ไม่ได้กล่าวเกินจริงหรืออวดอ้างแต่อย่างใด เเต่อวี้เม่ยนั้นนับได้ว่าเป็นสตรีที่มากความสามารถอย่างแท้จริง ถึงนางจะตามหลังคนอื่นอยู่หลายก้าวแต่ทันทีที่ได้ฝึกซ้อมเพียงแค่สองรอบ อวี้เม่ยก็ทำออกมาได้ดีเสียจนพูดได้ว่าไร้ที่ติ
“งดงามมากจริงๆ เจ้านี้มันช่าง…อัศจรรย์”
“เสียนเฟย [4] ชมเกินไปแล้วเพคะ”
“เกินไปอะไร กล่าวน้อยไปเสียด้วยซ้ำ เพิ่งจะเข้าวังมาได้ไม่เท่าไหร่ก็สง่าได้ถึงเพียงนี้เชียว”
จะไม่ให้สง่าได้อย่างไร…ก็แม่นมจางเล่นเคี่ยวเข็ญข้าตลอดคืน จนแทบจะไม่มีเวลาพักหายใจ คำพูดตั้งแต่ยศศักดิ์ที่ใช้เรียกเหล่าสตรีนางในของฮ่องเต้
ต้องเรียกตามลำดับขั้นและแสดงความเคารพให้ถูกให้ควร ซึ่งลำดับขั้นต่างๆ เป็นความรู้พื้นฐานของสตรีที่ต้องเข้าวังทุกคนเพื่อเป็นการให้เกียรติเเละอ่อนน้อมต่อคนที่มีศักดิ์สูงกว่า
เเต่ไม่ใช่กับอวี้เม่ย สตรีผู้ถูกสอนว่ายศสูงกว่าสตรีใดในวังหลวง อนาคตคือฮองเฮา พระอัครมเหสีเอกผู้อยู่เหนือพระชายาและสนมทุกคน ฉะนั้นแล้วไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญหรือก้มหัวให้พวกนาง ถึงจะเป็นผู้อาวุโสกว่าก็ตามที
แต่ถึงอย่างนั้นอวี้เม่ยก็ยังไม่ถือตนจนเกินงามเพราะรู้ว่าคลื่นใต้น้ำนั่นน่ากลัวเพียงใด ใครจะรู้ว่าผู้มีอำนาจหรือขุนนางยศสูงคนไหนคอยหนุนหลังสตรีนางใดอยู่บ้าง
ฉะนั้นตอนนี้นางขอเป็นดั่งต้นหญ้าที่ลู่ไปตามแรงลม คอยดูสถานการณ์เงียบๆ เช่นนี้ก่อนดีกว่า หากเลือกเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงสง่าทะนงตน ไม่พ้นสุดท้ายคงเหลือเพียงตอ
“คงต้องยกความดีให้พี่หญิงที่สั่งสอนนางมาดี”
เสียนเฟยหันไปกล่าวชมกุ้ยเฟย แต่กุ้ยเฟยก็ไม่ได้ยิ้มรับหรือดีใจต่อคำชมนั้น ตรงข้ามยิ่งเห็นแบบนี้ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่นางเสียมากกว่า
“ข้าก็ว่าดีนะ แต่มันยังดูขัดๆ ข้าว่าให้อวี้เม่ยเปลี่ยนไปอยู่แถวหลัง ตรง…เอ่อ หลังองค์หญิงหลิงเซียง”
“แต่ข้าว่าตรงนั้นมันค่อนข้างจะ”
“ค่อนข้างจะอะไรหรือ”
“ขออภัยพี่หญิง… แต่ข้าเกรงว่าจะไม่เหมาะ อีกอย่างองค์หญิงหลิงเซียงตัวสูงกว่าอวี้เม่ย อาจจะบังจนฮองไทเฮาทอดพระเนตรนางได้ไม่ถนัดตานัก”
“น้องเสียนเฟยดูให้ความใส่ใจกับอวี้เม่ยมากเลยนะ ช่างเป็นคนฉลาด…ช่างเลือกข้าง”
เสียนเฟยพยายามจะปฏิเสธแต่กุ้ยเฟยก็ชิงพูดขึ้นก่อน “งานในครั้งนี้จัดโดยฮองไทเฮา โดยมีพระประสงค์อยากใกล้ชิดกับลูกหลาน อยากเห็นการแสดงของสายเลือดราชวงศ์เป็นหลัก แล้วไหนเจ้าลองบอกมาสิว่า ถ้าอวี้เม่ยร่ายรำอยู่แถวหน้าจะเกิดอะไรขึ้น”
ก็จะเด่นจนบดบังองค์หญิงทุกคนกระทั่งพวกนางกลมกลืนหายไปกับฉากหลัง
“ทีนี้เจ้าคงเข้าใจและไม่ขัดข้าอีกนะ”
เสียนเฟยได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าโต้แย้งใดๆ เพราะนางเองก็รู้ว่า สิ่งที่กุ้ยเฟยกล่าวมาทั้งหมดนั้น มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง…
อวี้เม่ยจึงต้องย้ายสลับจากจุดเดิมของนางมาอยู่ท้ายแถว ตั้งแต่รำเปิดตัวกระทั่งจบเพลง ถ้าไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่รู้เลยว่ามีอวี้เม่ยร่วมแสดงอยู่ด้วย
สมบูรณ์แบบตามที่กุ้ยเฟยต้องการ
“เสียใจด้วยนะอวี้เม่ย ที่งานนี้เจ้าไม่ได้โดดเด่นเหมือนอย่างที่คิด” องค์หญิงหลิงเซียงกล่าวเย้ย
“งานนี้จัดเพื่อความรื่นเริงเเละผูกสัมพันธ์ในครอบครัว เหตุใดต้องมีใครเด่นกว่าใครด้วยเล่า” อวี้เม่ยตอบกลับ
“ทำเป็นพูดดีไปเถิด ที่จริงใจเจ้าคิดอะไร ข้านี่แหละรู้ดีที่สุด”
พล่าม พล่าม พล่าม องค์หญิงหลิงเซียงช่างเป็นสตรีที่พล่ามได้ตลอดวันเสียจริง นางเป็นบุตรีของไฉเหริน*คนหนึ่งที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายปีที่แล้ว ก่อนจะล้มป่วยและตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ เต๋อเฟยหรือมารดาขององค์ชายห้าสงสารจึงรับนางมาเลี้ยงดู
องค์หญิงหลิงเซียงมักเป็นองค์หญิงที่ชอบเรียกร้องความสนใจและเป็นคู่กัดกับอวี้เม่ยมาตั้งแต่เด็ก แต่อวี้เม่ยนั้นรู้ดีว่าองค์หญิงหลิงเซียงก็เป็นเพียงแค่หญิงเอาแต่ใจและเก่งเเต่ปากเท่านั้น
“ได้ข่าวว่าเจ้าทำตัวรุ่มร่ามกับพี่ห้าของข้า แถมพูดจาไม่ดีกับองค์ชายองค์อื่น แล้วก็…ไท่จื่อ ทะเลาะกันเหรอ”
“ถ้าไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าองค์หญิงทำงานเป็นสายข่าวของวังหลวงนะเนี่ย”
“อย่ามาโยกโย้ ยอมรับมาเถิดว่าเจ้าน่ะไม่ได้เป็นที่โปรดปราน สตรีที่นิ่งเป็นท่อนไม้ มีดีแค่ฝีปากเช่นเจ้า อย่าว่าตำแหน่งฮองเฮาเลย ตำแหน่งพระชายาเอกก็ไม่รู้จะได้เป็นรึเปล่า”
“องค์หญิงหลิงเซียง หม่อมฉันไม่รู้นะว่าทรงไปเอาข่าวพวกนี้มาจากไหน แต่ถ้าหากสังเกตสักนิด บนคอของหม่อมฉัน…ทรงเห็นสิ่งใดหรือไม่”
อวี้เม่ยอมยิ้ม ชูคองามระหงให้เห็นชัดๆ ถึงสร้อยไข่มุกเป็นประกายที่สวมอยู่
“สร้อยนี่…เจ้าได้มาอย่างไร”
“ไม่ใช่ของหม่อมฉัน หากแต่เป็นของขวัญ”
“ไท่จื่อให้เจ้าเหรอ? ไท่จื่อคนที่ไม่เคยใส่ใจใครคนนั้นเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้ เจ้าโกหก!!!”
อ่า…เริ่มอีกแล้ว พอเห็นคนอื่นมีในสิ่งที่ตนไม่มี ประเดี๋ยวต้องร้องกรี๊ดๆ อีกเป็นแน่
ทันทีที่อวี้เม่ยหันหลังเดินออกมา เสียงกรีดร้องด้วยความขัดใจก็ดังขึ้นแทบจะในทันที ตามมาด้วยเสียงตะโกน “พรุ่งนี้เจ้าระวังหลังตัวเองให้ดีเถอะ!!!”
นั่นไม่ใช่คำเตือนหรือคำขู่ หากแต่นางทำจริง
ในฝัน…ขณะกำลังร่ายรำ นางแกล้งเซชนข้า ข้าไม่ล้มแต่มันทำให้ข้าจับจังหวะพลาดและรำตามคนอื่นไม่ทัน ความรู้สึกตอนนั้นทั้งโกรธและอับอาย แต่พอมาตอนนี้ข้ากลับรู้สึกเฉยๆ เสียมากกว่า อาจเพราะว่ามันก็เป็นเพียงการแกล้งกันเล่นๆ ตามประสาเด็กไม่รู้จักโต หากเทียบกับปัญหาใหญ่ที่จะตามมาอีกมากมาย แค่นี้เรื่องเล็กมากนัก
อวี้เม่ยนอนไม่หลับตลอดคืน ไม่ใช่เพราะคิดมากจนนอนไม่หลับ หากแต่เพราะแม่นมจางแกล้งทำเสียงดังให้นางหนกหูจนไม่สามารถข่มตานอนได้
แม่นมจาง แม่นมผู้ซึ่งเลี้ยงดูกุ้ยเฟยมาตั้งแต่เกิด ติดตามกุ้ยเฟยมาตั้งแต่เข้ามาวังครั้งแรก เป็นหญิงแก่ที่หยิ่งผยองและวางมาดพอสมควร ชอบพูดจาข่มและคิดว่าตนนั้นพิเศษกว่านางกำนัลคนอื่น เปรียบตัวเองเป็นดั่งแม่นมของบรรดาองค์ชายองค์หญิงในวัง แต่ความจริงก็เพียงหญิงแก่นอกวังที่ตามมาดูแลนายหญิงของตนเท่านั้น
หญิงแก่อสรพิษ…ร้ายนักนะ
“ชุดที่จะใส่แสดงอยู่ทางด้านนี้… ส่วนเครื่องประดับอยู่ทางนั้น…”
สรุปง่ายๆ จะให้ข้าแต่งเองสินะ
อวี้เม่ยยืนมองดูชุดสีชมพูอ่อนค่อนไปทางขาวซีด มองด้วยตาก็รู้เลยว่าชุดเก่ามีตำหนิ กล้ามากนะที่เอาชุดแบบนี้มาให้ข้าใส่
“แม่นมจาง ท่านคิดจะทำอะไร”
“ข้าเหรอ เปล่าเสียหน่อย”
“ชุดเก่าสีหมองขนาดนี้ จะให้ข้าใส่ได้อย่างไร”
“โอ๊ยยยยยยยย ยังไม่ทันได้เป็นพระชายาก็ถือตนขนาดนี้แล้ว ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อ มีคนแบบนี้อยู่ด้วยหรือเนี่ย กะอีแค่ชุดร่ายรำจะต้องให้สวยเพียงไหนกันเชียว” หญิงแก่กล่าวเสียงแหลมสูงปานไก่ขันในยามเช้า
“ข้าไม่ได้ถือตน แต่ชุดนี้มันดูเก่ามาก จะให้ข้าใส่ชุดนี้ไปเข้าเฝ้าฮองไทเฮาได้อย่างไร”
“ใส่ไม่ได้ก็ไม่ต้องใส่”
“แม่นมจาง!!”
“อะๆ ท่านกำลังจะขึ้นเสียงใส่ข้าใช่ไหม”
พูดเหมือนกุ้ยเฟยเลยนะ… จะเล่นแบบนี้ใช่ไหม
“งั้นก็ได้ ข้าไม่ใส่ แล้วก็จะไม่ไปงานเลี้ยงน้ำชาด้วย”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ข้า-ไม่-ไป แล้วถ้าข้าไม่ไป ฮองไทเฮาจะว่าอย่างไรนะ อืม แล้วข้าควรทูลว่าอย่างไรดี แม่นมจางกลั่นแกล้งข้า ดูหมิ่นข้า ไม่ให้เกียรติข้า” อวี้เม่ยพูดพลางฉีกยิ้มกว้าง “แม่นมจาง คงจะรู้นะว่าข้าเป็นคนโปรดของฮองไทเฮา ถ้าท่านยังอยากอยู่ในวังต่อ อย่าหาเรื่องข้าดีกว่า”
“หึ เป็นคนโปรดแล้วไง ข้าเป็นแม่นมของกุ้ยเฟยเชียวนะ เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้ามีหรือจะทำอะไรข้าได้”
“โธ่ แม่นมจาง…ท่านเองก็เป็นคนฉลาด ทำไมถึงไม่รู้ว่าสถานะของกุ้ยเฟยตอนนี้วิกฤตขนาดไหน” แม่นมจางที่ทำปากเก่งในตอนแรกหุบยิ้มทันที
“ท่านคิดว่าสตรีที่ไม่มีทายาทให้ฮ่องเต้ จะมีโอกาสได้อยู่ในวังต่องั้นเหรอ แม่นมจาง…ถ้าท่านยังถือตัวไม่รู้สถานะของตนอยู่แบบนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ”
สิ้นคำขู่ แม่นมแก่ก็รีบลากร่างที่ตุ๊ต๊ะของตนออกไปทันที ก่อนจะกลับมาด้วยชุดร่ายรำชุดใหม่ที่สวยงามประณีตอย่างที่ควรจะเป็น
“ข้าต้องการนางกำนัลมาช่วยข้าแต่งตัว”
แม่นมจางเบ้ปาก
“เร็วสิ ข้าไม่ชอบพูดอะไรซ้ำสองนะ”
“ก็ได้ รอประเดี๋ยว”
ถึงจะใช้เวลานานกว่าปกติเพราะมัวแต่ต่อปากต่อคำกับแม่นมเฒ่า แต่อวี้เม่ยก็มาได้ทันก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม
เสียงดนตรีดังกังวานไปทั่วทั้งตำหนัก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาเเละกลิ่นหอมของขนมตลบอบอวลไปทั่ว สตรีทุกนางแต่งกายด้วยชุดสีสันสดใสหากแต่ยังคงไว้ซึ่งความเรียบร้อยและสง่างาม
อวี้เม่ยเดินตรงไปถวายพระพรฮองไทเฮาก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะตามมาด้วยซื่อฟูเหรินทั้งสี่ “หม่อมฉันฉางอวี้เม่ย ถวายพระพรฮองไทเฮา ถวายพระพรพระสนมเพคะ”
เต๋อเฟยเป็นคนแรกที่เอ่ยชมในท่าทีที่อ่อนน้อมของอวี้เม่ย “เข้าวังมาก็ตั้งหลายวัน เพิ่งจะได้เจอเจ้าก็วันนี้ พอโตเป็นสาวก็สวยสะพรั่ง กิริยาเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี เกรงว่าข่าวลือที่พูดถึงกันในช่วงนี้คงจะเป็นข่าวที่ไม่จริงเสียแล้ว”
“หม่อมฉันเห็นด้วย ตอนไปดูนางซ้อมร่ายรำ หม่อมฉันยังทึ่งเลย ไม่อยากเชื่อว่าสกุลฉางจะมีลูกสาวที่เก่งและเพียบพร้อมถึงเพียงนี้ ไท่จื่อนับว่าโชคดีนักเพคะ”
เมื่อได้ยินเสียนเฟยกล่าวเยินยอร่วมด้วย ฮองไทเฮาก็ถึงกับหน้าบานยิ้มไม่หุบ กล่าวยินดีเเละชมอวี้เม่ยเพิ่มเข้าไปอีก ทำกุ้ยเฟยยิ่งหวาดหวั่น แอบกำหมัดแน่นไม่พอใจ
ทำไมนางถึงได้ใส่ชุดแบบนี้ออกมาได้ สั่งนักสั่งหนาให้แม่นมจางเอาชุดเก่าๆ ไปให้แล้วนี่
“หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ จะต้องไปเตรียมตัวเเสดงก่อน”
“ไปเถอะๆ ตั้งใจเข้าล่ะ ข้าจะคอยดูผลงานเจ้าว่าจะน่าทึ่งเหมือนที่เสียนเฟยบอกหรือไม่”
อวี้เม่ยยิ้มรับ เดินออกมามาดนิ่งแต่ในใจนั้นกลับคิดกังวล
ข้ารู้ว่าจะต้องโดนองค์หญิงหลิงเซียงแกล้งแน่ แล้วข้าควรจะปล่อยให้มันเป็นไปตามเดิม หรือหาทางเลี่ยงไม่ให้มันเกิด…หากลองคิดย้อนถึงเรื่องที่จะถูกกุ้ยเฟยแกล้งในพิธีต้อนรับ ข้าซึ่งรู้และพยายามจะหลีกหนีที่จะไม่ไปแต่ก็ทำไม่ได้ ข้ายังคงล้มกลิ้งและมีข่าวซุบซิบไปทั้งวัง สรุปก็คือถึงข้าอยากจะเลี่ยงก็คงทำไม่ได้รึเปล่านะ…
มีทางเดียวคือ ต้องลองพิสูจน์อีกครั้ง
____________________________________________________
ไฉเหริน* = ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ ขั้นห้า ชั้นเอก ตำแหน่งเริ่มต้นของสตรีผู้ได้รับคัดเลือกเป็นพระสนม