ตลอดวันอวี้เม่ยง่วนอยู่กับการเตรียมชาและขนมเลิศรสที่เจ้าตัวรังสรรค์ขึ้นมาเอง หวงไท่จื่อเป็นคนไม่ชอบของหวานฉะนั้นแล้วหญิงสาวจึงต้องดัดแปลงขนมสูตรดังเดิม ลดความหวานลง เพิ่มความเค็มแต่ต้องไม่เข้มข้นจนเกินไป เพราะเนื่องด้วยโรคประจำตัวที่มีการทานอะไรที่มีรสจัดจ้านมักส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพในภายหลังได้
หวงไท่จื่อโปรดชามากกว่าของทานเล่นอย่างอื่น เฉกเช่นเดียวกับฮ่องเต้บิดาของเขา ต้องเป็นชาส่งตรงพิเศษจากภูเขาสูง คัดเฉพาะใบชาเนื้อดี เรียวยาว สีเขียวมรกต เมื่อนำไปล้างทำความสะอาดและตากจนแห้ง จะนำไปนึ่งจนใบชาแห้งกรอบแล้วจึงบดให้ละเอียดเป็นผงก่อนนำไปอบอีกครั้ง ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลสองถึงสามชั้น เก็บลงในภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อคงไว้ซึ่งกลิ่นและรสของใบชา
เรื่องชานั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อวี้เม่ยไม่ค่อยมีความรู้มากนัก อาศัยอ่านจากในตำราและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฉะนั้นเรื่องชาอวี้เม่ยจึงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของจินฝู จิ้นอิ๋ง ช่วยจัดการให้
แต่ปัญหาที่สำคัญอีกอย่างคืออวี้เม่ยไม่สามารถตระเตรียมต้มชาไว้ก่อนล่วงหน้าได้ เพราะเกรงว่าชาจะเย็นชืดและเสียรสชาติ สตรีผู้ทุ่มเทจึงเลือกที่จะตื่นก่อนฟ้าสางและลงมือต้มชาเองกับมือ พร้อมกับจัดขนมลงเสี่ยหนา*ที่เตรียมไว้ ชั้นแรกใส่ขนม ชั้นที่สองใส่ถ้วยชา ส่วนน้ำชาที่ต้มเสร็จสตรีเลือกกระบอกไม้ไผ่เป็นที่บรรจุ
แต่เมื่อลองปิดฝาเสี่ยหนาและถือขึ้นมาเท่านั้นแหละ ร่างบางก็แทบจะเดินทรงตัวไม่อยู่เลยทีเดียว
“คุณหนู มันหนักนะเจ้าคะ คุณหนูจะถือไปอย่างไรไหว” ฮุยอินรีบเข้ามาพยุงก่อนอวี้เม่ยจะล้ม
“ข้าถือได้ฮุยอิน ข้าอยากทำให้ไท่จื่อประทับใจ”
“ต้องประทับใจอยู่แล้วเจ้าค่ะ ก็คุณหนูตั้งใจทำถึงเพียงนี้ อย่างไรเสียก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกประเดี๋ยวไท่จื่อมาเห็นคุณหนูในชุดมอมแมมแบบนี้จะไม่ดูงามนะเจ้าคะ”
ฮุยอินกล่าวพลางคว้าของในมืออวี้เม่ยไปวางที่โต๊ะก่อนจะดันนางให้เดินไปเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ หากแต่ยังไม่ได้ก้าวเดิน เสียงประกาศขอเข้าพบก็ดังขึ้น
อาฟง องครักษ์ประจำตัวหวงไท่จื่อเดินตรงเข้ามาพร้อมทำความเคารพ “กระหม่อมได้รับคำสั่งไท่จื่อให้มาเรียนว่าที่พระชายาว่าไท่จื่อนั้นติดราชกิจด่วน ขอเลื่อนวันนัดหมายออกไปก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้เม่ยหุบยิ้มของตนในทันที ใบหน้าผ่องใสพลันเศร้าหมองและผิดหวังเป็นอย่างมาก ฮุยอินที่เห็นต้องรีบเข้ามาลูบไหล่ปลอบใจนางก่อนเอ่ยถามองครักษ์หนุ่ม
“ท่านองครักษ์ ไท่จื่อได้บอกหรือไม่ว่าติดราชกิจอะไร”
“มิได้แม่นาง ไท่จื่อบอกแค่ไหน ข้าก็เพียงมาเรียนให้ทราบเพียงเท่านั้น”
อวี้เม่ยพยักหน้าเบาๆ เหม่อมองขนมและชาที่วางไว้
มันคงไม่ง่ายสินะ ที่จะฝืนลิขิตสวรรค์
“คุณหนูอย่าเศร้าสิเจ้าคะ ข้าใจคอไม่ดีเลย… ให้ข้าเล่นผีผา* ให้ท่านฟังดีไหม ตั้งแต่เข้าวังมาคุณหนูยังไม่ได้ฟังข้าเล่นเลย”
ผีผาก็ดีอยู่หรอก แต่ดนตรีที่บรรเลงออกมาจะยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของคุณหนูหรือเปล่า ข้าเองก็เล่นเป็นแต่เพลงเศร้าเสียด้วย “ไม่ดีกว่าๆ ให้ขันทีทั้งสี่มาแสดงกายกรรมให้คุณหนูดูดีกว่า ส่วนขนมนี่พวกเราก็เอามาทาน…”
ฮุยอินที่กำลังจะเปิดฝาออกสะดุ้งตัวโหยงเมื่อเจ้าของขนมตะครุบฝาปิดอย่างรวดเร็ว ก่อนหันมามองพี่เลี้ยงของตนด้วยดวงตากลมโต “ไม่ต้องฮุยอิน ข้ารู้แล้วว่าจะทำอย่างไร เจ้าไปกับข้านะ”
แม้จะยังไม่รู้เจตจำนงของอวี้เม่ย แต่ฮุยอินก็ไม่ได้ขัดหรือปริปากถามแต่อย่างใด นางทำเพียงถือเสี่ยหนาเดินตามมาเงียบๆ ก่อนทั้งสองจะหยุดยืนอยู่หน้าตำหนักแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่แต่ไม่หรูหราเท่าตำหนักจินเยว่ที่อวี้เม่ยอยู่ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วดังมาแต่ไกล มีสตรีมากหน้าหลายตาเกาะกลุ่มพูดคุยกันอยู่ตามมุมต่างๆ ขันทีสองคนวิ่งตรงมายังอวี้เม่ยพลางคำนับ
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าแค่มาตามหาคนน่ะ”
ว่าแล้วอวี้เม่ยก็กวาดตามองรอบๆ หมายหาตัวหญิงสาวที่นางจำต้องขอโทษเรื่องเมื่อวานก่อน
“ทางนั้นเจ้าค่ะ พระสนมซูอยู่ทางนั้น” ฮุยอินว่าพลางชี้ไปยังสตรีเอวบางร่างน้อยที่ยืนไหล่ตกหน้าเศร้า ข้างๆ กันนั้นสตรีหน้าขาวปากแดงสองคนยกพัดขึ้นมาป้องปากตัวเองก่อนหัวเราะเสียงสูง
“หวังจะไปผูกมิตรกับว่าที่พระชายา สุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า สภาพยังกะลูกหมาตกน้ำก็ไม่ปาน”
“ซูลี่ เจ้าต้องสำเหนียกตัวเองเสียบ้าง เจ้าเป็นใคร นางเป็นใคร เหตุใดต้องลดตัวมาคบหากับเจ้าด้วย”
คนถูกตำหนิน้ำตาคลอ “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าจะย้ำเรื่องนี้กับข้าทำไมหนักหนา”
“โอ๊ะ เหมือนนางจะร้องไห้แล้วละ โธ่ ช่างน่าสงสาร สตรีที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างเช่นเจ้าคงไม่มีวันได้ดีไปกว่านี้แล้ว มิแห้งตายในวังก็คงต้องปลงผมออกบวชตลอดชีวิต”
“แต่ก็ไม่แน่นะ หากทนไม่ไหวจะชิงฆ่าตัวตายไปก่อนก็ได้ ข้าอาจจะช่วยสงเคราะห์หาผ้าขาวให้เจ้าได้สักผืน”
วาจาร้ายกาจ สกปรกยิ่งนัก!!
อวี้เม่ยไม่รอช้า ก้าวสามขุมเข้าไปยืนกั้นกลางระหว่างพวกนางทั้งสามพร้อมแววตาเย็นเยียบ
ไม่เพียงแค่ทั้งสามนางจะตกตะลึง ไฉเหรินในที่นั้นทั้งหมดต่างหันมองเป็นตาเดียว เสียงคุยค่อยๆ เบาจนเงียบลงในที่สุด เหตุใดว่าที่พระชายามาที่นี่?!
“คารวะว่าที่พระชายา เหตุใดว่าที่พระชายาถึง…”
“ข้าก็มาหาสหายของข้าน่ะสิ”
อวี้เม่ยตอบเสียงดังคล้ายจะประกาศให้ทุกคนในที่นั้นได้ยิน “ว่าแต่เมื่อครู่ข้าได้ยินไฉเหรินทั้งสองพูดกับเพื่อนข้า…อะไรนะ ให้ไปตายใช่หรือไม่”
หน้าที่ว่าขาวอยู่แล้วยิ่งเพิ่มความขาวซีดขึ้นไปอีก ปากแดงเริ่มแห้งผาก สายตาแข็งกระด้างของอวี้เม่ยกดดันให้นางทั้งสองต้องคุกเข่าลงขออภัยกับคำพูดคะนองปากของตน
อวี้เม่ยเหลือบมองซูลี่ ก่อนจูงมือนางออกมายังสวนข้างนอก เมื่อเห็นว่าปราศจากผู้ใดแล้ว อวี้เม่ยก็ยิ้มพร้อมเอ่ยอย่างเป็นมิตร “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง พวกนั้นชอบแกล้งเจ้าแบบนี้เสมอเลยหรือ”
ซูลี่ไม่ตอบ ทำเพียงแค่ก้มหน้าก้มตา
“เจ้ายังโกรธข้าอยู่เหรอ ข้าขอโทษนะ”
ซูลี่ส่ายหน้า “ไม่เพคะ หม่อมฉันจะไปโกรธว่าที่พระชายาได้อย่างไร หม่อมฉันต่ำต้อย ไม่คู่ควรแม้แต่จะพูดคุยกับท่านเสียด้วยซ้ำ”
อวี้เม่ยยิ้ม กุมมืออันสั่นเทาของซูลี่ขึ้นมาพลางบอกให้นางเงยหน้าขึ้น “ข้าไม่เคยคิดว่าซูไฉเหรินต่ำต้อยเลยนะ ข้ายินดีเสียอีกที่เราได้รู้จักกัน”
เจ้าไม่เคยทำร้ายข้า ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนนั้น แม้ไท่จื่อจะรัแเละหวงแหนเจ้ามาก เจ้าก็ไม่เคยดูแคลนข้า ตรงข้ามเจ้าพยายามจะผูกมิตรกับข้าเสมอ แต่ข้าเองที่เฉยชากับเจ้า
ข้ารักไท่จื่อแต่ก็ไม่อยากเกลียดเจ้า
“เพียงแต่ถุงหอมนั้น… สตรีมอบให้บุรุษ…”
“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันก็ไม่กล้าส่งให้ แล้วก็คิดว่าว่าที่พระชายาอาจจะไม่พอใจเลยทำชา…”
“ไม่ๆ ข้าเพียงแค่ตกใจน่ะ ไม่ตั้งใจทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ยังไงเจ้าอย่าถือสาข้าเลยนะ”
ซูลี่มีทีท่าลังเล ฮุยอินที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงพูดขึ้น “พระสนมซูเหตุใดยังลังเล ไม่เชื่อใจคุณหนูหม่อมฉันหรือ คุณหนูอุตส่าห์เดินมาตั้งไกล ทั้งยังสละขนมแสนอร่อยที่ทำให้ไท่จื่อ” ฮุยอินเม้มปากก่อนเดินมากระซิบถามอวี้เม่ย “คุณหนู ขนมนี่ท่านจะนำมาทานกับพระสนมซูใช่หรือไม่”
อวี้เม่ยพยักหน้า “เข้าใจถูกแล้ว” นางหันซ้ายแลขวาก่อนเดินย่ำเข้าไปในสนามหญ้าด้านข้างพลางร้องเรียก “มาสิ มานั่งด้วยกัน ไม่ต้องกังวล หากเกิดอะไรข้าคนนี้รับผิดชอบเอง”
คิ้วของซูลี่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามคำบอกของอวี้เม่ย รวบกระโปรงที่รุ่มร่ามขึ้นก่อนย่อตัวช้าๆ ลงกับพื้นหญ้า
“ซูไฉเหรินคงจะไม่ว่าอะไรใช่ไหมถ้าข้าจะขอให้ฮุยอินมานั่งทานด้วย”
“ไม่เลยเพคะ ตามใจว่าที่พระชายาเพคะ”
“หากตามใจข้า งั้นข้าขอเรียกเจ้าว่าซูลี่ได้หรือไม่”
ซูลี่ตะลึงงัน จ้องอวี้เม่ยตาไม่กะพริบ
“ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้ว เจ้าคงจะ…”
“ยะ…ยินดีอย่างยิ่ง ได้เป็นสหายของท่าน นับเป็นเกียรติยิ่งนัก”
อวี้เม่ยยิ้มตอบพร้อมควักมือเรียกสาวใช้จอมจุ้นมาร่วมวงเสวนาดื่มชายามสายด้วยกัน ขณะอวี้เม่ยหยิบขนมส่งให้ซูลี่ สตรีผู้มองเห็นอนาคตก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ความคิดเจ้าเล่ห์นั้นฉายออกมาในแววตานั้น พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้น
“ซูลี่ ข้าว่า…ข้าคิดอะไรดีๆ ออกแล้วละ”
ขณะความสุขกำลังโอบกอดสตรีทั้งสาม อีกฟากฝั่งบุรุษบนบัลลังก์ทองกำลังมีปัญหาที่แก้ไม่ตก ฮ่องเต้ถอนหายใจพลางกล่าวเสียงแข็งกับลูกชาย
“ลู่เฉิน… เจ้าทำข้าผิดหวังนะ ข้าหมายมั่นให้เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ในศึกครั้งหน้า เหตุใดถึงแพ้ให้องค์ชายรองได้ แล้วอย่างนี้จะเรียกความเชื่อมั่นของทหารในกองทัพได้อย่างไร”
หวงไท่จื่อนิ่งเงียบ ไม่แก้ตัวใดๆ
“จงไปสำนึกตนในห้องหนังสือ อ่านฎีการ้องเรียนจากเหล่าขุนนางซะ จะได้รู้ว่าสิ่งใดที่ไท่จื่ออย่างเจ้าสมควรกระทำ คิดถึงประชาชนของเจ้าให้มาก ภายหน้าข้าจะได้หมดห่วง เข้าใจไหม”
______________________________________________________
เสี่ยหนา* = ปิ่นโตของจีน
ผีผา* = เครื่องดนตรีเครื่องสายของจีน เล่นด้วยการใช้นิ้วดีดสาย