ตอนที่ 4... โลกกลมและพรหมลิขิต

4002 Words
สายวันอาทิตย์หลังจากทำงานมาทั้งสัปดาห์ อัญญาลุกขึ้นจากที่นอนและบิดตัวยืดเส้นสายหลังจากนอนหลับกว่าสิบชั่วโมง ชีวิตที่ไม่ต้องตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกทำให้เธออารมณ์ดีสุดๆ วันนี้เป็นหยุดที่เธอรอคอยมานานและมักใช้เวลาเพียงหนึ่งวันที่มีตัดขาดจากการโลกของคำว่างาน เธอจึงปิดโทรศัพท์เหมือนทุกครั้งเหมือนที่เธอทำเป็นประจำ เธอต้องการตักตวงความสุขโดยที่ไม่มีอะไรมากวนใจ เพราะหากพ้นวันนี้ไป ตื่นมาเธอก็ต้องไปทำงานอีกแล้ว รวมทั้งให้หัวใจของเธอจะได้อยู่อย่างสงบบ้างเพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอต้องคอยเตือนตัวเองไม่ให้หวั่นไหวไปกับสองหนุ่มที่เข้ามากวนหัวใจ เธอไม่อยากสูญเสียความเป็นตัวเองเพราะคารมของผู้ชายที่ไม่รู้ว่าจริงจังกับเธอหรือเปล่า อัญญาแต่งตัวสบายๆ ด้วยกางเกงยีนสีเข้มและเสื้อยืดสีขาวกับรองเท้าผ้าใบคู่โปรด ส่องกระจกเช็คความเรียบร้อยบนใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆเหมือนเช่นทุกวัน บอกลาเจ้าตัวยุ่งและสัญญาว่าจะซื้อขนมมาฝาก ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ส่วนคนถ้ำมองที่คอยเตือนตัวเองว่าอย่าแอบมองเธอมากเกินไปอย่างธีรนนท์นั้น เขาสังเกตเห็นเธอเปิดม่านเพื่อให้แสงสว่างกับนมสด เธอมีท่าทีเหมือนจะออกไปข้างนอก เขาจึงรีบอาบน้ำแต่งตัว เพราะอยากรู้ว่าเธอจะไปไหน เผื่อจะใช้โอกาสนี้ได้ทำคะแนน เพราะเขารู้แล้วว่าเธอยังโสด แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อจะทำเป็นบังเอิญเจอเธอ เอ่ยถามว่าเธอจะไปเที่ยวเหรอ เขากลับเห็นว่าอัญญาไม่ได้ใช้บริการรถตู้ แต่กลับเดินไปที่ลานจอดรถที่ใช้ร่วมกันระหว่างหอพักของเขากับเธอ แถมรถยังจอดอยู่ข้างๆ รถกระบะคันใหญ่ของเขาอีกตั้งหาก แต่ที่เขาเลือกไม่ขับรถไปทำงาน เพราะอยากนั่งรถตู้ไปทำงานพร้อมกับอัญญาให้บ่อยที่สุด และได้แค่ยืนมองรถเธอขับออกไป ทั้งๆ ที่ใจอยากขับตามเธอไป แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ยิ่งตอกย้ำว่าตัวเองนั้นมีอาการทางจิตมากกว่าอาการตกหลุมรักใครสักคน "เต็มถังค่ะ" อัญญาลดกระจกลงมาพนักงานเติมน้ำมันที่ปั๊มเจ้าประจำ เห็นหน้าคุณลุงคนนี้ก็คุ้นๆ ว่าคราวก่อนก็ได้คุณลุงบริการเพิ่มพลังให้รถ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาหากระเป๋าเพื่อหยิบเงิน โดยไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนที่ยืนอยู่อีกช่องของเครื่องจ่ายน้ำมันหยุดสายตาอยู่ที่เธอด้วยความคาดไม่ถึง “ขอบคุณนะคะ” เธอส่งเงินให้ครบตามจำนวน ก่อนจะเร่งเครื่องขับไปบริเวณเติมลมยางรถ ส่วนคนเป็นเจ้าของสถานที่อย่างกฤษนัยเมื่อเห็นว่าอัญญาไม่ได้ขับรถออกไปก็ดีใจยกใหญ่ เขาจึงรีบสั่งงานผู้จัดการปั๊ม เดินด้อมๆ มองๆ เธอเติมลมยางอย่างคล่องแคล่ว บอกตามตรงว่าเขาประทับใจมาก ที่ได้เห็นท่าทางทะมัดทะแมงของเธอตอนนี้ จะหาว่าเขาเวอร์ก็ได้ ผู้หญิงอีกครึ่งโลกก็เติมลมเป็นเองทั้งนั้น แต่ต้องเข้าใจผมหน่อยนะครับ เพราะผู้หญิงที่ผมเคยคบเป็นอีกครึ่งที่เหลือ "ลุงสุขครับ กลับก่อนได้เลยนะครับ ไม่ต้องรอผมแล้ว" กฤษนัยต่อสายไปหาลุงสุขคนขับรถประจำตัวของเขา หลังจากเขาคิดแผนการบางอย่างออก "คุณ!” “สวัสดีครับน้องออม บังเอิญจัง” กฤษนัยยิ้มร่า ทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทั้งๆ ที่บุกรุกขึ้นมาบนรถของคนอื่น “เชิญลงไปเลยค่ะ" อัญญาตกใจสุดขีดเมื่อพบว่าอยู่ดีๆ กฤษนัยก็เข้ามาอยู่ในรถของเธอกะทันหันแบบนี้ “ไม่ถามหน่อยเหรอว่าพี่เข้ามาได้ยังไง” “ไม่” เธอตอบด้วยเสียงที่พยายามใจเย็นที่สุดแล้ว “พี่ก็เปิดประตูเข้ามา เพราะว่าออมไม่ได้ล็อกรถ ส่วนเรื่องที่ทำให้ตกใจ พี่กฤษขอโทษนะครับ" กฤษนัยตอบพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ อัญญา ใกล้และรวดเร็วจนเธอสะดุ้ง "เอาหน้าออกหน้าไป แล้วก็ลงไปจากรถออมด้วยค่ะ" "ได้สิ แล้วน้องออมจะไปไหนคะ พี่ไปด้วยนะ วันนี้พี่ว่าง" กฤษนัยยื่นหน้าออก แต่ไม่ลงจากรถ เขาปรับเบาะให้ถอยไปด้านหลัง เพราะช่วงขาเขายาวกว่าคนที่นั่งตรงนี้ประจำ ซึ่งไม่ใช่ผู้ชายแน่ๆ แถมยังดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดหน้าตาเฉย "ลงไปเลยนะคะ มาทางไหนไปทางนั้น เชิญค่ะ" อัญญาพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยของคนที่นั่งข้างๆ แต่ก็ช้าไป เมื่อกฤษนัยจับมือของอัญญาไว้ได้ทัน "อย่าไล่พี่เลยนะครับ รู้ไหมตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ พี่คิดถึงออมแทบจะบ้าตาย แต่พี่ยังไม่ตาย เพราะบังเอิญเจอออมที่นี่" แต่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร เธอก็ไม่ใจอ่อน และย้ำซ้ำๆ ให้เขาลงจากรถไปได้แล้ว "ทำแบบนี้มันเกินไปนะคะ ลงไปจากรถออมได้แล้วค่ะ" "พี่ไม่ลงหรอก น้องออมจะไปไหนครับ พี่ไปด้วยได้ไหม" กฤษนัยขยับตัวออกห่างจากอัญญามานั่งสบายๆ เขากลัวจะทนไม่ได้กับกลิ่นหอมๆ ที่แก้มจนเผลอใจมองเธอใกล้ๆ อีกครั้ง "ไม่ได้ค่ะ วันนี้ออมมีธุระสำคัญต้องทำ ลงไปเลยค่ะ" "พี่ไม่ลง พี่ขอติดรถไปด้วย น้องออมไปถึงที่ที่น้องออมจะไปแล้วพี่ก็จะลงตรงนั้นแหละ" คราวนี้เขาหันไปส่งสายตาอ้อนๆ ให้เธอด้วย ไหนขอลองดูหน่อยสิ ว่าเธอจะใจแข็งได้นานแค่ไหน "พี่กฤษคะ ออมมีธุ..." "พี่รู้ว่าน้องออมไม่มีธุระอะไรสำคัญหรอกครับ ดูหนูแต่งตัวสิ ใส่กางเกงยีนกับเสื้อยืด แถมใส่รองเท้าผ้าใบที่ไม่ค่อยจะได้ซัก อย่าหาข้ออ้างเลยนะครับ ให้พี่ไปด้วยแล้วกัน" กฤษนัยพูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับก้มมองรองเท้าผ้าใบของอัญญา "พี่ไปกับออมไม่ได้ค่ะ" "ให้พี่ไปด้วยนะครับ พี่สัญญาว่าจะนั่งเงียบๆ แต่ถ้าไม่ให้พี่ไป พี่ก็จะ..." กฤษนัยยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าสวยของอัญญาพร้อมกับดึงมือเธอที่เขากุมไว้มาแนบอก "โอเคค่ะ ให้ไปแล้วค่ะ ปล่อยมือออมแล้วนั่งเงียบๆ ตามที่พูดนะคะ" อัญญามองค้อนคนตรงหน้า โกรธตัวเองที่ทนความตื๊อของเขาไม่ไหวเลยได้แต่ทำหน้าบึ้ง ส่วนกฤษนัยนั้นเอาแต่ยิ้มกว้าง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ ระหว่างทางอัญญาขับรถโดยที่ไม่ได้สนใจท่าทีของคนข้างๆ ตอนนี้หัวใจของเธอเต้นแรงจากความใกล้ชิดที่เขามอบให้เมื่อครู่ แทนที่จะโกรธที่ถูกเขาฉวยโอกาสจับมือ "พี่มาตรวจงานที่ปั๊ม เห็นหนูมาเติมน้ำมันพอดี พี่เลยเดินตามมาที่รถ แล้วก็มานั่งอยู่บนรถน้องออมตอนนี้ไงครับ วันนี้พี่นี่โชคดีจัง คิดว่าจะได้เจอน้องออมตอนไปเซ็นสัญญาที่โรงงานพรุ่งนี้ซะอีก" กฤษนัยที่นั่งเงียบๆ อยู่สักพักก็พูดออกมา "ออมยังไม่ได้ถามเลยนะคะ" อัญญาตอบเรียบๆ ตายังคงจ้องมองถนน แม้จะตกใจที่เขาพูดออกมาเหมือนอ่านใจเธอออก เมื่อกี้นี้เลย สิบวินาทีที่แล้วนี่เองที่เธอสงสัยว่าเขามาทำอะไรที่ปั๊มน้ำมันเดียวกับเธอ "พี่คิดว่าหนูสงสัยซะอีก หน้าหนูมีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด" “เหรอคะ” เธอตอบอย่างยียวน รู้ดีเหลือเกินพ่อคุณ เป็นกูเกิลหรือยังไงกันคะ "น้องออมจะไปห้างดิเอ็มไพร์เหรอครับ" เขาเลิกกวนใจเธอและถามสิ่งที่กำลังสงสัย โดยวิเคราะห์จากเส้นทางที่เธอใช้ "ค่ะ" "พี่มีธุระที่นั่นพอดีเลย" กฤษนัยบอกอย่างเจ้าเล่ห์ ผู้หญิงแสนสวยที่ขับรถอยู่คงไม่รู้ว่าเขาเป็นผู้บริหารที่ห้างแห่งนี้ด้วย "ถ้าถึงห้างแล้ว เราก็แยกกันเลยนะคะ" "ได้ครับ" กฤษนัยตอบลงอย่างว่าง่าย เพราะเขามีแผนการใหม่ในหัว (อีกแล้ว) ยี่สิบนาทีต่อมา อัญญาก็พารถยนต์คันเล็กของตัวเองเข้ามาในห้องสรรพสินค้าชื่อ The Empire (ดิ เอ็มไพร์) เธอมาที่นี่เป็นประจำเพราะอยู่ใกล้ที่พัก แต่ถึงช้าไปสักหน่อยเพราะในวันหยุดรถมักจะติด เพราะห้างตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน เธอเปิดกระจกรับบัตรจอดรถ แปลกใจกับท่าที่ของพนักงานรักษาความปลอดภัย ที่ตกใจเหมือนเห็นอะไรบางอย่างในรถของเธอ “พี่เห็นอะไรบนรถหนูเหรอคะ" เธอกลัวน่ะสิว่าเขาจะเจอเทวดาประจำรถ แต่ถ้าไม่ใช่เทวดาหรือนางฟ้าล่ะก็ เธอจะขับรถออกจากห้างไปวัดให้เร็วที่สุด ส่วนกฤษนัยนั้นเห็นลางซวยอยู่ใกล้แค่เอื้อม มือจึงส่งสัญญาณพนักงานให้แจกบัตรลูกค้าตามปกติ "ดิ เอ็มไพร์ยินดีต้อนรับครับ" "แปลก" อัญญาเผลอพูดคนเดียวออกมา "แปลกยังไงครับ” อัญญาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพียงแค่ไม่ถึงหนึ่งนาทีที่สมองคิดเรื่องอื่น เธอก็ลืมไปเลยว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่บนรถ เธอจึงรีบขับรถวนหาที่จอด แต่ขับขึ้นมาสามชั้นแล้วก็ยังไม่ได้ที่จอดสักที “น้องออมว่ารถเยอะหรือที่จอดรถน้อยครับ” “ก็ต้องที่จอดน้อยสิคะ มาทีไรกว่าจะได้ที่จอดก็วนแล้ววนอีก แต่ก็เข้าใจค่ะว่าพื้นที่มันอำนวยให้สร้างได้แค่นี้” “พี่ว่ารถเยอะก็มีส่วนนะ” “ค่ะ” เธอคลี่ยิ้มแต่สายตานั้นมองเขาอย่างหมั่นไส้ ถ้ามีความคิดเห็นของตัวเองอยู่แล้ว จะถามเธอทำไม แต่เธอก็ไม่หงุดหงิดเขานาน เพราะตอนนี้เธอได้ที่จอดรถเป็นที่เรียบร้อย ว่าแล้วก็ปิดแอร์ กดปุ่มพับกระจกมองข้าง ดับเครื่องยนต์ คว้ากระเป๋าและลงจากรถในทันที "แยกกันตรงนี้เลยนะคะ" อัญญาหันมาพูดกับกฤษนัย ก้าวขาฉับๆ เพื่อทิ้งระยะห่างจากเขาให้มากที่สุด "ขอบคุณมากนะครับ ที่ให้พี่ติดรถมาด้วย" เขาตะโกนตามหลังและคิดว่าเธอได้ยินแน่นอน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เดินกลับมาหาเขา... ไม่ใช่... เธอเดินกลับไปหยิบอะไรบางอย่างในรถต่างหาก "เจอกันเร็วๆ นี้นะครับ" กฤษนัยยิ้มอย่างมีเลศนัย เขารั้งแขนเธอไว้เมื่อเธอกำลังเดินผ่าน และเป็นฝ่ายเดินเข้าห้างไปก่อน ทิ้งให้อัญญาหน้าร้อนผ่าว แค่เขาจับแขนแค่นี้ยังใจเต้นแรงขนาดนี้ ถ้าเขาทำมากกว่านี้ หัวใจจะไม่ทะลุออกมาเลยหรือไง "อย่าเต้นแรงได้ไหม อย่าเต้นแรงได้ไหม" ถ้าหัวใจควบคุมจังหวะการเต้นได้ เธอจะสั่งให้มันเต้นในระดับปกติเดี๋ยวนี้เลย กฤษนัยเดินเข้ามาในห้างอย่างอารมณ์ดี ยิ่งได้เห็นว่าวันนี้มีลูกค้าหนาตาก็มีความสุขมากขึ้นไปอีก เขาเดินไปเรื่อยๆ มองนั่นมองนี่เพื่อสำรวจสถานที่ทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ ก่อนจะกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นสูงสุดของห้างซึ่งเป็นชั้นของผู้บริหาร ทันทีที่เดินเข้าห้องทำงานส่วนตัว มือหนาก็เปิดโปรแกรมที่คอยบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อมองหาอัญญาว่าเธออยู่ตรงไหน เธอเดินตามหลังเขามาแป๊บเดียว มีไม่กี่ที่ที่เธอจะไปได้ เขาเปิดภาพจากกล้องตัวนั้นสลับตัวนี้ไปเรื่อยๆ จนพบว่าเธอกำลังเดินไปที่เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วหนัง เสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาเพื่อไปยังแผนกเสื้อผ้าของห้าง "ธุระสำคัญมาก" กฤษนัยหัวเราะเบาๆ พร้อมกับกดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงาน "ผมกฤษนัยนะครับ ผมอยากได้ตั๋วหนังที่นั่งข้างคุณผู้หญิงเสื้อสีขาวคนเมื่อกี้ จัดการให้ผมหน่อยครับ" กฤษนัยต่อสายตรงไปยังพนักงานที่ทำการจำหน่ายตั๋วหนังให้กับอัญญา ไม่มีอะไรยากในเมื่อคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหารของห้าง แค่ยกหูก็ได้ในสิ่งที่ต้องการภายในเวลาไม่กี่นาที และเมื่อภารกิจดูหนังข้างสาวเสร็จสิ้น เขาก็ก้มหน้าทำงาน ถ้าจะใช้เวลาก่อนหนังฉายที่อีกครั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ดูเธอเดินไปเดินมา คงกลายเป็นโรคจิต ส่วนอัญญาก็เดินชอปปิงจนได้เสื้อผ้าที่ถูกใจ เวลาที่เหลือเธอใช้ไปกับการอยู่ในร้านหนังสือ และเขาก็ต้องตลกกับท่าทางที่กำลังคีบตุ๊กตาอย่างตั้งใจ เธอตั้งใจมาก แต่ก็ยังคีบไม่ได้สักตัว ตลกที่เธอกระโดดโลดเต้นตอนที่เธอคิดว่าจะได้ตุ๊กตา แต่มันก็ตกลงซะก่อน แถมท่าทางลังเลว่าจะแลกเหรียญเพื่อเล่นอีกดีหรือไม่ ก็เรียกเสียงรอยยิ้มจากเขาได้เช่นกัน แต่เธอก็ตัดสินใจเดินออกมา เพราะใกล้เวลาที่จะต้องไปดูหนัง เมื่อเดินเข้ามาในโรงภาพยนตร์อัญญาแอบดีใจที่วันนี้ไม่มีคู่รักหรือกลุ่มเพื่อนมานั่งข้างๆ เรียกได้ว่าทั้งแถวมีเธอนั่งตรงกลาง และมีคู่รักทางฝั่งซ้ายของแถวหนึ่งคู่ เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีจบลงก็มีผู้ชายคนหนึ่ง เดินมานั่งที่นั่งข้างๆ แต่เธอไม่ได้สนใจว่าคนคนนั้นเป็นใคร ตาจดจ่ออยู่กับหนังที่กำลังฉาย จึงไม่รู้ว่าคนข้างๆ คือกฤษนัย ตลอดเวลากว่าสองชั่วโมงตาเธอแทบไม่ละจากจอ มือหนึ่งคอยหยิบป๊อบคอร์นขึ้นมากิน หยิบแก้วน้ำมาดื่มได้อย่างสบาย แม้จะอยู่ในที่แสงน้อยและทำทุกอย่างอย่างเบามือแม้กระทั่งเสียงเคี้ยวข้าวโพดคั่วรสโปรด ซึ่งในขณะเดียวกันนั้น กฤษนัยก็คอยแอบมองเธออยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกผิดสังเกต เขารู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหน เพียงแค่ได้นั่งใกล้ๆ เขาก็หัวใจเต้นแรง ส่วนเนื้อหาของหนัง ไม่น่าสนใจเท่าเธอเลยสักนิด "หนังสนุกไหมครับ" กฤษนัยเอ่ยถามอัญญาตอนที่เธอกำลังจะเดินออกจากโรงหนังไปอีกทางโดยที่ไม่ได้สนใจเขาเลย "...คะ?" "พี่ถามหนูว่า หนังสนุกไหม" "แอบตามออมมาเหรอคะ" อัญญาค้อนใส่กฤษนัยที่ยืนยิ้มอย่างกวนประสาท นี่ถ้าเขาเป็นโจร รับรองว่าเธอไม่รอดชีวิตเพราะการสังเกตและระแวดระวังภัยจากคนแปลกหน้านั้นไม่มีเลย "พี่ทำธุระเสร็จแล้ว พี่ก็อยากพักผ่อนบ้าง บังเอิญจังเลยว่าไหม" กฤษนัยเดินตามอัญญาที่ไม่รอฟังคำตอบของเขา "แล้วน้องออมจะไปไหนต่อคะ" กฤษนัยพูดต่อ แม้รู้ว่าอัญญาจะไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูด “ทำไมต้องพูดคะขาด้วยคะ” “เผื่อว่าน้องออมจะชอบ” “เฮ้อ...” อัญญาถอนหายใจ มันก็ฟังแล้วน่ารักอยู่หรอกนะ แต่เรื่องที่เขาแอบตามเธอมาทำให้เธอหมั่นไส้มากกว่า "ทานข้าวเย็นกับพี่ก่อนได้ไหมครับ" กฤษนัยเอื้อมมือไปจับแขนอัญญา เพราะเขารู้สึกทนไม่ได้ที่เธอหมางเมินทำเหมือนเขาเป็นอากาศเช่นนี้ "ไม่ได้ค่ะ ออมจะกลับแล้ว ปล่อยแขนออมด้วยค่ะ" "ให้พี่ขับรถไปส่งได้ไหม" กฤษนัยพูดกับอัญญาด้วยน้ำเสียงที่เบาลง เพื่อแสดงให้เธอเห็นว่า เขาต้องการอยู่ใกล้เธอแม้เพียงไม่นานก็ตาม สายตาคมของเขาก็จ้องลึกลงไปในดวงตา เพื่อยืนยันความรู้สึกของเขาอีกทาง อัญญานิ่งไปสักครู่ก่อนจะตอบกฤษนัย ถ้าไม่ยอมรับคำขอของกฤษนัยข้อใดข้อหนึ่ง เขาคงตามตื๊อเธอไม่เลิก "งั้นทานข้าวแล้วกันนะคะ แต่พี่กฤษไม่ต้องไปส่งค่ะ" "ตกลงครับ น้องออมอยากทานอะไร ให้พี่ช่วยถือของนะครับ" กฤษนัยยื่นมือไปจับถุงชอปปิ้งที่เธอฝากไว้กับพนักงานด้านหน้าโรงหนัง เธอกำลังจะปฏิเสธ แต่ก็ช้ากว่ามือใหญ่ของกฤษนัยที่เอื้อมไปหยิบของมาถือไว้เอง "ไม่ต้องถือครับ มือที่ว่างของหนู เอามาไว้ที่มือพี่ดีกว่า" กฤษนัยยื่นหน้าเข้าไปใกล้อัญญา พร้อมกับจับมือนุ่มแล้วเดินนำหน้าเธอไป เธอที่ยืนอึ้งอยู่ต้องก้าวเท้าเดินไปตามแรงของเขา "พี่กฤษคะ ปล่อยมือออมได้แล้วค่ะ" อัญญาพูดพร้อมกับพยายามดึงมือออก "คิดได้หรือยังครับว่าจะกินอะไร ถึงร้านแล้วพี่ค่อยปล่อยมือหนู" "กินร้านอาหารญี่ปุ่นข้างหน้านี้ก็ได้ค่ะ" อัญญาเอามืออีกข้างชี้ไปที่ร้านอาหารที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว "ได้เลยครับ ตามใจน้องออมเลย" เขาปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระตามสัญญา เธอก็ทันอุบายเขาพอสมควรเลยนะ รู้ว่าถ้าเลือกร้านอาหารไม่ได้สักที ก็จะโดนจับมือไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นก็เลือกร้านที่อยู่ใกล้ที่สุดไปเลยแล้วกัน ตลอดเวลาที่นั่งทานอาหารด้วยกัน กฤษนัยชวนอัญญาคุยเพราะอยากทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็อยู่ในสายตาของเขาตลอด เสียงของเธอที่ตอบคำถามเขาสั้นๆ นั้น เขาอยากได้ยินมันทุกวัน รอยยิ้มของอัญญาที่ยิ้มออกมาอย่างธรรมชาติ ใบหน้าที่ไม่ต้องเติมแต่งอะไรมาก ทำให้เขานั่งมองได้ไม่เบื่อ เธอคอยเติมน้ำในแก้วที่ใกล้จะหมดให้เขาเรื่อยๆ ใช้กระดาษทิชชูพับเพื่อรองแก้วน้ำของเขาและเธอ เพื่อไม่ให้น้ำที่ละลายเปียกแฉะบนโต๊ะ เธอทำให้เหมือนว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เธอทำกับคนอื่นเป็นประจำ "ให้พี่ขอที่รองแก้วให้ไหมคะ" "ไม่เป็นไรค่ะ ปกติออมมาร้านนี้ เค้าก็ไม่มีที่รองแก้วอยู่แล้วค่ะ" อัญญาตอบพร้อมกับคีบปลาแซลมอนเข้าปาก "ยิ้มอะไรคะพี่กฤษ" "เปล่าครับ น้องออมกินต่อเลย" กฤษนัยตอบเมื่อเห็นท่าทีเขินอายของอัญญา "ออมพอแล้วแหละค่ะ ที่สั่งมานี่ออมก็กินคนเดียวเลย" "งั้นพี่เรียกพนักงานให้เก็บเงินเลยนะคะ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง" "จริงๆ ออมไม่อยากให้พี่กฤษเลี้ยงเลยนะคะ เพราะพี่แทบจะไม่ได้ทานเลย แต่ออมพูดไปก็คงไม่มีประโยชน์" อัญญาตอบพร้อมกับทำหน้ากวนๆ แต่เธอหมายความตามที่พูดจริงๆ "ขอบคุณนะครับที่ไม่ดื้อ" กฤษนัยเชื่อในสิ่งที่อัญญาพูดและประทับใจที่เธอรู้ทันว่าหากเธอปฏิเสธ เขาก็จะยืนยันที่จะจ่ายเงินจนกว่าเธอจะยอมแพ้ "อ้าว คุณกฤษ วันนี้ลมอะไรพัดมาทานอาหารที่ร้านผมครับ" เจ้าของร้านวัยกลางคนเดินเช็คความเรียบร้อยในร้านร้องทัก เมื่อเห็นหนึ่งในผู้บริหารห้างที่เขาเช่าพื้นที่เพื่อเปิดร้านอาหารแห่งนี้ “วันนี้อยากกินอาหารญี่ปุ่นคุณภาพดีน่ะครับ” “โอ้โห! ขอบคุณครับ” เขาตอบรับก่อนจะหันไปมองคนที่มากับกฤษนัยด้วย "ผมไม่เคยเห็นคุณกฤษนัยควงผู้หญิงคนไหนครับ คนนี้คนพิเศษใช่ไหมครับ" ประโยคนี้ทำให้อัญญาที่ดื่มน้ำอยู่เกือบสำลัก "นี่น้องออมครับ ว่าที่แฟนของผม" กฤษนัยตอบเจ้าของร้านอย่างตรงไปตรงมา ทำให้อัญญาสำลักน้ำอีกรอบ "เป็นอะไรหรือเปล่า" กฤษนัยหันไปถามเธอด้วยความเป็นห่วง "ไม่เป็นไรค่ะ" อัญญาพูดพร้อมกับรับกระดาษทิชชูที่กฤษนัยยื่นให้ "คุณออมเป็นผู้หญิงที่โชคดีมากครับ คุณกฤษเป็นคนช่างเลือก แล้วอาหารอร่อยไหมครับ มีอะไรติชมหรือว่าแนะนำหรือเปล่าครับ" "อร่อยมากค่ะ ปกติก็มาทานกับเพื่อนค่ะ" อัญญาพนักหน้าตอบเจ้าของร้าน ส่วนสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้เธอขอไม่ออกความเห็นอะไรก็แล้วกัน "ผมว่าทางร้านมีที่รองแก้วก็ดีนะครับ น้ำที่ละลายจะได้ไม่เลอะบนโต๊ะ ต้องคอยเอาทิชชูเช็ดตลอดเลย ดูสิครับ" กฤษนัยแนะนำเจ้าของร้านพร้อมกับชี้ให้ดูกระดาษทิชชู่เปียกยุ่ยบริเวณใต้แก้วน้ำ แต่อัญญากลับรู้สึกว่าเป็นคำสั่ง จนอดสงสัยว่าเขามีความสัมพันธ์กับเจ้าของร้านในระดับไหน ถึงกล้าบอกอย่างตรงไปตรงมา "ได้ครับ ผมจะรีบจัดการ ขอบคุณที่แนะนำนะครับ" "ครับ งั้นผมกับน้องออมขอตัวก่อนนะครับ" กฤษนัยบอกลาเจ้าของร้าน ก่อนจะเดินไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า "ทำไมพี่กฤษบอกเจ้าของร้านเหมือนออกคำสั่งเลยล่ะคะ เราแนะนำเค้าดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องทำเสียงดุเลย" อัญญาถามด้วยความสงสัย "ไม่ได้หรอกครับ ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าลูกค้าไม่ประทับใจในการบริการ เค้าก็อาจจะไม่มาใช้บริการอีก ถ้าไม่ใช้บริการอีก ลูกค้าก็เข้าร้านน้อย เมื่อลูกค้าน้อย ยอดขายก็ลด ทางร้านก็อาจจะมีปัญหาด้านการเงิน แล้วก็อาจจะไม่มีเงินมาจ่ายค่าเช่าที่ให้กับห้าง รายได้ของห้างก็ลดลง ที่พี่แนะนำไปตรงๆ มันก็เป็นประโยชน์ทั้งกับร้านเอง แล้วก็ห้างด้วย และอีกอย่างเราเป็นผู้บริโภค เรามีสิทธิ์เรียกร้องอะไรที่เราควรจะได้รับ" "พูดอย่างกับตัวเองเป็นผู้บริหารที่นี่เลยนะคะ" "จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ" กฤษนัยหันไปสังเกตท่าทีของอัญญา เธอจะเป็นยังไงหากรู้ว่าเขาทำงานที่นี่ แต่เธอก็เงียบไป เพราะกำลังทบทวนความพูดของเขา “จริงด้วยค่ะ ถ้าเราเป็นผู้บริโภคขี้เกรงใจ เราก็จะถูกเอาเปรียบ” “ครับ” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเธอพูดในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาคิดเลย "เอ๊ะ!” เธอหยุดเดินและหันมามองหน้าเขาอย่างพิจารณา “เมื่อกี้พี่บอกว่าพี่เป็นผู้บริหารที่นี่เหรอคะ” “ครับ” “มิน่าล่ะ! พี่กฤษถึงรู้ว่าออมมาดูหนัง" จากสถานการณ์ที่กำลังไปได้สวย พอรู้ว่าเขาเป็นไอ้พวกถ้ำมองอัญญาก็ทำหน้าบูดบึ้งใส่เขาทันที "อย่าโกรธพี่เลยนะ ตอนนี้พี่ยังไม่สำคัญมากพอที่ออมจะบอกพี่ว่าออมไปไหน ไปทำอะไร พี่เลยต้องแอบมองแบบนี้ แต่อีกหน่อยถ้าเราสนิทกันมากขึ้น พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำตัวเป็นโรคจิตอีกแล้ว" "ไม่โกรธหรอกค่ะ เรื่องนี้หายโกรธไปแล้ว" อัญญาตอบกฤษนัยตามความรู้สึกจริงๆ การทำตัวเป็นผู้หญิงนิสัยน่ารำคาญ ไม่ใช่ตัวตนของเธอ ด้านกฤษนัยที่ได้ยินคำตอบก็รู้สึกดีที่อัญญามีเหตุผล ไม่ใช้แต่อารมณ์ในการตัดสินใจ "พี่กฤษคะ ออมขอตัวกลับเลยนะคะ ไปช้ากว่านี้ กลัวรถจะติดค่ะ" เธอรีบบอกเมื่อคิดได้ว่าใช้เวลาอยู่กับเขานานเกินไปแล้ว "ได้ครับ พี่เดินไปส่งที่รถนะ" กฤษนัยตอบตกลง แม้ใจจริงอยากจะรั้งเธอไว้ก็ตาม เขาเดินมาส่งอัญญาที่ลานจอดรถ พร้อมกับขอร้องให้เธอบอกเขาด้วยเมื่อเธอถึงที่พัก ซึ่งเธอก็ตอบรับ ก่อนจะขับรถออกจากห้าง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD