“พวกเจ้านี่มันน่าขายหน้าเสียจริง!!!” บุรุษน่าเกรงขามตวาดเสียงดังลั่น ใบหน้าขึงขังขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจเมื่อรู้เรื่องที่บุตรชายทั้งสองของตนมีเรื่องชกต่อยกันกลางอุทยานหลวงของวัง
“พวกเจ้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ทำอะไรไตร่ตรองเสียบ้าง คนหนึ่งก็เป็นถึงหวงไท่จื่อ ลูกชายที่ข้าตั้งความหวังจะให้รับช่วงต่อจากข้า ส่วนอีกคนก็เป็นถึงองค์ชายรอง พี่ชายที่เคารพของเหล่าองค์ชายองค์หญิง ภายภาคหน้าข้าก็จะตั้งให้เป็นอ๋องใหญ่ แล้วดูวันนี้สิ...ข้าผิดหวังจริงๆ”
แม้จะเป็นพี่น้องคนละแม่ แต่ฮ่องเต้นั้นปรารถนาให้ทั้งสองรักกันดุจพี่น้องท้องเดียว ครั้นเมื่อองค์ชายรองถือกำเนิด ฮ่องเต้ก็ยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมของฮองเฮาทันที รับสั่งให้เลี้ยงดูคู่กับหวงไท่จื่อที่เกิดหลังได้ไม่กี่เดือน สอนให้หวงไท่จื่อรักและเคารพองค์ชายรองดังพี่ชายของตน
หากแต่ว่ามีคนปากปีจอนำความจริงมาแพร่งพราย อีกทั้งบ่าวไพร่ทั้งหลายยังปฏิบัติต่อทั้งสองพระองค์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ประคบประหงมใส่ใจหวงไท่จื่อทุกสิ่งอย่าง อีกทั้งยังเรียกสมญานามว่าฮ่องเต้น้อย
ด้วยเหตุฉะนี้เองจึงสร้างความสงสัยใคร่รู้ให้กับองค์ชายรองทันทีว่าเหตุใด เขาถึงไม่ได้รับอภิสิทธิ์แบบนั้นบ้าง เขาเป็นพี่ไม่ใช่หรือ ทำไมไม่ใช่เขาที่เป็นองค์รัชทายาท
กระทั่งโตจนรู้ความและเสียงลือเล่าอ้างลอยมากระทบหู องค์ชายรองก็เข้าใจ ข้าไม่ใช่ลูกฮองเฮา แม่ของข้าเป็นเพียงผู้หญิงชั้นต่ำที่เสด็จพ่อไปพักค้างอ้างแรมเป็นครั้งคราวเท่านั้น
บางคนถึงกลับกล่าวว่า องค์ชายรองไม่ใช่โอรสแท้ๆ ของฮ่องเต้เสียด้วยซ้ำ
“ว่าแต่มีเรื่องอะไรกัน ถึงขนาดลงมือลงไม้... ลู่เฉินบอกย่ามาสิ” ฮองไทเฮากล่าวถามหลานรักด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นเลือดไหลซึมออกมาจากริมฝีปาก ก็อุทาน อมิตาพุทธ เสียงดัง พระทัยรุ่มร้อนเป็นห่วงจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ แม้อีกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ กันนั้นจะมีเลือดออกมากกว่าอีกทั้งยังคิ้วแตกและใบหน้าเขียวช้ำ ก็มิทรงชำเลืองมองแม้แต่น้อย
“ทูลเสด็จย่า ทูลเสด็จพ่อ หม่อมฉันเห็นกับตาว่าไท่จื่อเริ่มเข้ามาทำร้ายพี่รองก่อน พี่รองแค่ถามสารทุกข์สุกดิบแต่เพียงเท่านั้น ไม่รู้ด้วยเหตุใดไท่จื่อถึงได้อารมณ์ร้อนเช่นนี้” องค์ชายแปดทูลบอก
“เหลวไหล!! ลู่เฉินไม่มีนิสัยอันธพาลแบบนั้น ต้องเป็นเพราะพวกเจ้า สามคนพี่น้องพูดอะไรใช่ไหม” ฮองไทเฮาชี้หน้าไปยังองค์ชายรอง “เจ้าใช่ไหม ตัวการเรื่องทั้งหมดคือเจ้า ข้าไม่น่ารับลูกของนังงูพิษมาชุบเลี้ยงเลยจริงๆ”
“เสด็จแม่! ทางตรัสอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ความจริงไงฮ่องเต้ ถึงแม้ข้าคนนี้จะแก่เฒ่าตามโลกไม่ทัน แต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่ว่าจะไม่รู้ว่าลูกหลานวางแผนจะทำอะไรกันอยู่ บอกไว้ตรงนี้เลยนะ หากมีใครหวังจะทำร้ายลู่เฉินของข้าล่ะก็ ข้ามศพข้าคนนี้ไปก่อนเถอะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าจะตัดสินลงโทษใครดี หากลงโทษหวงไท่จื่อที่สร้างเรื่องก่อน ฮองไทเฮาคงไม่ยอม หากลงโทษองค์ชายรองก็ไม่แคล้วถูกกล่าวหาว่าลำเอียง รักลูกไม่เท่ากัน หรือจะลงโทษพวกเขาทั้งคู่เลยดี...
อวี้เม่ยที่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างฮองไทเฮา ตัดสินใจก้าวออกมายืนต่อหน้าพระพักตร์ก่อนจะกล่าวอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง “ทูลฮองไทเฮา ทูลฮ่องเต้ หม่อมฉันก็อยู่ในเหตุการณ์นี้ จึงใคร่จะขอทูลทั้งสองพระองค์อย่างเป็นกลาง ทั้งไท่จื่อและองค์ชายรองมีปากเสียงกระแทกกระทั้นกันแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพคะ”
“ถึงขั้นเลือดตกยางออกเนี่ยนะ”
“ทูลฮ่องเต้ ทั้งไท่จื่อและองค์ชายรองต่างก็เป็นบุรุษที่อยู่ในวัยเลือดร้อนทั้งคู่ บางครั้งการกล่าวอะไรบางอย่างที่ระคายหูเพียงนิดเดียวก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้นะเพคะ”
“แล้วใครเป็นคนเริ่มก่อนล่ะ” ฮองไทเฮาผู้ไม่ยอมกับเรื่องนี้ง่ายๆ ตรัสถาม อวี้เม่ยเดินเข้าไปใกล้ทำเสียงเล็กๆ ใสซื่อ
“ไทเฮาเพคะ ไยท่านต้องเสาะหาผู้เริ่มเรื่องด้วยเล่า พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ผิดพอๆ กัน อีกคนเลือดร้อนอีกคนไม่รู้ความ เป็นเรื่องไม่เข้าใจกันระหว่างพี่น้อง หากท่านลงโทษพวกเขาด้วยเรื่องแค่นี้คงเป็นที่พูดกันสนุกปากของคนทั้งวัง”
“แต่ลู่เฉินบาดเจ็บเพียงนี้ จะให้ข้านิ่งเฉยได้อย่างไร”
“ไทเฮา บาดแผลเพียงเล็กน้อย ไกลหัวใจมากนักเพคะ ไท่จื่อร่างกายแข็งแรงเป็นถึงชายชาติทหาร ผ่านสมรภูมิรบมานับครั้งไม่ถ้วน แผลแค่นี้ไม่นานก็หายเพคะ”
ไม่ได้มีดีแค่รูปโฉม ทั้งสติปัญญาและการพูดจานับได้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าฮองเฮาคนก่อนแต่อย่างใด เห็นทีข้าคงเลือกคนไม่ผิดเป็นแน่แท้
ฮ่องเต้ยิ้มอย่างพอพระทัย กล่าวชมในความคิดของสตรีนางนี้ แม้แต่ฮองไทเฮาก็เริ่มโอนอ่อนไม่ต่อความยาวสาวความยืดแต่อย่างใด
“เอาเป็นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ข้าให้พวกเจ้าทั้งสองจำไว้เป็นบทเรียน อย่าได้ก่อเรื่องน่าขายหน้าแบบนี้ขึ้นอีก หากอยากจะประมือกัน ก็ไปเจอกันที่สนามฝึก!!!”
องค์ชายทั้งสองน้อมรับคำสั่งสอน ก่อนจะได้รับอนุญาตให้กลับไปยังตำหนักของตนได้
เว้นเพียงอวี้เม่ยที่ขออยู่ปฏิบัติรับใช้ฮองไทเฮาต่อ ไม่ใช่เพราะอยากเอาใจแต่หากอยากรู้ว่าสิ่งที่ฮองไทเฮาได้ตรัสไปนั้นหมายความว่าอย่างไร ทำไมถึงได้ทรงรังเกียจเดียดฉันท์องค์ชายรองถึงเพียงนี้
“ข้าต้องยอมรับว่าตัวเองคงอารมณ์ร้อนไป”
อารมณ์ร้อนเพราะรักหลานไม่เท่ากัน
“เจ้าว่าข้าดูเป็นคนใจร้ายรึเปล่า”
“ไทเฮากล่าวด้วยความเป็นห่วง หม่อมฉันเชื่อว่าเหล่าองค์ชายจะต้องเข้าใจเพคะ” อวี้เม่ยโกหกด้วยรอยยิ้ม
“ความจริงข้าก็ไม่ได้โกรธเกลียดอะไรเขาหรอกนะ”
“เขา…หมายถึงองค์ชายรองหรือเพคะ”
“เป็นความผิดผู้หญิงคนนั้น นางเป็นนังจิ้งจอก ใช่เล่ห์กลหลอกล่อให้ฮ่องเต้หลงนางจนไม่ลืมหูลืมตา ดีแล้วที่ตายๆ ไปเสียได้”
“ทรงหมายถึงเสด็จแม่ขององค์ชายรองหรือเพคะ”
ฮองไทเฮาพยักหน้าเบาๆ อวี้เม่ยได้ทีอยากรู้เรื่องราวเพิ่มจึงค่อยๆ ตะล่อมถามต่อ “ว่ากันว่าสตรีผู้ให้กำเนิดองค์ชายได้นับว่ามีบุญสูงส่ง”
“สูงส่งงั้นเหรอ ผู้หญิงแบบนาง ยางอายเป็นอย่างไรคงไม่รู้ด้วยซ้ำ เป็นแค่ลูกสาวพ่อค้าไม้จนๆ ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เข้ามาในวังได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีแต่เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นไม่เว้นวัน” ฮองไทเฮามีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น ทรงบอกเล่าเรื่องเล่าแปลกประหลาดหลายอย่างที่ล้วนมีเงื่อนงำ การแท้งลูกของกุ้ยเฟย ไฟไหม้ตำหนักเต๋อเฟย และปริศนาการตายของฮองเฮา
แม้อวี้เม่ยอยากจะขุดคุ้ยเรื่องราวให้มากกว่านี้ แต่ก็เกรงว่าจะเป็นที่ผิดสังเกตและดูจะเกินงามเกินไป จึงเปลี่ยนเรื่องชวนฮองไทเฮาคุยสัพเพเหระทั่วไปเพื่อให้ทรงคลายความกังวล
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
หากข้าอยากจะเอาชนะองค์ชายรอง อยากจะรักษาชีวิตตัวเองให้รอด ข้าก็จำต้องรู้เรื่องของเขาให้มาก ซึ่งแต่เดิมข้าก็รู้เพียงผิวเผินเท่าคนในวัง
มารดาที่แท้จริงขององค์ชายรองเป็นหญิงชนชั้นล่างจากนอกวัง นางเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ หากแต่ไม่ใช่กับคนโดยรอบ ทันทีที่นางให้กำเนิดโอรสได้เพียงไม่กี่วันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นฝีมือของกุ้ยเฟยที่เศร้าโศกจากการสูญเสียแก้วตาดวงใจ ความริษยาอาจทำให้นางขาดสติ ทำอะไรที่ไม่สมควรลงไปก็ได้
หากเป็นอย่างนั้นจริง แล้วข้าสามารถสืบหาความจริงได้ ข้าก็จะมีความดีความชอบต่อองค์ชายรอง เขาคงล้มเลิกที่จะใส่ร้ายข้า หรือไม่ข้าอาจจะนำเรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรองกับกุ้ยเฟย ให้เลิกกลั่นแกล้งข้าก็เป็นได้
ไม่ว่าจะคิดยังไงข้าก็มีแต่ได้กับได้
ก็อยากจะคิดแบบนั้นอยู่หรอก กระทั่งปัญหาอีกอย่างที่อวี้เม่ยลืมไปเสียสนิทมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า
พระสนมซูลี่
โอ๊ยยย ตายละ ข้าลืมนางไปได้อย่างไร
ทันทีที่อวี้เม่ยออกมาจากตำหนักของฮองไทเฮา สตรีผู้ถูกเปลี่ยนโชคชะตาก็วิ่งตรงเข้ามากล่าวถามด้วยความเป็นห่วง
“ว่าที่พระชายา ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ข้าได้ยินว่าเหล่าองค์ชายมีเรื่องชกต่อยกัน แล้วว่าที่พระชายาก็อยู่ตรงนั้น กลัวเหลือเกินว่าท่านจะได้รับบาดเจ็บ”
อวี้เม่ยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ขอบใจซูไฉเหรินที่เป็นห่วง”
แล้วข้าควรจะเอายังไงกับเจ้าดีนะซูลี่ แรกเริ่มเดิมทีเจ้าก็เป็นสตรีที่ดีงาม มีน้ำใจและไม่เคยคิดร้ายต่อข้าเลยสักครั้ง ความดีของเจ้าข้าไม่มีลืม แต่ถ้าจะให้ยกไท่จื่อให้เจ้า เห็นทีข้าคงยอมไม่ได้เช่นกัน ขอโทษด้วยที่ข้าเห็นแก่ตัว ซูลี่...ข้าขอโทษจริงๆนะ