ตัวก่อเรื่อง

1769 Words
“ก็เจ้าชอบไท่จื่อ ถ้าจะรู้สึกเขินอายก็ไม่แปลก” เป็นความจริงที่ไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัว การได้อยู่ใกล้กับคนที่แอบชอบก็ต้องเกิดอาการประหม่าเป็นเรื่องธรรมดา “ปกติไท่จื่อไม่แม้แต่จะพูดกับข้าด้วยซ้ำ” “ก็บอกแล้วว่าไท่จื่อมีใจให้เจ้า” “มันเป็นไปไม่ได้” “อวี้เม่ย...เจ้าจะคิดมากให้ปวดหัวทำไม มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยไท่จื่อก็ไม่คิดที่จะกำจัดเจ้าแล้ว ควรจะดีใจสิ ไม่ใช่มานั่งกังวลอยู่แบบนี้” “ที่ข้ากังวลก็เพราะกลัวผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นน่ะสิ ข้าไม่รู้ว่าตัวเองเผลอไปเปลี่ยนเหตุการณ์ช่วงเวลาไหนเข้า เส้นเรื่องถึงได้ผิดเพี้ยนไปจากเดิม” องค์ชายห้ากลอกตาคิด “เอาเถอะ มันคงไม่เลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่หรอก” จะว่าตอบแบบขอไปทีก็คงใช่ แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นคำพูดที่ควรมองข้าม ตั้งแต่ลืมตาตื่นจากฝันร้ายในครานั้น ความรู้สึกที่มีต่อวังหลวงก็ผันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อันตราย หน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีคืนไหนเลยที่อวี้เม่ยจะนอนหลับได้เต็มตา “ข้าจำได้นะว่า...ที่เจ้าบอกว่าตนเองจะถูกสำเร็จโทษ คือตอนที่ยังดำรงตำแหน่งว่าที่พระชายาอยู่” อวี้เม่ยพยักหน้า “แล้วถ้าเกิดเจ้าได้อภิเษกกับไท่จื่อก่อนละ” “หา? องค์ชายหมายความว่าอย่างไร” “เจ้าลองคิดดูนะ เมื่อเจ้าได้เป็นพระชายาองค์รัชทายาท หรือก็คือว่าที่ฮองเฮาในอนาคต อย่าว่าแต่โดนใส่ร้ายเลย ถึงกระทำความผิดจริง ทั้งเสด็จย่า เสด็จพ่อ บรรดาอ๋อง ขุนนาง ต้องหาทางช่วยเจ้าอยู่แล้ว” ไม่แน่ว่าอาจจะหาแพะมารับผิดแทนเลยก็ได้ ชื่อเสียงราชวงศ์มีค่ามหาศาล การปล่อยให้มีเรื่องอื้อฉาวออกไป รังแต่จะสร้างความสั่นคลอน บั่นทอนความน่าเชื่อถือ จนอาจนำไปถึงการก่อกบฏยึดอำนาจจากชนกลุ่มน้อย ถ้ายกเหตุผลนี้มาพูด... หรือการตายของข้า คือการจงใจเพื่อปกป้องเหล่าองค์ชายกันแน่ เพราะข้ายังไม่ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์ พวกเขาจึงตั้งใจให้แบบนั้นหรือเปล่า พวกเขาทุกคนรู้เห็นกันงั้นหรือ?! ข้ากลายเป็นแพะ รับโทษแทนบรรดาพี่น้องที่ต้องการล้างผลาญสายเลือดเดียวกัน หากเป็นจริง...พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรเลยกับปีศาจร้ายในคราบเทพผู้สูงส่ง โหดร้ายเกินไปแล้ว! “ฉะนั้นแล้ว เจ้าต้องทำยังไงก็ได้ให้เสด็จพ่อประทานสมรสโดยเร็ว” อวี้เม่ยส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้” “เป็นไปได้สิ” “ไท่จื่อไม่ได้มีข้าคนเดียว” “อะไรนะ” “หวงไท่จื่อจะรับสาวงามอีกมากเข้ามาเป็นพระสนม พวกนางจะมีความสำคัญมากกว่าข้า ได้รับการแต่งตั้งก่อน ได้รับความรักความใส่ใจมากกว่า” “เจ้ามั่วแล้ว ไท่จื่อผู้ไม่เคยสนสตรีใด จะไปมีสนมได้อย่างไร และถึงมีก็คงไม่ได้สนใจพวกนางมากอยู่แล้ว” “พูดเช่นนี้ ไม่เชื่อข้ารึไง” อวี้เม่ยทำหน้าขึงขัง “คอยดูไปเถิด อีกเดี๋ยวสี่พระชายาจะส่งคนมาเชิญข้าไปดื่มชา ในระหว่างนั้นข้าจะบังเอิญพบสตรีนางหนึ่ง ซึ่งในภายภาคหน้านางจะเข้ามาเป็นพระสนมคนแรกของไท่จื่อ” สตรีนางหนึ่ง...สตรีไหน ในวังหลวงมีหญิงสาวที่ชวนน่าหลงใหลขนาดนั้นอยู่ด้วยหรือ ถ้ามีก็ไม่น่าจะผ่านหูผ่านตาข้าราชการสตรีฝ่ายในไปได้ ต้องถูกถวายตัวแก่ฮ่องเต้อย่างแน่นอน ยังไม่ทันที่จะนึกหาคำตอบที่สงสัยได้ ขันทีหน้าตำหนักก็ประกาศก้อง พานางกำนัลคนหนึ่งเข้ามา ทูลเชิญว่าที่พระชายาไปดื่มชาที่อุทยานกลางร่วมกับเหล่าพระชายาเอก ตรงตามที่อวี้เม่ยบอกไว้ ท่ามกลางสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนและอบอ้าว อวี้เม่ยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องฝืนตนมานั่งดื่มชาร้อนอยู่ที่นี่ด้วย ใจจริงอยากจะวิ่งไปที่สระบัวด้านหลังวังและกระโดดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด ข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว ชุดที่อวี้เม่ยเลือกที่จะสวมคือชุดผ้าฝ้ายโปร่งเบาสบาย ต่างจากสตรีทั้งสี่ที่สวมชุดผ้าไหมทึบปักลวดลายดูอึดอัดไม่สบายตัว คงเพราะกลัวที่จะด้อยไปกว่ากัน แม้จะเป็นแค่การจิบชาพูดคุยเรื่อยเปื่อย ก็ไม่อาจละทิ้งถึงภาพลักษณ์ของตน กุ้ยเฟยที่ดูจะเต็มยศที่สุดเหลือบตามองอวี้เม่ยอย่างไม่พอใจ ไม่ใช่เพราะไม่ชอบในการแต่งตัว หากแต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตำหนักต๋าเฉิงเมื่อวานนี้ ทำไมนางถึงไม่โดนอะไรเลย อีกทั้งยังใช้เวลาอยู่กับหวงไท่จื่อตั้งนานสองนาน มันน่าหงุดหงิดเสียจริง “วันนี้อวี้เม่ยแต่งตัวเรียบๆ ดีจัง” เสียนเฟยกล่าวพลางส่งยิ้มให้ “ขอบพระทัยเพคะ อันที่จริงหม่อมฉันรู้สึกไม่สบายตัวเลยแต่งตัวไม่ค่อยเรียบร้อย ต้องขออภัยพระชายาทั้งสี่ด้วย” “พูดอะไรอย่างนั้น พวกข้าต่างหากที่แต่งตัวไม่ถูกตามฤดูกาล คราวหลังพวกเราก็แต่งตัวกันตามสบายเถอะนะ” ทุกคนพร้อมเพรียงกันพยักหน้าเห็นด้วยในคำพูดของเต๋อเฟย หากแต่เป็นที่รู้กันว่านางพูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดจะทำจริงอย่างที่ได้บอก “ได้ยินว่าเมื่อวานเจ้านำขนมไปให้ไท่จื่อใช่หรือไม่” “เพคะ เป็นขนมเฉียนกั่วที่หม่อมฉันทำเอง” “แล้วไม่โดนดุรึไง” อวี้เม่ยยิ้ม “ไม่เลยเพคะ ทรงหยิบขึ้นมาเสวยทันที ตรัสว่าชอบขนมที่หม่อมฉันทำ” ถึงปากจะตอบคำถามของเต๋อเฟย แต่สายตากลับหันมองไปที่กุ้ยเฟยอย่างเปิดเผย “น่าประทับใจจริง ไท่จื่อผู้ไม่ชอบของหวานกลับยอมเสวยขนมที่เจ้าทำ สงสัยว่าพิธีอภิเษกคงจะถูกกำหนดขึ้นในไม่ช้า” เสียนเฟยตาเป็นประกายพยายามพูดจาชื่นชมอวี้เม่ยต่างๆ นานา เห็นได้ชัดว่าเสียนเฟยเลือกที่จะอยู่ข้างอวี้เม่ยเต็มตัว “ว่าแต่พี่ซูเฟยจะไม่พูดอะไรบ้างเลยหรือ พวกเรานั่งกันมาสักพักมีเพียงท่านที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา” หญิงสาวใบหน้าคมคายแต่ดูหม่นหมอง นางเงยหน้ามองเสียนเฟยก่อนจะยกชาขึ้นจิบและนั่งทำหน้านิ่งต่อไป เสียนเฟยแสดงสีหน้าไม่พอใจที่ถูกเมิน “อวี้เม่ย...หากเจ้าได้เป็นใหญ่ในวันใดก็อย่าทระนงตนละ รู้จักพอ อย่าโลภหวังเป็นที่หนึ่งจนทำลายชีวิตคนอื่น” “อวี้เม่ยจะทำลายชีวิตคนอื่นได้อย่างไรกัน นางเป็นที่หนึ่งมาตั้งแต่ต้น ไม่ต้องมาลำบากตรากตรำเหมือนพวกเรา” อยู่ๆ กุ้ยเฟยก็มาผสมโรงด้วยซะอย่างนั้น คงอึดอัดมากจนต้องหาที่ระบายกระมัง “นั่นสิ ก็อวี้เม่ยถูกเลือกไว้แล้วให้เป็นฮองเฮาคนต่อไป ไม่เหมือนบางคนที่ไม่มีวาสนา แต่อยากได้ตำแหน่งถึงขนาดต้องลงมือฆ่าคน” เต๋อเฟยเริ่มทนไม่ไหว ลุกขึ้นทุบโต๊ะดังปัง ทั้งกุ้ยเฟยและเสียนเฟยสะดุ้งโหยง หยุดพูดกันในทันที “ถ้ารู้ว่าการที่จะต้องมาดื่มชากับพวกเจ้า แล้วต้องมานั่งฟังเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ข้าสู้ไม่มาดีกว่า” “น้องเต๋อเฟยใจเย็น ข้าไม่ได้มีเจตนาขุดคุ้ยเรื่องในอดีตของซูเฟยหรอกนะ เพียงแค่อยากจะเตือนอวี้เม่ยให้รู้จักประมาณตนก็เท่านั้น” ถึงกุ้ยเฟยจะพยายามพูดแก้ตัว แต่เต๋อเฟยก็ไม่อาจทนฟังคำพูดที่กระแทกแดกดันของนางได้อีก เต๋อเฟยลุกขึ้นพลางบอกซูเฟยให้ออกไปด้วยกัน กุ้ยเฟย เสียนเฟย และอวี้เม่ยต่างพากันลุกและรีบเดินตามคนทั้งสอง ตอนนี้สินะ ที่สตรีนางนั้นจะโผล่มา “พี่หญิงเดินช้าหน่อยได้ไหม ข้ากับอวี้เม่ยเดินตามไม่ทัน” “จะช้าได้อย่างไร หากเต๋อเฟยนำความขึ้นกราบทูล พวกเราสองคนไม่แย่หรอกหรือ” ตำแหน่งพระชายาลำดับที่หนึ่ง เป็นเพียงชื่อเรียกที่ถูกกล่าวขานแต่เพียงเท่านั้น หากแท้ที่จริงแล้ว เต๋อเฟยต่างหากเป็นคนที่ฮองไทเฮาและฮ่องเต้ให้เกียรติมากที่สุด เต๋อเฟยเป็นสตรีชั้นสูง มีอายุเกือบเทียบเท่าฝ่าบาท อาวุโสที่สุดในบรรดาสตรีทั้งหมดของฮ่องเต้ มีความสามารถทั้งวาด อ่าน เขียน สติปัญญาปราดเปรื่อง เป็นรองเพียงฮองเฮาคนก่อนเท่านั้น ทว่าด้วยเหตุผลที่ต้องถ่วงดุลอำนาจทางการเมือง ฮ่องเต้จึงไม่อาจแต่งตั้งนางให้ดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟยได้ แต่ให้เป็นที่รู้กันเป็นการภายในแทน กุ้ยเฟยที่ร้อนรนวิ่งจนไม่ดูทาง เผลอชนเข้ากับสตรีคนหนึ่งจนล้มลงทั้งคู่ เหล่านางกำนัลที่วิ่งตามต่างตกใจรีบเข้ามาช่วยกันพยุงนายของตน “นี่!!! เจ้าเดินประสาอะไรของเจ้า!!!” กุ้ยเฟยแผดเสียง “ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวังเอง ขอกุ้ยเฟยอย่าสั่งลงโทษหม่อมฉันเลยนะเพคะ” นางตัวสั่นด้วยความกลัวรีบคุกเข่าพลางขอร้อง อวี้เม่ยเดินเข้ามาใกล้ ช่วยพูดให้กุ้ยเฟยใจเย็น “กุ้ยเฟยเพคะ ตอนนี้เรายังมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องรีบไปจัดการไม่ใช่หรือเพคะ เรื่องนี้ไว้ค่อยกลับมาสะสางก็ยังไม่สาย” แม้จะยังรู้สึกขัดใจแต่กุ้ยเฟยก็จำต้องยอมทำตามที่อวี้เม่ยบอกไปก่อน จึงไม่ได้ถือสาหาความ และรีบบอกให้เสียนเฟยตัวก่อเรื่องรีบเดินตามตนไป เมื่อเห็นว่าทั้งสองเดินไปไกลแล้ว อวี้เม่ยก็บอกให้สตรีตรงหน้าลุกขึ้นได้ “ขอบพระทัยว่าที่พระชายาที่ทรงช่วย” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับโค้งศีรษะให้ ใบหน้าอ่อนหวานคล้ายบุปผาในวันแรกแย้ม นางมีรอยยิ้มที่อ่อนโยน และท่าทีที่ดูอ่อนน้อม ซูลี่... พระสนมในองค์จักรพรรดิ ซูไฉเหริน* __________________________________________ ซูไฉเหริน = ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ ขั้นห้า ชั้นเอก ตำแหน่งเริ่มต้นของสตรีผู้ได้รับคัดเลือกเป็นพระสนม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD