“อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเลี้ยงน้ำชา เจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง”
กุ้ยเฟยเอ่ยถามขณะยกถ้วยชาขึ้นจิบ สายตานางเหลือบมองสร้อยไข่มุกบนคออวี้เม่ยอย่างสนใจ ไฟริษยาและความสงสัยใคร่รู้ว่าสตรีที่อ่อนประสบการณ์นางนี้ใช้เล่ห์กลอะไรหลอกล่อให้ได้มาซึ่งของขวัญล้ำค่า
“เพคะ หม่อมฉันเตรียมพร้อม…”
“แต่ก็ยังไม่ดีพอ”
อวี้เม่ยชะงักกับท่าทีที่เริ่มไม่เป็นมิตร
“ที่ข้าเรียกเจ้ามาไม่ใช่แค่คุยเรื่องงานเลี้ยง แต่เป็นเพราะระยะหลังมีข่าวลือไม่ดีหลายเรื่องเกี่ยวกับเจ้า” กุ้ยเฟยกล่าวเย้ยหยัน ตำหนิถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของอวี้เม่ย “เดิมที่คิดว่าเจ้าจะเป็นสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีเสียอีก แต่จากที่ข้าเห็นข้าคงคิดผิดไปสินะ”
“หม่อมฉันผิดเองเพคะที่ไม่สำรวมกิริยา หม่อมฉันจะปรับปรุงตัว ไม่ให้เกิดขึ้นอีกเพคะ”
“รู้ไหมทั่วทั้งวังลือกันว่าอะไร พวกเขาว่าเจ้าเป็นหญิงที่โง่เขลาไม่รู้จักการวางตัว ไม่รู้กฎระเบียบ ไร้มารยาท ไม่สมกับตำแหน่งว่าที่พระชายา”
ผู้คนลือกันจริง หรือแค่กุ้ยเฟยเพียงคนเดียวที่คิดแบบนี้กันแน่
ตลอดทางที่มาที่นี่ อวี้เม่ยก็ทำใจไว้แล้วเหมือนกันว่าไม่แคล้วต้องโดนถากถางอีกเป็นแน่ นึกย้อนถึงเหตุการณ์ในฝัน ก่อนจะถึงงานเลี้ยงน้ำชา กุ้ยเฟยส่งแม่น้ำนมจางให้มารับตัวนางถึงตำหนักจินเยว่ พูดคุยถามถึงความพร้อมและการแสดงที่จะถวายต่อฮองไทเฮา
อวี้เม่ยคิดอยากดีดพิณขับกล่อมดนตรีไพเราะให้ฮองไทเฮาได้เพลิดเพลิน แต่กุ้ยเฟยที่ริษยากลัวว่านางจะโดดเด่นเกินหน้า จึงเปลี่ยนให้อวี้เม่ยไปแสดงร่ายรำร่วมกับเหล่าองค์หญิงทั้งหลายแทน
“บางทีข้าก็คิดว่าสกุลฉางส่งเจ้าเข้าวังมาเร็วเกินไป”
เป็นที่รู้กันทั่วทั้งใต้หล้าว่าสกุลฉางเป็นตระกูลเก่าแก่ เป็นขุนนางชั้นสูง แต่โอกาสที่จะได้เกี่ยวดองกับราชวงศ์นั่นถือว่าหาได้ยากยิ่ง โดยเฉพาะตำแหน่งที่อวี้เม่ยจะได้รับ ซึ่งนางแทบจะไม่ต้องลงมือลงแรงหรือแข่งขันกับผู้ใด เรียกได้ว่าชนะตั้งเเต่ยังไม่ลงสนามเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นแค่คำหมั้นหมายที่รู้กันเฉพาะกลุ่มของเหล่าผู้อาวุโส ไม่มีการประกาศออกไปอย่างเป็นทางการ
บางทีฉางเป่าเยี่ย บิดาของอวี้เม่ยอาจกลัวว่าหากปล่อยเวลาให้นานวันแล้วฮ่องเต้เกิดเปลี่ยนพระทัยไม่พระราชทานสมรสขึ้นมา สกุลฉางคงไม่พ้นต้องเสียหน้ามากเป็นแน่ เพราะยังไงเสีย ฮ่องเต้ก็ค่อนข้างจะรักและตามใจหวงไท่จื่ออยู่มาก ถ้าลูกบอกไม่ มีหรือที่คนเป็นพ่อจะบังคับได้ ฉางเป่าเยี่ยจึงต้องรีบส่งตัวลูกสาวเข้ามาในวังก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อกดดันทางเหล่าราชวงศ์และทวงคำสัญญาจากฮ่องเต้
สกุลฉาง...ร้ายกว่าที่ข้าคิด กุ้ยเฟยลอบคิดพลางกำมือของตนแน่น
“ท่านพ่อท่านแม่หวังดีกับหม่อมฉัน อยากให้หม่อมฉันได้มาเรียนรู้กฎระเบียบและปรับตัวให้เข้ากับวังหลวงก่อนที่จะเข้าพิธีอภิเษกสมรส”
“ทั้งๆ ที่ยังไม่กำหนดฤกษ์ยามกันเลยเนี่ยนะ”
“เรื่องนี้หม่อมฉันคิดว่า…”
“คงอยากให้ลูกสาวออกเรือนใจจะขาด สกุลฉางชั่งมักใหญ่ใฝ่สูงนัก”
“กุ้ยเฟยเพคะ ทรงตำหนิหม่อมฉันได้ ไหนเลยต้องพาดพิงถึงสกุลฉางด้วย”
“อวี้เม่ย… เหมือนเจ้ากำลังขึ้นเสียงใส่ข้ารึเปล่า ในอุทยานหลวงเจ้าก็พูดจาไม่ดีกับเหล่าองค์ชายด้วยไม่ใช่หรือไง”
กุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเรียบ สายตาอาฆาตมาดร้ายแสดงออกอย่างชัดเจนในแววตานั้น ก่อนที่นางจะสั่งให้นางกำนัลของตนไปตามสาวใช้ของอวี้เม่ยที่รออยู่ด้านนอกตำหนักเข้ามาข้างใน
“หม่อมฉันฮุยอิน ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ”
“เจ้าคือสาวใช้ที่ติดตามนางมาจากสกุลฉางสินะ”
“เพคะ”
“ตบปาก!!!”
กุ้ยเฟยตวาดดังลั่น ฮุยอินตกใจหน้าซีดตัวสั่น รีบคุกเข่าขอความเมตตา นึกสงสัยว่าตนทำอะไรผิด “โปรดประทานอภัย หม่อมฉัน... โปรดเมตตาด้วยเพคะ”
“ข้าสั่งให้เจ้าตบปากตัวเอง โทษฐานที่นายเจ้าพูดจาไร้มารยาท ตระกูลฉางส่งเจ้ามาให้ดูแลอบรมนางไม่ใช่หรือ ทำไมปล่อยให้ทำตัวแบบนี้ได้!!” กุ้ยเฟยพูดพลางชำเลืองมองอวี้เม่ย “ไม่ได้ยินที่สั่งหรือไง!! ตบ!!”
ฮุยอินผู้น่าสงสารไม่มีทางเลือก ยกมือของตนตบเข้าที่แก้มซ้ายและขวา สลับไปมาจนรอยฝ่ามือปรากฏขึ้นที่ใบหน้า
“กุ้ยเฟยเพคะ พอเถอะเพคะ ความผิดหม่อมฉัน โปรดลงโทษหม่อมฉัน อย่าได้ลงโทษฮุยอินเลย” อวี้เม่ยคุกเข่าขอร้อง ขณะปรายตามองไปที่ฮุยอิน น้ำตาของนางก็เอ่อล้นไหลอาบแก้มแดงทั้งสอง หวนนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลาหนึ่งที่คล้ายกับว่าจะเคยเกิดขึ้นกับนางมาแล้ว
ในฝัน อวี้เม่ยถูกกุ้ยเฟยใส่ร้ายว่าตบตีกับสนมคนอื่นเพราะความหึงหวง หวงไท่จื่อที่ทราบเรื่องว่าสตรีใต้ปกครองทำเรื่องงามหน้าก็สั่งลงโทษทันทีโดยไม่สอบถามหาความจริงใดๆ เเละสุดท้ายก็เป็นฮุยอินที่ออกมารับหน้าแทน
ฮุยอินถูกสั่งโบยถึงสี่สิบไม้ นอนสลบไปถึงสามวัน ใจอวี้เม่ยแทบสลาย กลัวจะเสียนางที่เป็นดังพี่น้องรู้ใจ
“กุ้ยเฟย…ได้โปรด”
แม้จะพยายามขอร้องสักเพียงใด กุ้ยเฟยก็หามีความเมตตาไม่ นางยกชาขึ้นดื่มอย่างสบายอารมณ์ นั่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าราวกับเป็นเรื่องปกติในทุกๆ วัน นางนั่งมองกระทั่งรู้สึกว่าตนเองสำราญพอแล้ว จึงสั่งให้ฮุยอินหยุดมือได้
กุ้ยเฟยโน้มตัวลงมาเชยคางอวี้เม่ยให้สบตากับตน “เห็นหรือยังอวี้เม่ยว่าสิ่งที่เจ้าทำมันส่งผลอย่างไรบ้าง วันนี้แค่สาวใช้คนสนิท วันหน้าอาจจะเป็นสกุลฉางที่รักของเจ้าก็ได้”
อวี้เม่ยกัดฟันกรอด แสร้งพยักหน้ายอมรับผิด ใจที่รู้สึกเก่งกล้าเมื่อหลายวันก่อนมลายสิ้น ในใจของนางเริ่มเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นอีกครั้ง
ถ้าเปรียบวังหลวงเป็นดังโพรงไม้ที่มืดและหนาวเย็น กุ้ยเฟยก็คงเปรียบได้กับแมงป่องที่มีพิษร้าย นางเป็นคนสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ แต่ลับหลังกลับยกหางงอชูไว้เพื่อขู่เหยื่อเสมอ นางมักจะแสดงออกชัดเจนว่าอยากเป็นมิตรหรือศัตรูกับใคร แล้วคราวนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า อวี้เม่ย…เป็นสตรีที่นางไม่พึงประสงค์จะให้อยู่ในวัง
หรือกลับกัน ถ้าอวี้เม่ยอยู่ กุ้ยเฟยจำต้องควบคุมนางให้ได้
“เอาล่ะ อีกสองวันจะถึงวันงาน ข้าจะให้เจ้ามาพักอยู่ที่ตำหนักข้าชั่วคราว เพื่อที่ข้าจะได้สอน…มารยาท และคุณสมบัติที่ดีของสตรีที่พึงมี”
อวี้เม่ยไม่แปลกใจ เพราะนางรู้อยู่ก่อนแล้ว
กุ้ยเฟยอยากจะบงการชีวิตข้าสินะ!!!
“ส่วนเจ้า ข้าจะให้เจ้าไปทำงานที่ห้องเครื่องเป็นการชั่วคราว”
ฮุยอินส่ายหน้า อ้าปากจะปฏิเสธ แต่อวี้เม่ยก็หันไปส่งสายตาให้นางเงียบไว้ และยอมทำตามที่กุ้ยเฟยบอก เพราะหากไม่ทำ เรื่องคงไม่จบที่การตบปากอีกเป็นแน่
“ตกลงตามนี้ ข้าจะพาเจ้าไปพบเหล่าองค์หญิง พวกนางกำลังเตรียมการแสดงร่ายรำถวายฮองไทเฮา เจ้าต้องชอบแน่”
อวี้เม่ยนึกกังวลอยู่ในใจ ให้ตายเถอะ! ไม่ว่าข้าจะทำตัวเชื่องเหมือนลูกแมวน้อย หรือกระโดกกระเดกเป็นม้าจอมพยศ ก็ไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้เลย มิหนำซ้ำยังดูจะเลวร้ายกว่าเดิมเสียอีก
นับจากนี้…สองวันของข้าคงเหมือนตกนรกเป็นแน่
ณ อีกฟากฝั่งของวังหลวง
สีหน้าขององค์ชายสิบสี่ดูไม่สู้ดีนักเมื่อได้ยินแผนการร้ายของพี่ชายทั้งสอง “ข้าว่ามันออกจะเสี่ยงเกินไป อาจจะโดนจับได้”
“เฮอ ดูเจ้าสิ พูดอย่างงี้อีกแล้ว” องค์ชายแปดเอ่ยพลางถอนหายใจ “เลิกทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียที เจ้าพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้หรือไง”
“ข้าพอใจ!!! เพียงแต่…ข้าเป็นห่วงความรู้สึกเสด็จแม่ ท่านรักเสด็จพ่อมาก ถ้าท่านรู้เรื่องนี้ คงจะเสียใจ”
“งั้นขอถาม แล้วเสด็จพ่อล่ะ พระองค์คิดถึงความรู้สึกเสด็จแม่เจ้ารึเปล่า จริงอยู่ที่ว่านางเป็นต้นเหตุให้ฮองเฮาต้องลาโลกก่อนวัยอันควร แต่นางก็ไม่ได้ตั้งใจ เหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่ยอมยกโทษให้ล่ะ”
“เจ้าแปด!!”
องค์ชายรองตะโกนปรามน้องชายปากเสียของตน ก่อนจะหันไปกล่าวกับองค์ชายสิบสี่ด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “อย่าฟังเจ้าแปดเลยนะ เจ้านี่ชอบพูดจาเหมือนลืมเอาสมองมาทุกที”
“เอ้า!!! พี่รอง อยู่ๆ มาว่าข้าทำไม”
“ยังจะพูดมากอีก!!! เจ้าเนี่ยนะ วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่น ดื่มสุราเคล้านารี ระวังตัวไว้เถอะ เรื่องที่เจ้าฉ้อโกงเงินภาษีกับเหล่าขุนนาง ถ้าไม่รอบคอบแล้วเรื่องเกิดรั่วออกมา คอเจ้าขาดแน่”
องค์ชายแปดก้มหน้าสลดลงทันที
“ว่าแต่พี่รองแน่ใจนะว่าแผนจะได้ผล จะไม่มีใครสืบสาวมาถึงพวกเราแน่นะ” องค์ชายสิบสี่เอ่ยถามอย่างกังวล
“น้องสิบสี่อย่ากังวลไปเลย หากมีอะไรผิดพลาด ข้าก็เตรียมแผนสำรองไว้แล้วเช่นกัน”
รอยยิ้มขององค์ชายรองผุดขึ้นมาอย่างมั่นใจ ไม่ช้าก็เร็ว ตำแหน่งหวงไท่จื่อ ไม่สิ ตำแหน่งฮ่องเต้ก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ข้าคนนี้นี่แหละ จะแสดงให้ทุกคนประจักษ์แก่สายตาว่าคนอย่างข้า ถึงแม้จะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยก็สามารถเป็นจักรพรรดิได้!!!!