แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง แต่อวี้เม่ยก็ไม่อาจจะทำใจให้ยอมรับได้อยู่ดี
การที่บุรุษจะมีสามสี่ภรรยานั้นนับได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งกับองค์รัชทายาทด้วยแล้ว การจะรับสตรีอื่นเข้ามาเป็นอนุนับว่าเป็นสิ่งที่สมควรกระทำอย่างยิ่ง เพราะการให้กำเนิดทายาท สืบเชื้อสายของวงศ์ตระกูลให้คงอยู่สืบต่อไปนับว่าเป็นหน้าที่ที่สำคัญ เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูและแสดงถึงความมั่นคงของราชวงศ์ หากแต่ต้องไม่ใช่กับสตรีตรงหน้านี้
ซูไฉเหริน พระสนมผู้ถูกลืมแห่งวังหลัง นางเป็นสตรีที่จัดได้ว่างดงามมากที่สุดคนหนึ่ง หากแต่ไม่มีความสามารถที่โดดเด่น อีกทั้งยังขาดซึ่งคนคอยสนับสนุน ฉะนั้นแล้วนับตั้งแต่วันแรกที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าวัง นางก็ยังไม่มีโอกาสได้ถวายตัวรับใช้ฮ่องเต้เลยสักครั้ง
“เรื่องเล็กน้อย ซูไฉเหรินอย่าถือเป็นบุญคุณเลย” อวี้เม่ยยิ้มตอบ
ซูลี่ หาได้เป็นสตรีที่น่ากลัวหรือมีจิตริษยาเท่าสตรีคนอื่นในวัง ในสายตาอวี้เม่ย ซูลี่ก็ไม่ต่างอะไรไปกับนาง โหยหาและอยากเป็นที่สนใจของคนรัก อยากครอบครองทั้งร่างกายและหัวใจของเขา หากแต่เป็นสิ่งที่ยากเกินจะไขว่คว้าให้ได้มา กระทั่งมีชายหนุ่มอีกคนที่ต้องการจะดูแลหัวใจที่บอบช้ำดวงนี้ มีหรือที่สตรีอยากจะปฏิเสธ
ใช่... ซูลี่ไม่ผิด หากแต่เป็นไท่จื่อ เขาคิดอะไรของเขาจึงกล้าทูลขอสนมของพ่อมาเป็นสนมของตัวเอง
การที่หวงไท่จื่อกระทำเช่นนี้นับได้ว่าหยามเกียรติของอวี้เม่ยและตระกูลฉางเป็นอย่างมาก เลื่อนงานอภิเษกออกไปอย่างไม่มีกำหนด แต่งตั้งพระสนมใหม่ซึ่งนับตามศักดิ์แล้ว จะมีอำนาจมากกว่าอวี้เม่ย คู่หมายที่อยู่ในวังในฐานะคนอาศัย
เหล่าขุนนางก็พากันทักท้วงชี้แจงว่าซูลี่นั้นได้ชื่อว่าเป็นพระสนมของฮ่องเต้ ไม่สมควรที่จะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับสายเลือดของฝ่าบาท ควรคัดเลือกสตรีอื่นที่มาจากตระกูลดีและเหมาะสมกว่านี้จะดีกว่า
แต่หวงไท่จื่อผู้ดื้อรั้นหาได้ฟังคำแย้งของผู้ใด
ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นอีกเหตุผลที่อวี้เม่ยถูกคนทั่วทั้งวังครหา กล่าวดูแคลน ยังไม่ทันได้ตบแต่ง ไท่จื่อก็มีสนมเสียแล้ว อีกทั้งยังเคยเป็นสนมของฝ่าบาท น่าสงสารอวี้เม่ย ไม่ทันไรก็ตกที่นั่งลำบาก น่าเห็นใจนัก
ชื่อเสียงเกียรติยศของข้า ถูกไท่จื่อเหยียบย่ำไม่เหลือชิ้นดี
“เอ่อ...ถ้างั้นหม่อมฉันขอตัวนะเพคะ”
ขณะซูลี่กำลังจะก้าวเดิน อวี้เม่ยก็เผลอคว้าแขนนางไว้
ไปทางนั้นไม่ได้นะ!!!
“ว่าที่พระชายามีอะไร...”
“ข้าอยากดื่มน้ำ”
“เพคะ?!”
“ข้าหายใจไม่ออก ตะ...ต้องการน้ำ ต้องการน้ำมาก”
อวี้เม่ยรีบแกล้งทำทีจับไปที่อกของตน ส่งเสียงไอค่อกแค่ก “ซูไฉเหรินช่วยไปเอาน้ำมาให้ข้าหน่อยเถิด” ว่าแล้วก็แสร้งล้มลงสักหน่อยให้ดูสมจริง
ซูลี่ที่เห็นดังนั้นเริ่มตื่นตระหนัก นางรีบตอบรับก่อนจะรีบวิ่งออกไป สวนทางกับหวงไท่จื่อที่เดินผ่านมาตรงนี้พอดี
ทั้งคู่ไม่ทันสังเกตเห็นกัน อวี้เม่ยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะตระหนักได้ว่า ตนได้ทำอะไรลงไป
“อวี้เม่ย!!”
หวงไท่จื่อที่เห็นคู่หมั้นของตนนั่งลงไปกองอยู่ที่พื้นก็ตื่นตกใจรีบวิ่งเข้ามาดูอาการนาง “เจ้าเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”
อวี้เม่ยรีบลุกขึ้นโดยเร็ว “มะ...หม่อมฉันสบายดีเพคะ”
หวงไท่จื่อส่ายหน้า ไม่เชื่อในคำพูดนาง ยืนกรานจะให้หมอหลวงมาตรวจให้ได้
“หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ เพคะ” อวี้เม่ยกล่าวพลางเดินหนี ในใจนั้นทั้งสับสนและกล่าวโทษตัวเองซ้ำไปมา
สวรรค์ ข้าทำอะไรลงไป ข้าขัดขวางการพบเจอของพวกเขา
หวงไท่จื่อต้องมาพบและถูกตาต้องใจซูลี่ที่นี่ มองข้ามหัวอวี้เม่ย ก่อนตรงขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ขอให้พระองค์พระราชทานซูลี่แก่เขา ซึ่งแน่นอนว่าฝ่าบาทผู้รักและตามใจบุตรชายคนนี้มาก อีกทั้งสนมคนนี้ก็ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอยู่ก่อนแล้วจึงไม่ได้สร้างความลำบากพระทัยให้ฮ่องเต้แต่อย่างไร
ยกเว้นฮองไทเฮาที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้
อีกทั้งตัวอวี้เม่ยเองก็ไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถขัดความต้องการของหวงไท่จื่อได้
ข้าอยากได้อะไรก็ต้องได้ เป็นคำพูดประจำตัวของเขา
“อวี้เม่ยหยุด!!!”
เมื่อเห็นว่าสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะหันมอง เอาแต่ก้าวเดินไม่หยุด เขาจำต้องเดินเข้ามาขวางหน้า ก่อนจะทำหน้าดุใส่นาง “เจ้าเป็นอะไรของเจ้า”
อวี้เม่ยอึกอัก จะให้บอกได้อย่างไรล่ะ ก็ข้าเพิ่งทำเรื่องไม่สมควรลงไป ข้าขัดขวางความรักของท่าน
“จะไม่พูดใช่ไหม” ถึงน้ำเสียงจะฟังดูฉุนเฉียว หากแต่การกระทำนั้นตรงข้าม หวงไท่จื่อยื่นมือไปสัมผัสที่หน้าผากของนางเพื่อตรวจให้แน่ใจว่ามีไข้หรือไม่ ก้มมองใบหน้าที่คล้ายจะงุนงงของหญิงสาว พลางขยับตัวเข้ามาใกล้ก่อนจะช้อนร่างนั้นขึ้น
“ทรงทำอะไรเพคะ?!”
“ก็พาเจ้ากลับตำหนักน่ะสิ”
อวี้เม่ยร้องปฏิเสธ “หม่อมฉันเดินเองได้เพคะ อีกอย่างหม่อมฉันตั้งใจจะไปเข้าเฝ้าไทเฮาด้วย”
“งั้นก็ไปด้วยกันเลยสิ ข้าก็ว่าจะไปหาเสด็จย่าเหมือนกัน”
หวงไท่จื่อแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงโวยวายของอวี้เม่ย อีกทั้งไม่ยอมปล่อยนางตามคำขอ อุ้มร่างเล็กเดินผ่านเหล่านางกำนัลที่ล้วนแต่พากันมองด้วยความตะลึงงัน
ทำไมเหล่าองค์ชายต่างพากันอุ้มสตรีผู้นี้ ช่างเป็นหญิงที่ไร้ยางอายเสียจริง คนแบบนี้จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮาจริงๆ หรือเนี่ย
เมื่อถูกจ้องมองมากเข้า อวี้เม่ยจึงร้องขอให้หวงไท่จื่อโปรดปรานีอย่าได้แกล้งให้นางอับอายเช่นนี้เลย
หวงไท่จื่อมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาหยุดเดิน ปล่อยนางลงก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “เจ้าหาว่าข้าแกล้งเจ้าเหรอ”
“ปะ...เปล่าเพคะ แต่ว่า...”
“ทำไมเจ้ามองความหวังดีของข้าเป็นการกลั่นแกล้งไปได้”
“หม่อมฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” อวี้เม่ยก้มหน้าตอบ “ก็หม่อมฉันบอกไท่จื่อแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไร อีกอย่างคนที่เห็นก็อาจจะนำเรื่องนี้ไปพูดในทางเสียหายได้”
“เสียหาย?! แล้วทีกับอ้ายเสินล่ะ ทำไมทำได้ ข้ากับเจ้าเป็นว่าที่สามีภรรยากันแท้ๆ ไยต้องมากลัวว่าจะเสียหาย”
ทำไมถึงได้ใส่อารมณ์ถึงเพียงนี้ แล้วเกี่ยวอะไรกับองค์ชายห้า...หรือเพราะสิ่งที่ข้าทำเมื่อครู่ ข้าเผลอเปลี่ยนแปลงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือเปล่า อวี้เม่ย...ทำอะไรลงไปเนี่ย
แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของคนทั้งสอง
เหล่าองค์ชายทั้งสามนั่นเอง
“แหม ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเห็นภาพนี้ สองคู่วิวาห์พากันเดินชมสวนดอกไม้ในอุทยานหลวง หวานซะไม่มี” องค์ชายแปดกล่าว
“นั่นคือคำทักทายที่ควรพูดเมื่อพบหน้าข้ารึไง”
องค์ชายแปดหน้าเจื่อนทันที องค์ชายรองจึงรับหน้าที่พูดแก้ตัวแทน “ไท่จื่ออย่าถือสาน้องแปดเลย ท่านก็รู้ว่าเขาชอบพูดจาไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่บ่อยครั้ง หากแต่ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง”
หวงไท่จื่อไม่ตอบ ยังคงยืนนิ่งจ้ององค์ชายแปดตาเขม็ง
อวี้เม่ยเห็นท่าจะไม่ดี จึงเบี่ยงเบนทำเป็นพูดเรื่องอื่น เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง “วันนี้ร้อนไปหน่อย แต่อากาศดีเหมาะแก่การเดินเล่น องค์ชายทั้งสามเห็นสมควรว่าอย่างไร”
“อืม ข้าเห็นด้วย เพราะงี้ข้าจึงชวนน้องแปดกับน้องสิบสี่ออกมาผ่อนคลายอารมณ์” องค์ชายรองตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ผ่อนคลายงั้นเหรอ ข้าว่าพวกเจ้ากำลังวางแผนจะทำอะไรกันมากกว่ามั่ง” หวงไท่จื่อพูดขัดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยหากแต่ดุดัน เสมือนกำลังข่มขวัญคู่ต่อสู้ “อย่าคิดว่าข้าโง่จนดูไม่ออกนะว่าพวกเจ้าคิดไม่ซื่อกับข้า”
องค์ชายทั้งสามพลันนิ่งงัน
นัยน์ตาขององค์ชายแปดและองค์ชายสิบสี่ฉายแววของความหวาดกลัวและหวาดวิตกในเวลาเดียวกัน เว้นเสียแต่องค์ชายรองผู้ยังคงสงบนิ่งไม่ไหวติงต่อคำพูดเป็นนัยของหวงไท่จื่อ
“หม่อมฉันว่าพวกเรารีบไปเข้าเฝ้าไทเฮากันดีกว่านะเพคะ” มือเรียวเล็กเอื้อมไปแตะที่แขนของบุรุษข้างกายให้ใจเย็นลง เบนความสนใจของหวงไท่จื่อมาที่นางก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขาอย่าได้สนใจแล้วรีบไปกันดีกว่า
หวงไท่จื่อเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่อวี้เม่ยพยายามสื่อ เขาส่งยิ้มเยือกเย็นให้องค์ชายทั้งสาม ก่อนจะเดินกระทบไหล่องค์ชายรองออกมา แต่ก้าวเดินไม่เท่าไหร่ หวงไท่จื่อก็ชะงักหมุนตัวกลับมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“อย่าได้ใจไปหน่อยเลยหวังลู่เฉิน”
หวงไท่จื่อถลึงตามอง “เจ้ากล้าดียังไงมาเรียกชื่อข้า!!!”
“โชคไม่เข้าข้างเจ้าตลอดไปหรอก สักวัน...วันของข้าต้องมาถึงแน่” องค์ชายรองจ้องกลับด้วยแววตาคมกริบ แสยะยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่ออีกฝ่ายเริ่มฟึดฟัดใส่ “อะไรที่เป็นของเจ้า ข้าคนนี้จะแย่งมาให้ได้”