มัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษาที่ 2

2652 Words
                ม.2 เทอม 2                 ฉันก็ยังไม่บอกชอบน้องป้อน...                 เฮ้อ...ขี้ขลาดจังวะมาศ                 แต่...เราคุยกันมากขึ้น อยู่ด้วยกันมากขึ้น                 บางวันก็กินข้าวด้วยกันตอนเที่ยง                 ตอนเย็นก็เดินกลับรถรับ - ส่งด้วยกัน                 ตอนเช้า เวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ เราจะชอบหันหน้าไปมองกันแล้วยิ้มให้กันบ่อย ๆ                 บางครั้งเวลาสวดมนต์ไหว้พระ ฉันก็จะแกล้งเสกคาถา แกล้งเป่ามนต์สารพัด แล้วตอนสุดท้ายก็ทำมือแบออก เป่ามนต์ออกจากปาก ทำเหมือนว่ามือของฉันเป็นตัวนำมนต์คาถาที่ฉันเสก ให้ลอยไปหาป้อน                 แต่น้องก็ใช่ย่อย ทำท่าทางกำเอาสิ่งที่ฉันปล่อยไปในอากาศแล้วปามันลงพื้น                 แกล้งเหยียบบ้าง                 หรือเก็บใส่หัวใจบ้าง                 ขี้กวนจังนะเรา                 เพราะรู้ว่าป้อนมองอยู่ ฉันจึงทำ และแน่นอนว่าได้รอยยิ้มน่ารัก ๆ กลับคืนมา                 กำลังใจก่อนเรียนทุกเช้า                 มีความสุขดีจัง                   "พี่ชอบป้อนนะ"                 ขณะที่เรานั่งรับประทานอาหารเที่ยงอยู่ที่โรงอาหาร                 บนโต๊ะเดียวกัน                 ตรงข้ามกัน                 มีเพื่อนฉันนั่งอยู่ทางฝั่งฉัน และเพื่อนน้องนั่งอยู่ฝั่งเดียวกันกับน้อง                 ฉันและป้อนนั่งตรงข้ามกัน                 ทุกคนหันมามองฉันเป็นตาเดียว ที่อยู่ ๆ ฉันก็โพล่งออกไปแบบนั้น                 โดยที่ไม่มีปี่ มีขลุ่ย มีสะล้อ ซอ ซึง เลยสักนิดเดียว                 ป้อนวางช้อน                 เงยหน้าจากจานข้าวมามองฉัน                 อมยิ้ม                 "พี่ไม่สบายมั้ยเนี่ย"                 ป้อนเอามือเล็กนุ่มนิ่มนั้นมาอังหน้าผากฉัน                 ฉันจับมือน้องและกุมไว้ สบตาป้อน ไม่สนว่าเพื่อนฉัน เพื่อนน้อง หรือคนอื่น ๆ ในโรงอาหารจะมองยังไง                 "พี่ชอบป้อน"                 ฉันย้ำอีกครั้ง                 "ป้อนก็ชอบพี่ค่ะ"                 ทุกคนในโต๊ะเงียบ                 ฉันก็เงียบ                 บ้าเอ๊ย...มาบอกชอบกันในโรงอาหารเนี่ยนะ คนเยอะแยะไปหมด อายนะเว่ย                 เสียงรอบข้างดังกึกก้อง                 เสียงช้อนส้อมกระทบจาน                 เสียงช้อนกระทบส้อม                 เสียงดูดน้ำ                 เสียงตักอาหาร                 เสียงเคี้ยวอาหาร                 เสียงพูดคุย                 เสียงหัวเราะ                 เสียงเดิน                 ดังผสมปนเปกันไปหมด                 ยกเว้น...โต๊ะฉัน ที่เงียบ...                 เงียบ...                 จนได้ยินเสียงรอบข้างชัดเจน                 เงียบเพราะทุกคนกำลังกลั้นยิ้ม                 กลั้นจนจมูกบาน                 เพราะเขินกับการที่ฉันบอกชอบป้อน และป้อนเองก็บอกชอบฉันกลับต่อหน้าทุกคนในกลุ่มเช่นเดียวกัน                 สักพักฉันก็ปล่อยมือที่กอบกุมป้อนไว้ตั้งแต่ทีแรกออก เพราะหางตาเหลือบไปเห็นพี่สาวที่กำลังเดินมากับเพื่อน                 ถ้าพี่เห็นฉันจับมือป้อนนะ กลับบ้านไปต้องโดนเทศนาหนักแน่นอน                 ฉันยิ้มให้ป้อน แล้วเก็บจานตัวเองไปวางไว้ในกะละมังที่แต่ละร้านเอามาวางไว้สำหรับใส่จานที่เปื้อนแล้ว                 จากนั้นก็เดินออกมา รอเพื่อนอยู่ที่ร้านน้ำ                 "โกโก้ปั่นแก้วนึงค่ะ"                 ฉันกำลังจะสั่งน้ำปั่นรอเพื่อน แต่ก็มีคนตัวเตี้ยเดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วสั่งน้ำโกโก้ปั่นของโปรดของฉันตัดหน้า                 "พี่ไม่ต้องซื้อนะ เค้าเลี้ยง"                 "แม่ถูกหวยหรอ"                 "ให้รางวัลที่พี่กล้าบอกชอบเค้า"                 รู้ดี...                 รู้ดีว่าฉันป๊อดขนาดไหน                 "ชาเขียวปั่นแก้วนึงค่ะ"                 คราวนี้เป็นฉันที่สั่งบ้าง                 "พี่ไม่กินชาเขียว"                 รู้ดีเกินไปแล้วนะน้องป้อน                 ใช่...                 ชาเขียวเป็นอย่างเดียวที่ฉันไม่มีวันกินเด็ดขาด อะไรก็ตามที่มีคำว่าชาเขียวอยู่ด้วย ฉันไม่มีวันแตะมัน                 เหตุผลน่ะหรอ ฉันเลี่ยนและรู้สึกไม่ชอบกลิ่นของมันเอามาก ๆ แค่นี้แหละ เหตุผลมีแค่นี้                 อ้อ...รวมถึงชาเย็นด้วยนะ ฉันไม่ชอบอะไรหวาน ๆ และมีกลิ่นแบบชาเขียวกับชาเย็นนี่แหละ                 แต่คนที่ชอบกินชาเขียวเป็นชีวิตจิตใจกลับเป็นน้องป้อนต่างหาก                 "ให้รางวัลไง ที่เราก็คิดเหมือนกันกับพี่"                 ป้อนอมยิ้มแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ น่ารักฉิบหายเลยวุ้ยน้องป้อน                 อยากหยิกแก้มแดง ๆ นั้นเสียจริง แต่ก็ต้องห้ามใจไว้ เพราะมันคงไม่เหมาะสม หากฉันจะทำอะไรตามใจตนเอง                 สรุปเราก็ได้จ่ายเงินค่าน้ำปั่นเท่ากัน แค่สั่งสลับกันเฉย ๆ                 บางครั้งเรื่องแบบนี้บางคนอาจจะมองว่างี่เง่าไร้สมอง แต่สำหรับฉันมันคือการใส่ใจกันและกันมากกว่า                 แบบนี้ก็โรแมนติกสุด ๆ แล้วแหละ                   ฉันยังซ้อมกีฬาทุกเย็น ก่อนเลิกเรียนเหมือนเดิม                 ยิ่งใกล้วันกีฬาสี ยิ่งต้องซ้อมหนักเข้าไปอีก                 เพราะสีฉันเด่นเรื่องกีฬาอยู่แล้ว จะแพ้สีอื่นไม่ได้ คะแนนรวมกีฬาของเราต้องเป็นที่หนึ่ง                 ฉันลงแข่งขันกีฬาปิงปอง เปตอง วอลเลย์บอล ตะกร้อ และฟุตบอล                 เวลาซ้อมน้องป้อนก็จะมานั่งอยู่บนศาลานั่งเล่นแถว ๆ สนาม เวลาหันไปเราจะสบตากันบ่อย ๆ ฉันมีความสุขมากเลยแหละ มีกำลังในการซ้อมตั้งเยอะ                 แต่...                 บนศาลานั้นมันมีน้องแก้วนั่งอยู่ด้วย เวลาฉันยิ้มให้ป้อน ฉันเห็นว่าแก้วก็ยิ้มด้วย                 เฮ้อ...                 จะเข้าข้างตัวเองคิดว่าฉันยิ้มให้หรือเปล่านะ                   กีฬาสีเวียนมาอีกครั้งแล้วสินะ                 ปีนี้ฉันอยู่สีเหลือง                 ลงแข่งปิงปอง...ชนะ                 ลงแข่งเปตอง...ชนะ                 ลงแข่งวอลเลย์บอล...ชนะ                 ลงแข่งตะกร้อ...ชนะ                 ลงแข่งฟุตบอล...ชนะ                 แต่...                 ฉันได้ลงเตะในช่วงประมาณสิบนาทีสุดท้ายชิงชนะเลิศกับสีแดง ผลออกมาเสมอ ต้องยิงจุดโทษ และฉันเป็นหนึ่งในห้าคนที่ถูกเลือกมายิง                 ตอนนี้ผลเสมอ ถ้าฉันยิงเข้าทีมสีเหลืองของฉันจะชนะ ดังนั้น ก็เท่ากับว่า ฉันเป็นตัวความหวังของทีมสินะ กดดันมาก ๆ เลย                 จากการศึกษาผลวิจัยของ ผญ.ผศ.ดร.พันโทหญิงมาศ จุฑามาศ พบว่าต่อให้มีคนเป็นล้าน เราก็จะมองเห็นคนที่เราชอบ ส่องแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ท่ามกลางคนนับล้านนั้นเสมอ                 และ...                 น้องป้อนนั่งอยู่ตรงนั้น ข้างสนาม ตรงร่มของต้นดอกเฟื่องฟ้าสีชมพูสดใส                 ฉันมองป้อน...น้องยิ้มกลับมา                 ตั้งเงื่อนไขกับตัวเองว่า ถ้ายิงเข้า จะขอป้อนเป็นแฟน                 ฉันยิงไปด้วยใจที่เต้นระรัว                 มือประตูเซฟได้อย่างง่ายดาย เพราะฉันยิงไปตรงกลางประตู ตรงจุดที่ผู้รักษาประตูยืนอยู่                 โง่จริง...ยิงลูกง่าย ๆ ให้เขาเซฟง่าย ๆ แบบนี้ได้ไงวะ                 ฉันผิดหวัง เหลือบสายตาไปมองป้อน น้องยังยิ้มให้ฉันเหมือนเดิม เราคงต้องเป็นแฟนกันช้าหน่อยนะ ฉันคิดในใจ                 แต่ยังไงทีมฉันก็ชนะอยู่ดี เพราะทีมเขายิงไม่เข้า แต่ทีมฉันคนสุดท้ายยิงเข้า ฉันอยู่สีไหน กีฬาก็ที่ 1 ตลอด ไม่ได้โม้นะ ความจริงล้วน ๆ                   กลางดึกวันหนึ่ง...ประมาณสี่ทุ่ม                 ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ของน้องแก้ว                 "ฮัลโหล"                 "พี่จะนอนแล้วหรอคะ"                 "อือ ดึกแล้ว พี่กำลังนอน"                 "งั้น แค่นี้นะคะ"                 ฉันนอนหลับตาสักพัก...ก็มีคนโทร.มาหาฉันอีก คราวนี้เป็นเบอร์ของน้องป้อนนั่นเองที่โทร.เข้ามา                 แปลก ๆ นะ โทรมาติดต่อกันแบบนี้ทั้งแก้วและป้อนเลย                 "ฮัลโหล"                 "จะนอนยังคะ"                 "เรามีอะไรจะคุยกับพี่มั้ย"                 "มีค่ะ"                 "งั้นอีกสักพักพี่ค่อยนอน"                 เป็นปกติที่เราจะโทร.คุยกันมากกว่าแชทหากัน เพราะฉันชอบแบบนี้มากกว่า                 อย่างน้อย...การได้ยินเสียงของกันและกันมันดีกว่าเห็นแค่ตัวหนังสือเป็นไหน ๆ                 แต่นาน ๆ ที เราถึงจะโทร.หากัน ทั้งป้อนและแก้วมีเบอร์ของฉัน แต่วันนี้มาแปลกโทร.มาหาฉันไล่เลี่ยกันทั้งสองคนเลย                 และระหว่างที่เราคุยกันฉันก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ เล็ดลอดมาตลอด เหมือนเราไม่ได้คุยกันแค่สองคน                 แต่เป็นเสียงที่เหมือนกับว่าอยู่ไกลมาก ทุกคนรู้จักการประชุมสายใช่มั้ย นั่นแหละฉันรู้สึกแบบนั้น เหมือนในสายไม่ได้มีแค่ฉันกับป้อน                 แต่ฉันก็ปล่อยผ่าน ไม่ถามว่าเสียงอะไร เพราะฉันโฟกัสอยู่แค่กับป้อนมากกว่า                 วันต่อมาฉันจึงได้รู้ความจริง ในสิ่งที่สงสัย ว่าเสียงที่ฉันได้ยินนั้น เป็นเสียงอะไร                 และความจริงก็คือเป็นเสียงแก้ว ที่เป็นฝ่ายโทร.มาหาฉันก่อน แล้วจากนั้นก็โทร.หาป้อน ให้ป้อนโทร.หาฉันอีกที เรียกง่าย ๆ ว่าประชุมสายนั่นเอง                 เทคโนโลยีนี่มันทันสมัยจริง ๆ อยากทำอะไร แบบไหนก็ทำได้หมด เหมือนเพลงของนักร้องชื่อดังท่อนนึงที่ร้องว่า "โลกมันหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ฉันตามไม่ทันแล้วพี่บัวลอย..."                 ทั้งสองคนตกลงกันว่า ถ้าโทร.หาฉัน แล้วฉันรับสาย คุยกับใครมากที่สุด ก็คือฉันเลือกคนนั้น                 อะไรวะเนี่ย...                 ตัดสินกันแบบนี้จริงดิ...                 ทั้ง ๆ ที่ฉันชัดเจนอยู่แล้วว่าชอบน้องป้อนตั้งแต่แรก ยังไงก็เลือกน้องอยู่แล้ว                 แต่ทำไมสองคนนี้ถึงทำอย่างนี้ ไม่ถามความเห็นฉันสักคำ                 ก็คงต้องปล่อยผ่านไปแหละนะ เพราะถือว่าดีแล้วที่น้องแก้วจะไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก                 ถึงยังไงก็ไม่ค่อยพอใจอยู่ดี สองคนนี้ต้องถามฉันด้วยสิ ไม่ใช่คิดเองเออเองกันสองคนแบบนี้ อย่างน้อยก็ถามฉันหน่อย ให้ฉันรับรู้บ้างก็ยังดีเพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับฉันโดยตรง                   กีฬาสีเสร็จ ก็เป็นกีฬาของเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งแต่ละโรงเรียนที่อยู่ในเขตจะมาแข่งขันกีฬากัน                 ปีนี้โรงเรียนฉันเป็นเจ้าภาพ ฉันได้รับมอบหมายจากครูคณิตศาสตร์ให้มาฝึกซ้อมตะกร้อ ไม่ให้ซ้อมวอลเลย์บอล เพราะครูบอกว่าฉันเก่งแล้ว มาฝึกตะกร้อให้คล่องกว่านี้ดีกว่า แบบนี้ก็ได้หรอ                 นักกีฬาตะกร้อ มีฉันคนเดียวที่อยู่ ม.2                 พี่หมวย เป็นทอม อยู่ ม.3                 และพี่ฟิล์ม เป็นทอม ม.5                 พี่ฟิล์มมีแฟนอยู่ ม.3 ชื่อพี่ยุ้ย เป็นเพื่อนพี่สาวของฉันเอง                 พี่ยุ้ยน่ารักนะ คนตัวผอม ๆ ขาว ๆ น่าทะนุถนอมที่สุดเลยแหละ ถ้าฉันเป็นพี่ฟิล์มจะดูแลพี่ยุ้ยอย่างดีเลย ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม                 แต่พี่ฟิล์มก็ไม่ทำ ยังทำตัวเจ้าชู้ไปวัน ๆ แต่คิดว่าอีกไม่นานคงเลิก เพราะปีหน้าพี่ยุ้ยจะขึ้น ม.4 อาจจะไปเรียนที่อื่นก็ได้                 อีกเหตุผล คือทนความเจ้าชู้ของพี่ฟิล์มไม่ไหวด้วยมั้ง                   นักกีฬาตะกร้อมีแค่นี้ ทีมฉันฝึกซ้อมกับทีมชายทุกวัน และป้อนก็มานั่งอยู่ที่ศาลาใกล้ ๆ กับสนามเช่นเดิมทุกวัน คราวนี้ไม่มีน้องแก้วแล้ว                 วันที่เราแข่งขัน น้องมาเชียร์ถึงขอบสนาม แต่ไม่ได้ตะโกนหรือส่งเสียงเชียร์หรอกนะ มีเพียงแค่ยิ้มหวาน ๆ ส่งมาให้ตามสไตล์น้องแหละ                 แต่คราวนี้ทีมเราไม่ชนะ ได้แค่รองแชมป์แต่แค่นี้ฉันก็ภูมิใจแล้วล่ะ อย่างน้อยฉันกับน้องป้อนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ขยับความสัมพันธ์กันเลยก็ตาม                   ความซวยบังเกิด เมื่อวันหนึ่งพอฉันกับเพื่อนกินข้าวเสร็จ ก็มานั่งเล่นที่ห้องของตัวเองเพื่อรอเรียนวิชาแรกของภาคบ่าย คือวิชาวิทยาศาสตร์กับคุณครูที่ปรึกษา                 แต่อยู่ ๆ เพื่อนผู้ชายก็เปิดคลิปโป๊เสียงดังลั่นห้อง บอกมันแล้วนะแต่ไม่ยอมฟัง                 ดื้อจังวะแม่ง                 และแล้วครูที่ปรึกษาก็เดินผ่านประตูเข้ามาในห้องเข้ามาพอดี                 เสร็จแน่...                 ทั้งในคลิปและชีวิตจริงนี่แหละ เสร็จแน่ ดีที่ครูคนนี้เป็นคนที่เข้าใจเด็ก ไม่ด่ามั่วซั่ว แค่กล่าวตักเตือนและให้ทำรายงานเรื่องเพศมา เพราะครูเป็นครูวิทยาศาสตร์ก็เลยเข้าทาง                 พอถึงวันหยุด ฉันและเพื่อนนัดกันทำรายงาน ที่ร้านใกล้ตลาด พอทำเสร็จเรานัดกันไปถ่ายรูปร้านข้าง ๆ                 แน่นอนว่าเป็นเงินที่แม่ให้มาทำรายงาน ก็มันเหลืออะแม่ โปรดเข้าใจลูกด้วย                 ถ่ายเสร็จ ก็รอรูปตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติ คือฉันดันเหลือไปเห็นรูปป้อนยืนยิ้มหวานอยู่กับกลุ่มเพื่อน                 ต่อให้มีคนเป็นล้าน เราก็จะมองเห็นคนที่เราชอบ ส่องแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ท่ามกลางคนนับล้านนั้นเสมอ                 ผญ.ผศ.ดร.พันโทหญิงมาศ จุฑามาศ บอกไว้แบบนั้น                 ไม่รอช้า ฉันรีบบอกกับเจ้าของร้านทันที ว่าตัดเอาแค่รูปป้อน และช่วยปริ้นออกมาให้หน่อย                 ซึ่งเจ้าของร้านก็ทำให้แบบไม่เกี่ยงงอน โดนเพื่อนแซวว่ากาก เพราะไม่กล้าขอถ่ายรูปน้องต่อหน้า คนมันเขิน ให้ทำไงได้วะ ไอ้พวกนี้นี่                   หลังจากส่งรายงาน ฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนไปแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์ที่ตัวจังหวัด                 โดยโครงงานนี้ ต้องมีนักเรียนสามคน                 มีพี่ ม.3                 ฉัน                 และน้อง ม.1                 ซึ่งก็คือป้อน                 ดีใจจัง                 ฉันหยุดซ้อมกีฬาสักระยะ แล้วมาซ้อมโครงงานแทน                 และคนอย่างมาศอะนะ มันก็ต้องมีความเจ้าเล่ห์ และฉลาดเป็นกรดอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว                 ฉันเอาเรื่องการฝึกซ้อมโครงงาน มาเป็นข้ออ้างในการขอขับรถจักรยานยนต์มาโรงเรียน ซึ่งแม่ก็อนุญาต                 เสร็จโจร...                 หลังจากซ้อมเสร็จ ฉันอาสามาส่งน้องป้อนที่บ้านทุกวัน เพราะกลับทางเดียวกันอยู่แล้ว                 บางวันก็แวะร้านน้ำปั่น ป้อนสั่งโกโก้ปั่น และฉันสั่งชาเขียวปั่น จากนั้นก็สลับแก้วกันกิน ฉันไม่มีวันกินชาเขียวหรอกนะ                 ป้อนขอออกค่าน้ำมันช่วย แต่ฉันไม่ยอม ยังไงมันก็ทางเดียวกันอยู่แล้ว จะช่วยทำไม รู้หรอกว่าจิตใจดี แต่เก็บเงินที่แม่ให้เอาไว้เถอะนะน้อง                 เรื่องผลาญเงินแม่ให้เป็นเรื่องถนัดของพี่มาศคนนี้คนเดียวก็พอแล้ว แหะ ๆ                  ชีวิตช่วงนี้มีความสุขมาก เพราะบางวันน้องป้อนก็ยื่นมือมากอดเอวฉันไว้เพราะกลัวตก                 และฉันก็แกล้งขับรถช้า ๆ เพราะกลัวถึงบ้านน้องเร็ว                 ฉันชอบน้องจัง                 ไม่สิ                 รักเลย                 ฉันรักน้องป้อนจัง                   วันแข่งขันโครงงาน                 เราแข่งขันในประเภทโครงงานประดิษฐ์ ซึ่งสิ่งที่เราประดิษฐ์คือแสงไฟไล่ยุง แสงสีฟ้าอมม่วงที่พอเปิดแล้วยุงจะไม่บินเข้ามาใกล้                 แน่นอนว่าครูเป็นคนคิด และให้พวกฉันนำเสนอต่อกรรมการแค่นั้น                 ฉันรู้มาว่า มีโรงเรียนเข้าร่วมแข่งขัน 54 โรงด้วยกัน                 และแน่นอน ฉันตั้งเงื่อนไขกับตัวเองในใจว่า ถ้าเราเป็น 1 ใน 3 ฉันจะขอน้องป้อนเป็นแฟน                 เพราะมั่นใจว่าสิ่งประดิษฐ์ของเราเจ๋ง และการนำเสนอของเราเยี่ยมยอด                 แต่...                 ผลออกมาว่า เราได้ที่ 4                 ฉันไม่ควรมั่นใจอะไรอีกแล้ว                 รอไปก่อนละกัน ยังไงเราก็ได้เป็นแฟนกันอยู่แล้วล่ะ                 แต่ฉันก็ยังมั่นใจอยู่แบบเดิม ไม่ได้มีความสำนึกเลย ว่าไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ ที่แน่นอน...                 อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ไม่มีอะไรห้ามมันได้หรอก
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD