"เด็กนั่นไปไหน" รัณย์ถามพนักงานสาวหน้าตาตื่นเมื่อกลับเข้ามาแล้วไม่เจอภิณอยู่ในห้อง เค้กกับแก้วชาเขียวก็ยังวางอยู่
"ออกไปแล้วค่ะ ก่อนที่คุณอารัณย์จะกลับเข้ามาแค่แป๊บเดียว" หนึ่งในพนักงานสาวตอบคนเป็นเจ้านาย
"ไหนบอกจะอยู่ถึงสองทุ่มไงวะ ยัยเด็กเลี้ยงแกะ" คนตัวสูงบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างรู้สึกหงุดหงิดก่อนที่ขายาวๆ จะก้าวออกไปนอกร้าน
แค่คิดว่าพรุ่งนี้เธอจะไม่มาหาเขา หัวใจก็ไหวสะท้านความรู้สึกโถมทะลักเข้ามา ยิ่งนึกถึงแววตาคู่งามที่วูบไหวเพราะคำพูดของเขาก็ยิ่งนึกโทษตัวเองที่ไม่ใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่า ดวงตาคู่คมกวาดมองไปรอบๆ พร้อมสองขาที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ก็ไม่เจอเธอ จนเขาถอดใจเดินกลับไปยังร้านจิลเวลรี่ของตัวเอง
"ลุงไปไหนมา? ทำไมเหงื่อเต็มหน้าเลย? ร้อนเหรอ?" ทันทีที่เขาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงเล็กใสก็ดังขึ้นพร้อมคำถาม คนตัวเล็กนั่งดูดชาเขียวปั่นจนเกือบจะหมดแก้วอย่างสบายอารมณ์อยู่บนโซฟา
"ภิณเช็ดให้" คนตัวเล็กเดินไปหาคนตัวสูง ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงขาสั้นของตัวเองขึ้นมาซับใบหน้าหล่อเหลาที่มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วใบหน้า เสื้อเชิ้ตสีขาวชุ่มไปด้วยเหงื่อ
"จะได้เช็ดถนัดๆ" ร่างสูงอุ้มคนตัวเล็กขึ้นไปนั่งบนโต๊ะทำงานของเขาโดยมีสองแขนแข็งแรงวางขนาบสะโพกมน ดวงตาคู่คมมองจ้องดวงหน้าของคนตัวเล็กไม่วางตา มือเล็กนุ่มนิ่มบอบบาง หัวใจแกร่งพลันรู้สึกวูบวาบ รอยยิ้มของเธอทำให้หัวใจเขาปลิดปลิว
"ไปไหนมา" น้ำเสียงทุ่มถามโดยที่ไม่ละสายตาไปจากใบหน้าจิ้มลิ้ม
"ไปห้องน้ำ" แล้วจู่ๆ มือเล็กก็ยกขึ้นมาแนบที่หน้าผากกว้าง แตะสัมผัสสองสามที
"ทำไม..." รัณย์จะเอ่ยถาม เพราะเขาก็ไปห้องน้ำมาเหมือนกัน ทำไมถึงไม่เจอเธอ แต่ก็ไม่ทันจะได้ถามเมื่อเธอพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
"ตัวก็ไม่ร้อนนี่ หรือว่าหัวลุงไปกระแทกอะไรมา ...ตอนลุงไปข้างนอกหัวลุงไปกระแทกอะไรมาหรือเปล่า ทำไม..." เสียงใสพึมพำกับตัวเองก่อนจะเอ่ยถาม คำถามของเธอทำให้คิ้วหนาขมวดกันเป็นปม สติที่หลุดลอยไปกลับคืน
"กลับไปได้ละ ฉันก็จะกลับเหมือนกัน" รัณย์ผละตัวออกจากคนตัวเล็กเอนหลังพิงพนัก สีหน้าของเขาดุดันเหมือนอย่างเคย ตอนนี้เขาเหนียวตัวมากอยากจะอาบน้ำ เขาไม่ชอบที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อแบบนี้
"ลุงจะกลับไปไหน ก็ภิณบอกแล้วไงว่าจะอยู่กับลุงถึงสองทุ่ม" คนตัวเล็กถามปากยู่
"คอนโด"
"ภิณไปด้วย"
"ไปไม่ได้
"ทำไม?"
"ไม่ได้ก็คือไม่ได้ อย่าถามมาก"
"ภิณจะไป"
"ไม่ให้ไป"
"จะไป"
"อย่าดื้อ"
"ภิณไม่ได้ดื้อ ก็ภิณจะไปด้วย"
"ที่เธอเถียงฉันอยู่เนี่ยเขาเรียกว่าดื้อ"
"ลุงมีเมียมีลูกอยู่ที่ห้องเหรอ ถึงไม่อยากให้ภิณไป"
"ไม่มี"
"ไม่มี งั้นภิณไปได้"
"ไม่ได้"
"ลุงพูดไม่รู้เรื่อง"
"ใครกันแน่ที่พูดไม่รู้เรื่อง โธ่เว้ย! ไม่กลับแล้วก็ได้ว่ะ กลับไปนั่งที่เดิมเลย แล้วก็หุบปากไว้ด้วย ถ้าได้ยินเสียงจะจับทุ่มออกไปนอกร้านเลย เถียงเก่งฉิบ หน้ามึนจริงๆ" รัณย์อุ้มภิณลงจากโต๊ะทำงาน จับหันหลังแล้วผลักเบาๆ
"ไล่เก่งจริงๆ หัวก็ร้อนง่ายจริงๆ ถ้าภิณหายไปอย่ามาคิดถึงกันนะ" คนตัวเล็กสะบัดหน้าพรืดเดินไปนั่งโซฟา แล้วหยิบเค้กชิ้นใหม่ออกมากิน
หัวใจแกร่งกระตุกวูบ ปั่นป่วนว้าวุ่นอย่างไม่ควรจะเป็นเพราะคำพูดของเธอ
"ไม่เจอกันก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนเลวที่คิดอกุศลกับเด็กอย่างเธอ" ดวงตาคู่คมมองจ้องสาวน้อยที่ตักเค้กเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ ถ้าไม่มีเธอเขาคงจะจัดการอารมณ์ ความรู้สึกที่ไม่เคยเป็นมาก่อนของตัวเองได้
"ลุง ภิณหิวข้าว" หลังจากนั่งกินเค้กหมดไปเกือบสิบชิ้น เวลาผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงคนตัวเล็กก็ร้องหิวข้าวขึ้นมา
"หิวก็ไปกินสิ จะมาบอกฉันทำไม" รัณย์ตอบโดยที่สายตาไม่ได้ละไปจากงานตรงหน้า ทั้งที่ในความเป็นจริงเขาชำเลืองมองคนตัวเล็กเป็นระยะๆ
"ลุงไม่หิวเหรอ ภิณเห็นลุงเอาแต่วาดรูป ลุงวาดสวยจัง ของในร้านลุงออกแบบเองหมดเลยเหรอ ลุงออกแบบให้ภิณบ้างสิ แบบภิณจะเหมาะกับเครื่องประดับแบบไหน แต่ตอนนี้เราไปกินข้าวกันก่อนนะ นะลุงนะ" ภิณเดินมายืนข้างๆ คนตัวสูง โน้มตัวเข้าไปใกล้ จนเขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเธอ ทำให้รู้สึกปั่นป่วนใจขึ้นมา มือเล็กนุ่มนิ่มจับท่อนแขนแข็งแรงพร้อมทั้งเขย่าเบาๆ
"วุ่นวายจริงๆ" รัณย์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง กระแทกเสียงใส่คนข้างๆ อย่างหงุดหงิดรำคาญ สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกจากห้องทำงาน ภิณรีบเดินตามไปเกาะแขนเขาทันที
"ลุง ภิณอยากไปดูตรงนั้น คนมุงดูกันเต็มเลย" ภิณชี้ไปทางเวทีกลางห้างสรรพสินค้าที่วันนี้มีงานอีเว้นท์เปิดตัวสินค้า มีดารานักร้องชื่อดังมาร่วมงานกันหลายคน
"ไหนบอกว่าหิวข้าว" รัณย์ถามเสียงหน่ายๆ เด็กก็คือเด็ก เห็นเขากรี๊ดกราดดารา นักร้อง ก็ไปกรี๊ดกราดตามๆ กัน
"ก็หิว แต่อยากดูว่าเขาทำอะไรกัน กรี๊ดกันใหญ่เลย" คนตัวเล็กฉุดกระชากลากถูคนตัวสูงให้ไปกับเธอจนได้ แต่ตอนนี้ความสูงของเธอกำลังเป็นอุปสรรค เธอมองไม่เห็นหน้าเวทีเลยด้วยจำนวนคนที่มุงดูกันอย่างล้นหลาม ทั้งชะเง้อคอมอง เขย่งปลายเท้า จนตอนนี้กระโดดเหยงๆ ก็ยังไม่เห็น
คนตัวสูงยืนซ้อนหลังคนตัวเล็กที่กระโดดเหยงๆ มือหนาจับประคองที่เอวเล็ก เธอหันมามองการกระทำของเขาด้วยความงุนงง แล้วตัวของเธอก็ลอยละลิ่วขึ้นไปนั่งบนบ่าแกร่ง มือหนาคอยประคองไว้ไม่ให้เธอหงายหลัง จนตอนนี้เธอสามารถมองเห็นเวทีที่นักร้องกำลังร้องเพลงได้ชัดเจน คนตัวสูงยืนนิ่งหน้าตาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ทำเป็นไม่สนใจรอยยิ้มสดใสของคนตัวเล็กที่ยิ้มให้เขาอย่างปลาบปลื้ม
"ลุงไปกินข้าวกัน" คนตัวเล็กเอ่ยบอกเมื่อดูการแสดงของดารา นักร้องจนพอใจ
"ภิณอยากให้ลุงอุ้ม" เรียวแขนเล็กโอบรอบลำคอแกร่ง ส่วนขาเรียวเล็กเกี่ยวกระหวัดเอวสอบของคนตัวสูงไว้แน่นไม่ยอมปล่อยในท่าหันหน้าเข้าหากัน คนตัวสูงจับเอวเล็กเอาไว้เหมือนผู้ใหญ่อุ้มเด็ก
"เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะที่จะต้องอุ้ม" น้ำเสียงเย็นชาบอกคนตัวเล็กที่กอดรัดเขาแน่น จนหน้าอกนุ่มนิ่มของเธอปะทะกับแผงอกอันแข็งแกร่งอย่างที่เจ้าตัวไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ไม่ใช่กับเขา ยิ่งเธอแนบชิดเขามากเพียงใดหัวใจแกร่งก็ยิ่งไหวสะท้าน ปั่นป่วนอย่างถึงที่สุด
"ไหนลุงบอกว่าภิณเป็นเด็กไง แล้วทำไมตอนนี้มาบอกว่าภิณไม่ใช่เด็ก ตกลงลุงจะเอาไงแน่" คนตัวเล็กผละตัวออกจากแผงอกอุ่น แขนเรียวเล็กยังคงโอบรอบลำคอแกร่ง ขายังเกี่ยวกระหวัดไว้แน่น เอ่ยถามด้วยใบหน้ายียวนมองเขาตาไม่กะพริบ
"เฮ้อ! ไปกินข้าว" รัณย์ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ยอมอุ้มเธอด้วยท่านี้ไปตลอดทาง คนตัวเล็กยิ้มกริ่มอย่างพอใจที่เขายอมอุ้มเธอ ใบหน้าจิ้มลิ้มซบกับบ่าแกร่งกระชับเรียวแขนให้แน่นขึ้น
"ลุง ภิณจะกินร้านนั้น" ภิณชี้ไปยังร้านอาหารที่พึ่งเดินผ่านมา เขาก็อุ้มพาเธอเดินกลับไปตามความต้องการ
"สั่งสิ" รัณย์บอกคนตัวเล็กที่มองเมนูอาหารด้วยความตื่นตาตื่นใจน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"กุ้งชุบแป้งทอด ต้มยำกุ้ง ฉู่ฉี่กุ้ง กุ้งผัดพริกเกลือ แล้วก็กุ้งกรอบซอสครีมเลมอนค่ะ ลุงเอาอะไร" ภิณสั่งของชอบของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยถามคนหน้านิ่วคิ้วขมวดตรงหน้า
"อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เมนูสารพัดกุ้งที่เธอสั่งมา"
"ทำไมล่ะ ลุงไม่ชอบกุ้งเหรอ อร่อยนะ ภิณชอบกินกุ้งที่สุดเลย"
"แต่ฉันเกลียดกุ้งที่สุด ...แกงจืดไข่ม้วนหมูสับกับผัดผักรวม ข้าวเปล่าสอง แล้วก็น้ำเปล่า" รัณย์บอกก่อนจะหันไปสั่งออเดอร์กับบริกรสาว
"ภิณอยากกินชาเขียวด้วย"
"ตามนั้นครับ" รัณย์เลื่อนเมนูคืนบริกรสาว ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น
"ลุงไม่กินเผ็ดเหรอ แล้วลุงก็แพ้กุ้งด้วยใช่ไหม"
"อืม" เขาตอบรับเสียงในลำคอ
"ภิณจะจำไว้ วันหลังถ้ามากินข้าวกับลุงภิณจะได้ไม่สั่งกุ้งกับของเผ็ดๆ" รัณย์มองหน้าภิณที่ยิ้มแป้นจนตาหยี รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจแกร่งของเขาหวั่นไหว รอยยิ้มที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง รอยยิ้มที่ทำให้เขานึกอยากจะจับเธอกลืนกินไปทั้งตัว แต่ก็ต้องหักห้ามใจของตัวเองเพราะเธอคือเด็กน้อยที่อายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น
หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จก็ถึงเวลาที่ภูต้องมารับลูกสาวกลับบ้าน และเขาก็ยืนรอลูกสาวอันเป็นที่รักอยู่หน้าร้านอาหารนั้น
"ลุง ภิณกลับก่อนนะ ถ้าลุงคิดถึงภิณลุงก็เอากล่องดนตรีที่ภิณเคยให้ขึ้นมาดูนะ" น้ำเสียงใสๆ บัดนี้เกิดอาการสั่นไหว เช่นเดียวกับหัวใจดวงน้อยของเธอ
"ใครจะไปคิดถึงเด็กแบบเธอกัน" น้ำเสียงเย็นชาไร้เยื่อไยของเขาช่างบาดหูคนฟังยิ่งนัก
"แต่ภิณต้องคิดถึงลุงมากแน่ๆ เลย แล้วภิณก็ไม่มีของของลุงเลยสักชิ้น ลุงมีอะไรจะให้ภิณไหม"
"ไม่มี กลับไปได้แล้ว พ่อของเธอรออยู่" สีหน้าของรัณย์เฉยเมย ไม่แสดงความรู้สึกใด พูดจบเขาก็หันหลังให้เธอ และเดินจากไปทันทีด้วยหัวใจที่ดิ่งวูบกะทันหัน พรุ่งนี้เขาจะไม่มีเธอมาคอยกวนใจ และอีกไม่รู้ว่าอีกกี่คืนกี่วันที่เธอจะไม่มาหาเขา