรดเสด็จย่า หึ”
“แล้วมันไม่ดีหรือเพคะ”
“มันน่ารำคาญ เอาแต่เดินตามอยู่ได้ ถามคำตอบคำ ยังกะทหารในกองทัพไม่มีผิด ถามจริงไม่รู้สึกอึดอัดบ้างเหรอ รู้สึกอะไรทำไมไม่พูดออกมา ชอบเก็บความเศร้าไว้คนเดียว ถ้ารู้สึกโกรธหรือเสียใจอะไรก็แสดงออกมาเลยสิ ทำไมต้องฝืนตัวเองด้วย”
“เอ่อ...องค์ชายกำลังพูดถึงหม่อมฉันอยู่รึเปล่าเพคะ”
“กะ...ก็ต้องใช่สิ สตรีในวังก็เหมือนกันหมด”
โกหกชัดๆ ไม่ได้พูดถึงข้าแน่ บางทีอาจจะหมายถึง...เสด็จแม่ของเขากระมัง
ซูเฟย พระชายาเอกลำดับที่สอง บุคคลที่เป็นต้นเหตุให้ฮองเฮาต้องสิ้นพระชนม์
อวี้เม่ยไม่ค่อยได้พบหน้าหรือพูดคุยกับซูเฟยมากนัก ซูเฟยเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ชอบสวดมนต์ไหว้พระและไปถือศีลที่อารามชีซะเป็นส่วนใหญ่ เมื่อก่อนนางได้ชื่อว่าเป็นสตรีที่สดใสร่าเริง เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของนางถูกตาต้องใจฮ่องเต้เป็นอันมาก เวลาผ่านไปไม่นานนางก็ได้เลื่อนขั้นเป็นคนโปรดของฮ่องเต้
อวี้เม่ยยังไม่ทราบแน่ชัดถึงนิสัยที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันและเหตุการณ์ในวันนั้นที่พลิกชะตาชีวิตของซูเฟย จากสตรีคนโปรดกลายเป็นสตรีที่น่าชิงชัง แม้แต่กับองค์ชายสิบสี่ที่เป็นโอรสเพียงคนเดียวยังไม่อยากจะพบหน้านางเสียด้วยซ้ำ
งั้นเงียบไว้ก่อนกว่า รีบพูดอะไรที่ไม่รู้ออกไปจะดูโง่เสียเปล่าๆ
“กำแพงสูงจัง” อวี้เม่ยแกล้งทำเป็นหันมองไปทางกำแพงที่ล้อมรอบวังหลวงแห่งนี้ไว้ “ทรงตรัสผิดแล้ว หม่อมฉันไม่ใช่สตรีวังหลวง หากแต่เป็นสตรีนอกวังต่างหาก ถึงจะได้รับการศึกษาและเข้าออกวังตั้งแต่เด็กแต่ก็ยังเป็นคนนอกนะเพคะ”
“พูดอะไรของเจ้า สมองกลับอีกแล้วรึไง”
“ที่หม่อมฉันอยากจะบอกก็คือ สิ่งที่ทรงเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่หม่อมฉันเป็น บางครั้งคนเราก็ต้องรู้จักกลมกลืนเเละสงบนิ่งเพื่อรอโอกาสอะไรบางอย่าง ซึ่งนั้นก็เป็นสิ่งที่หม่อมฉันทำมาตลอด แต่ก็...”
เอาตัวไม่รอดอยู่ดี...
“เพราะฉะนั้นองค์ชายอย่าทรงกังวลไปเลย บางทีสิ่งที่คนอื่นพร่ำบอกท่าน อาจจะไม่ใช่ความจริง”
บางทีเสด็จแม่ของท่านอาจจะไม่ใช่คนเลือดเย็นอย่างที่ใครหลายคนร่ำลือ
ภาพในวัยเด็กย้อนให้องค์ชายสิบสี่นึกถึงเหตุการณ์หนึ่ง เขานั่งร้องไห้เพราะถูกเสด็จพ่อดุเรื่องทำภาพเขียนในห้องหนังสือขาด อวี้เม่ยเดินเข้ามากอดพลางพูดปลอบเขาให้หยุดร้อง แต่แล้วเสด็จแม่ที่เดินมาเห็นก็โวยวายทันที สั่งให้คนเอาไม้เรียวมาลงโทษเขาที่ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม แต่สุดท้ายก็เป็นอวี้เม่ยที่ร้องไห้งอแงพยายามกระโดดขวางไม้เรียวเอาไว้ ก่อนที่เขาทั้งคู่จะถูกสั่งไม่ให้เล่นด้วยกันอีก
อวี้เม่ยเป็นของพี่สาม ถ้าเจ้าไม่อยากถูกลงโทษ ก็อยู่ให้ห่าง ห้ามยุ่งกับนางเด็ดขาด!!!
“อวี้เม่ย!” เสียงองค์ชายห้าดังมาแต่ไกล เจ้าตัวรีบเดินมาหาเจ้าของชื่อก่อนจะกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง “เพิ่งกลับจากงานเลี้ยงเหรอ น่าเบื่อมากเลยใช่ไหม สองวันมานี่ข้าไปหาเจ้าที่ตำหนัก ไม่ยักเห็น เจ้าไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนมา”
“หม่อมฉันไปอยู่ที่ตำหนักของกุ้ยเฟยเพคะ”
“เอ๊ะ! อะไรกัน ทำไมทำตัวเหมือนเดิมอีกแล้ว ไหนบอกจะทำตัวสบายๆ กับข้าแล้วไง”
“หม่อมฉันคิดน้อยไป ในวังมีกฎระเบียบต้องทำตามเพคะ”
องค์ชายห้าพูดพลางส่ายหน้า “อา...ข้ารู้แล้ว สองวันนี้กุ้ยเฟยคงดึงร่างอวี้เม่ยชาววังออกมาเเทนที่ฉางอวี้เม่ยเสียแล้วใช่ไหม ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อ โหดกับเจ้าตั้งแต่เด็กจนป่านนี้...ดูซิ นางทำอะไรกับเจ้านะ”
“โทษนางฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ใครๆ ก็ยัดเยียดความคิดตัวเองให้นางทั้งนั้นแหละ”
“น้องสิบสี่? ไม่ยักรู้ว่ายืนตรงนี้ด้วย”
“ท่านไม่เห็นข้าจริงเหรอ”
“อืม...ตอบยากจัง บางทีข้าอาจจะมองเลยเจ้าไป ว่าแต่ว่างเหรอถึงได้มาอยู่ตรงนี้ พี่รองกับน้องแปดล่ะ ทำไมพวกเขาไม่อยู่ด้วย สนิทกันนี่”
“ถึงสนิทก็ไม่มีความจำเป็นต้องตัวติดกันตลอด”
เริ่มแล้วไง...พี่น้องคู่นี้ไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไร คงเพราะองค์ชายห้าเข้าข้างหวงไท่จื่อ ส่วนองค์ชายสิบสี่ก็เข้าข้างองค์ชายรอง ทั้งหวงไท่จื่อและองค์ชายรองต่างไม่ถูกกัน เพราะสาเหตุนี้เลยเป็นเหตุให้พลาดเกลียดกันไปหมด
แต่เดี๋ยวนะ...ถ้าข้าดึงองค์ชายสิบสี่มาเป็นพวกได้ล่ะ ข้าก็จะหยุดยั้งแผนการชั่วร้ายขององค์ชายรองได้ เพราะไม่แน่ว่าถ้าไม่เกิดการชิงบัลลังก์ ข้าก็จะไม่ถูกใส่ร้าย บางทีข้า...อาจจะไม่ตาย!?