เป็นเวลากว่าสามวันแล้วที่องค์ชายห้าจำต้องนั่งหาวอย่างเบื่อหน่ายอยู่ภายในตำหนักของตน ตำราหรือก็อ่านจนจำได้ขึ้นใจแล้ว หมากล้อมหรือก็ขาดคู่เล่นชำนาญการ หากครั้งองค์หญิงหลิงเซียงยังอยู่คงได้ประมือกันไปแล้ว เนื่องด้วยน้องสาวต่างมารดาของเขามีความเฉลียวฉลาดและจอมวางแผนอยู่มิน้อย ทุกครั้งที่ชวนนางมาเล่นก็มักจะตอบรับอย่างดีใจ อีกทั้งยังเอาอกใจและปากหวานต่อพี่ชายเช่นเขาเป็นประจำ
คิดแล้วก็อดคิดถึงนางไม่ได้ องค์ชายห้าไม่รู้เรื่องปั้นน้ำเป็นตัวขององค์หญิงหลิงเซียง เขาจึงไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดเสด็จแม่ของตนต้องส่งนางออกนอกวังด้วย ครั้งเอ่ยถามเป็นต้องเบี่ยงเบนคำตอบอยู่ร่ำไป บุรุษจึงเหนื่อยจะเอ่ยปาก
“เสด็จแม่ ลูกเบื่อเหลือเกิน เบื่อจนจะขาดใจ”
สตรีงามระหงเงยหน้ามองลูกชายตัวดีด้วยใบหน้านิ่งเฉย “งั้นก็ลองขาดใจดูสักทีจะเป็นไรไป”
“เสด็จแม่ทำไมตรัสวาจาไร้เยื่อใยต่อลูกเช่นนี้เล่า” องค์ชายห้าโอดครวญพลางเดินเข้าไปรินชาให้มารดาพร้อมออดอ้อนต่อ “เสด็จแม่ ลูกคนนี้สำนึกผิดแล้ว ท่านยกเลิกการกักบริเวณเถิดนะ”
“ดูเถิดเจ้าลูกไม่รักดี กล้าพูดมากนักนะ รู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่ทำมันร้ายแรงแค่ไหน แจกันหยกใบนั้น ของล้ำค่าของตระกูลเชียวหนา เจ้ากล้าเอามาเดิมพนันโง่ๆ อย่างนั้นได้อย่างไร ไปเอาความมั่นใจมากไหน ผีพนันตัวไหนเข้าสิงเจ้ากัน ข้าสิอยากตีเจ้าให้ตายคามือ”
อยากจะตอบเหลือเกินว่าโดนว่าที่พระชายาต้มตุ๋น
ไหนนางบอกว่ามองเห็นอนาคตได้อย่างไรเล่า ทำไมทำเขาเสียพนันจนหมดตัวเช่นนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรองค์ชายห้าก็ไม่คิดว่าสิ่งที่อวี้เม่ยเคยบอกเขาว่าตนฝันเห็นอนาคตจะเป็นเรื่องหลอกลวง
มันต้องมีอะไรผิดแปลกตามที่อวี้เม่ยเคยกล่าวไว้อย่างแน่แท้
“อ้ายฉิง เจ้าก็เป็นคนฉลาดอีกทั้งยังรูปงาม ฝีมือการขี่ม้าใช้กระบี่ของเจ้าก็นับว่าก้าวหน้าเทียบชั้นไท่จื่อ เรื่องการบ้านการเมืองหรือ หากได้เรียนรู้อย่างจริงจังมีหรือจะด้อยกว่าพี่เจ้า”
ได้ยินเช่นนั้น ท่าทางขององค์ชายห้าก็พลันเปลี่ยนไปทันที เขาหุบยิ้มลง แววตาเปลี่ยนเป็นเฉยเมยก่อนเอ่ยเสียงเย็นเยือก “เสด็จแม่ ลูกว่าเราคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้ว ลูกไม่ปรารถนาจะแย่งชิงตำแหน่งจากผู้ใด โดยเฉพาะกับไท่จื่อ”
เต๋อเฟยถอนหายใจ แม้จะรู้ว่าเรื่องเก่าที่นำมาพูดนี้จะสร้างความไม่พอใจให้อีกฝ่าย แต่นางก็ยังมีความพยายามหยิบยกมาพูดทุกครั้งที่มีโอกาส ราวกับว่าไม่ได้สนใจเลยว่าลูกชายของตนจะมีสีหน้าหนักใจขนาดไหนที่ได้ยินเรื่องนี้
“น่าเจ็บปวดใจนัก มีลูกชายกับเขาแต่ก็ไม่ทะนงตน ข้าถามหน่อยเถิด ภายภาคหน้าเจ้าหวังสิ่งใด ตำแหน่งอ๋องงั้นหรือ คิดว่าเสด็จพ่อเจ้าจะให้ยศศักดิ์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนกันเชียว เห็นได้ชั้นว่าคงด้อยกว่าพี่รองเจ้า”
“ด้อยกว่าพี่รองแล้วอย่างไร ลูกไม่ได้หวังจะเป็นใหญ่เหนือใครเสียหน่อย” องค์ชายห้าเอื้อมมือของตนไปจับมือสตรีตรงหน้า “เสด็จแม่ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องอยากได้สิ่งที่ไม่ใช่ของตนด้วยเล่า”
เต๋อเฟยถลึงตามองบุรุษก่อนชักมือกลับอย่างไม่ไยดี
เดิมทีนั้นนางเป็นสตรีที่หยิ่งทะนงและเยือกเย็นเป็นที่สุด แม้แต่ฮองไทเฮาและฮ่องเต้ยังต้องพากันเกรงใจ ไม่เว้นฮองเฮาผู้ล่วงลับยังให้เกียรติ อ่อนน้อมกับนางอยู่บ่อยครั้ง ไม่ใช่เพราะตระกูลที่สูงส่งของนาง หากเป็นการวางตัวและการกระทำต่างหากที่ทุกคนต่างเคารพยำเกรง สง่าดังต้นสนที่สงบนิ่งท่ามกลางพายุฝน บางครั้งก็คล้ายกับน้ำใสไหลเย็นที่ยากแท้หยั่งถึง อีกทั้งยังรู้จักวางตัวดีไม่เคยหมิ่นข้ามหน้าข้ามตาผู้ใด
ครั้นได้รับการตำแหน่งเป็นเต๋อเฟยก็ทำนางหงุดหงิดใจไม่น้อย ระดับสตรีที่ล้ำค่าเช่นนางควรได้เป็นซูเฟยหรือกุ้ยเฟยสิถึงจะถูก
สาเหตุอาจเพราะตระกูลนางยังไม่ใหญ่พอ หรืออาจเพราะความฉลาดและเย็นเยือกเกินไปของนางทำให้เหล่าขุนนางเกิดความกลัว และคัดค้านที่จะให้นางมีบทบาทที่มากเกินในราชวงศ์
แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังโชคดีที่ให้กำเนิดบุตรชายถึงสองคน อ้ายเสินนั้นเรียกได้ว่าเป็นลูกหลงที่มาเกิดโดยไม่ทันตั้งตัว เต๋อเฟยจึงนับว่าลูกชายคนเล็กเป็นพรจากสวรรค์ นางจึงใส่ใจและตามใจเขามากเป็นพิเศษ
ส่วนกับอ้ายฉิง บุตรชายคนโต เป็นของขวัญที่นางปรารถนามาทั้งชีวิต เป็นสิ่งที่จะช่วยเชิดหน้าชูตาและสร้างความมั่นคงให้กับนางในภายหน้า หนำซ้ำอ้ายฉิงยังมีความสามารถที่โดดเด่นเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่ไฉนเลยเจ้าตัวไม่นำข้อดีตรงนี้มาใช้ประโยชน์ กลายเป็นคนติดเล่นเช่นนี้เสียได้
“เจ้านี่นะ ข้าล่ะเชื่อเลย มักน้อยเสียจริง”
เมื่อเห็นเต๋อเฟยเริ่มทำหน้างอ องค์ชายห้าก็ค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดออก ก่อนเอ่ยด้วยเสียงหวานเช่นเคย “เสด็จแม่อย่าเพิ่งกริ้ว เดี๋ยวความงามของท่านจะหม่นหมองเอาได้ เอาเช่นนี้ดีไหม ให้ลูกสั่งคนทำอาหารอร่อยๆ มาให้ทาน หรือท่านอยากได้สิ่งใดบอกลูก ลูกจะหามาให้”
แม้ก่อนหน้านี้เต๋อเฟยจะมีอารมณ์ขุ่นมัวเพียงใด หากแต่ได้ยินเสียงออดอ้อนของลูกชายเป็นต้องใจอ่อนทุกครั้งไป เต๋อเฟยหันมองบุตรชายด้วยสีหน้าจริงจัง พลางถอนหายใจ “ทั้งชีวิตข้า ข้าหวังอยากจะเห็นเจ้าเป็นใหญ่ มีชีวิตที่ก้าวหน้า ดูแลข้ายามแก่ชรา ข้าหวังมากเกินไปหรือเปล่า”
“เสด็จแม่ ลูกรู้ว่าท่านหวังดี ลูกสัญญาว่าต่อไปนี้จะเป็นลูกที่ดีเชื่อฟังท่าน”
เต๋อเฟยยิ้มออกมา ยกมือลูบไปที่ใบหน้าองค์ชายห้าอย่างอ่อนโยน “เด็กดี เจ้าเป็นลูกกตัญญูของข้าใช่ไหม”
องค์ชายห้าพยักหน้าแทนคำตอบ
การพูดคุยระหว่างแม่ลูกคลายความตึงเครียดลง หากแต่การกักบริเวณยังคงมีอยู่ องค์ชายห้าได้แต่ถอนหายใจอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมอย่างเหงาหงอย กระทั่งได้ยินเสียงขันทีหน้าตำหนักประกาศชื่อผู้มาเยือน
“อวี้เม่ย!”
องค์ชายห้าโผเข้าหาสตรีที่มาหาอย่างดีใจ ก่อนจะเห็นว่าในมือของหญิงสาวอุ้มห่อผ้าบางอย่างมาด้วย
“องค์ชายห้าเป็นอย่างไรบ้าง คงเบื่อแย่เลยใช่ไหม”
“ยิ่งกว่าเบื่อเสียอีก เหมือนข้าติดคุกอย่างไงอย่างนั้น ซึ่งนั้นก็เป็นเพราะเจ้า” แม้จะดีใจแต่ก็ไม่ลืมจะแขวะคนตรงหน้า
อวี้เม่ยฝืนยิ้มน้อยๆ ก่อนวางห่อผ้าลงบนโต๊ะอย่างเบามือ และยังไม่ทันที่องค์ชายห้าจะทันได้เอ่ยถาม หญิงสาวก็ปลดผ้าออกเผยให้เห็นแจกันหยกที่เปล่งประกายความเงาวาวออกมา
องค์ชายห้าขยี้ตาก่อนเพ่งมองอย่างไม่เชื่อสายตาพลางฉีกยิ้มอย่างดีใจ
“ของขวัญขอโทษจากข้านะ”
“เจ้าเอามะ…มันมาได้อย่างไร”
“เจรจาสองสามประโยคกับเครื่องดื่มรสเลิศอีกนิดหน่อย”
อวี้เม่ยรู้ดีว่าองค์ชายแปดเป็นคนติดสุรามาก สิ่งที่เขาสนใจล้วนเป็นอบายมุขทั้งสิ้น ทั้งของมึนเมา การพนัน ซึ่งสุรานั้นยกให้เป็นอันดับหนึ่งในสิ่งที่เขาโปรดปราน ยิ่งเป็นสุราที่ผ่านการหมักมาแรมปียิ่งถูกอกถูกใจเป็นการใหญ่
นับเป็นโชคดีที่อวี้เม่ยพอจะรู้จักกับคนผู้หนึ่งในตระกูลฉาง เป็นญาติห่างๆ ที่มีฝีมือและสูตรลับพิเศษในการหมักสุราโดยเฉพาะ มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ลิ้มลองหรือหากลิ้มลองแล้วก็ยากนักจะถอนตัว
“ท่านหายโกรธข้าหรือยัง”
“โกรธเหรอ ข้าไม่เคยโกรธเจ้าเสียหน่อย ก่อนหน้านี้ก็มีเคืองบ้างแต่ตอนนี้ไม่แล้ว” องค์ชายห้าว่าพลางสำรวจแจกันหยกด้วยความเบิกบาน ก่อนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา “เจ้าคงไม่ได้เอาแจกันมาคืนข้าเพียงเพราะสำนึกผิดใช่ไหม”
อวี้เม่ยส่ายหน้า “ท่านคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกัน ข้าสำนึกผิดจริงๆ ไม่คิดว่าเรื่องมันจะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ได้ ไท่จื่อ…” เสียงของอวี้เม่ยขาดช่วง เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเองก็ยังไม่คลายข้อสงสัยในจุดนี้ มีหลายสิ่งเปลี่ยนไปและก็เหมือนมันจะดีขึ้นเสียด้วย
“เจ้าได้ถามไท่จื่อไหมว่าทำไมถึงแพ้”
อวี้เม่ยสบตาผู้ถามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง องค์ชายเป็นผู้ฟังที่ดี เขานั่งเงียบๆ รอนางเล่าจนจบจึงค่อยเอ่ยถาม “เจ้าบอกว่าไท่จื่อยอมแพ้ประลองเพื่อเจ้า ยอมทิ้งตำแหน่งแม่ทัพเพื่ออยู่กับเจ้างั้นเหรอ”
หญิงสาวเม้มปากแน่น ในใจคิดว่าคงต้องถูกตำหนิเป็นแน่ที่เป็นตัวต้นเหตุให้หวงไท่จื่อพลาดโอกาสแสดงความเก่งกาจต่อหน้าฮ่องเต้ อีกทั้งยังพลาดที่จะออกไปสร้างผลงานในสนามรบ
แต่แล้วเมื่อพิจารณาเรื่องราวอยู่ชั่วครู่ องค์ชายห้าก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่น ทำอวี้เม่ยตกใจจนถ้วยชาที่ถืออยู่เกือบหล่นลงพื้น
“งั้นก็ดีสิ เท่ากับว่าอนาคตของเจ้ากำลังเปลี่ยน อวี้เม่ย…เจ้าอาจไม่ต้องตายเหมือนที่เจ้าฝันเห็นแล้วก็เป็นได้ ไท่จื่อเอ็นดูเจ้าขนาดนี้ ไม่มีทางเลยที่จะกดดันให้เจ้าฆ่าตัวตาย อีกทั้งกุ้ยเฟย หญิงร้ายกาจนั้นเจ้าว่าจัดการนางแล้ว ยิ่งดีไปใหญ่”
“ข้าไม่ได้จัดการนางเสียหน่อย แค่กันไม่ให้นางมายุ่งกับข้าเท่านั้น”
“นับว่าก้าวหน้านัก ข้าชอบนะที่เจ้าลุกขึ้นมาทำนู้นนี้เพื่อตัวเองเสียบ้าง จะเหลือก็แต่พวกพี่รอง…แต่เจ้าอย่าได้กังวล หากเสด็จพ่อประกาศฤกษ์ยามอภิเษกเมื่อไร พวกพี่รองคงไม่เสี่ยงใส่ร้ายว่าที่ฮองเฮาหรอก”
อวี้เม่ยยิ้มบางๆ แต่ดวงตานั้นยังไม่คลายความกังวล นางเหลือบมององค์ชายห้าพลางลังเลว่าจะพูดขอร้องเขาดีหรือไม่ ใจหนึ่งก็เกรงใจอีกใจก็อยากลอง และสุดท้ายกลับเป็นองค์ชายห้าเองที่เอ่ยถามเพราะจับท่าทีแปลกๆ ของหญิงสาวได้
อวี้เม่ยเงยหน้ามอง พร้อมทำใจกล้าก่อนพูด “ข้ายังมีอีกคนที่ต้องการให้ท่านช่วย”