มิรินเดินตามร่างของมะเฟืองและลุงน้อยมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องรับแขกที่เปิดกว้างเอาไว้ ความประหม่ากำลังกัดกินไปทั่วทั้งหัวใจและความรู้สึกอย่างอำมหิต สองมือเล็กที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อ ความจริงหล่อนไม่ควรจะรู้สึกแบบนี้เลย เพราะผู้ชายที่อยู่ในห้องเบื้องหน้าก็คงจะเป็นแค่ลุงหรือไม่ก็คุณตาแก่ๆ วัยใกล้เคียงกับคุณย่าผู้ล่วงลับของตัวเอง และที่หล่อนเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อนำจดหมายมาให้เท่านั้น
แล้วทำไม? ทำไมจะต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากหน้าอก
หล่อนกำลังเป็นอะไรไปนะ?
ร้องถามตัวเองซ้ำอยู่หลายครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่มีคำตอบใดเกิดขึ้นภายในสมองเลย
“เชิญค่ะคุณมิริน”
มะเฟืองรีบหันมาหา หลังจากที่เดินเข้าไปรายงานเจ้าของไร่ชาอีเมอร์สันเรียบร้อยแล้ว
“ขอบใจจ้ะมะเฟือง ขอบคุณคุณลุงน้อยด้วยค่ะ”
มิรินหันไปยกมือไหว้ลุงน้อยอีกครั้ง ซึ่งชายวัยกลางคนก็ยกมือขึ้นรับไหว้ในทันที
“ผมทำตามหน้าที่เท่านั้นครับ ขอตัวครับ ไปนังมะเฟือง คุณฟิกซ์เรียกค่อยกลับมา”
“แต่ว่า...” มะเฟืองทำท่าจะอยู่ยาว แต่พอเห็นสายตาดุๆ ของลุงน้อยก็จำต้องพยักหน้า และเดินตามออกไป
ในที่สุดก็เหลือมิรินคนเดียวที่หน้าห้องรับแขก หญิงสาวก้มหน้าลงมองเนื้อตัวของตัวเอง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกความมั่นใจให้ฮึกเหิมขึ้น
“เอาน่า เขาจะต้องใจดีแน่ๆ”
บอกตัวเองอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะตัดสินใจก้าวผ่าวเข้าไปภายในห้องรับแขกกว้าง ความหรูหราที่ถูกตกแต่งด้วยงานไม้เสียส่วนใหญ่ ทำให้อดมองอย่างชื่นชมไม่ได้ รอยยิ้มจึงเกลื่อนใบหน้า จนไม่ทันได้เห็นสายตาเย็นชาจากผู้ชายที่นั่งตัวตรงรออยู่ที่โซฟาด้านริมของห้อง
“คุณมาพบผม หรือว่าเข้ามาเพื่อดูความโอ่อ่าของรับแขกของผมกันแน่ครับคุณผู้หญิง”
ความตื่นตาตื่นใจของมิรินจางหายไปในทันที หล่อนยืนนิ่งตั้งสติ ก่อนจะค่อยๆ หมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงห้าวไม่เป็นมิตร เสียงที่บอกให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนอายุเกินห้าสิบปีอย่างที่หล่อนพยายามเข้าใจมาตลอด
แต่นั่นก็ยังไม่ตลกเท่ากับว่าผู้ชายที่หล่อนสู้อุตส่าห์เดินทางมาหานับพันกิโลเมตรจะเป็นเขา ไอ้ผู้ชายไร้มารยาทที่ขับรถเฉี่ยวหล่อนจนหัวเข่ายังไม่คลายระบมเมื่อตอนเย็นของวันนี้
“นี่คุณ...”
ฟีนิกซ์ก็คาดไม่ถึงว่ายายผู้หญิงปากร้ายที่เดินทะเล่อทะล่ามาขวางทางรถวิ่งภายในอาณาจักรของตัวเองจะเป็นคนที่มาขอพบ
“นี่เธอ...”
ร่างสูงใหญ่ในชุดลำลองสะอาดผุดลุกขึ้นยืนตะหง่าน จ้องมองดวงหน้าซีดสลับแดงของมิรินอย่างแปลกใจ
“เธอคือคนที่มาขอพบฉันหรือ”
“แล้ว... แล้วคุณคือ...”
หญิงสาวอึกอัก อึดอัด และไม่อยากคิดว่ามันจะเป็นความจริง
“คุณคงไม่ใช่... เจ้าของไร่ชาอีเมอร์สันใช่ไหมคะ”
มิรินภาวนาอย่างหนักหน่วงภายในใจ ให้สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้าเป็นแค่ความเข้าใจผิด แต่ว่า...
“ฉันคือเจ้าของไร่ชาอีเมอร์สัน”
ต่อให้ล้มลงแล้วหัวฟาดลงไปบนพื้นยังไม่รู้สึกมึนงงเท่ากับสิ่งที่ได้ยินในตอนนี้เลย มิรินอ้าปากพะงาบตกใจ
“คุณคือ...”
“ฟีนิกซ์ อีเมอร์สัน”
เขาประกาศชื่อเสียงกึกก้องดังใส่หน้าของหล่อน
“ฟีนิกซ์ อีเมอร์สัน...”
มิรินทวนชื่อของพ่อรูปหล่อตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนไร้สติ ฟีนิกซ์เห็นแล้วก็แค่นยิ้มหยัน
“และก็เป็นเจ้าของรถคันที่เธอเดินทะเล่อทะล่าเข้ามาขวางทางด้วย”
พอถูกเขาหยิบยกประเด็นร้อนขึ้นมา หล่อนก็ได้สติและอารมณ์ก็เริ่มเดือดปุดๆ อย่างไม่อาจจะห้ามได้
“ฉันเนี่ยนะเดินทะเล่อทะล่า คุณต่างหากที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ ในเขตชุมชนแบบนี้ขับเร็วได้ยังไงกัน มันผิดกฎหมายนะคะ”
มิรินโต้แย้งอย่างไม่ยอมแพ้
ฟีนิกซ์แค่นยิ้มหยันอีกครั้ง พลางยกมือขึ้นกอดอก ท่าทางเย่อหยิ่งถือเนื้อถือตัวพุ่งเข้าใส่คู่สนทนาสาวจนเจ้าหล่อนแสบตา
“ต่อให้ผมเหยียบเป็นร้อยในอาณาจักรของตัวเอง ก็คงไม่ผิดกฎหมายหรอกมั้ง คุณต่างหากที่บุกรุกเข้ามา”
“ฉันไม่ได้บุกรุก บอกแล้วไงล่ะว่าฉันมาขอพบเจ้าของไร่ชาอีเมอร์สันนะ”
“ก็ผมไง เจ้าของไร่ชาอีเมอร์สัน”
จะโต้แย้งออกไปอีกก็ต้องรีบหุบปากลงในทันที เพราะตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ฉันก็ไม่อยากจะเข้ามาที่นี่นักหรอก ถ้าไม่มีธุระน่ะ”
ฟีนิกซ์ระบายยิ้ม พลางกวาดสายตามองร่างอรชรมอมแมมตรงหน้าด้วยสายตาประเมินราคา
“ปกติผู้หญิงที่เดินทางเข้ามาหาผมที่ก็คงมีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละ”
คนถูกมองหน้าแดงก่ำ ด้วยความอับอาย และแน่นอนว่าเข้าใจความหมายของพ่อเจ้าประคุณดี
ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาจะหลงตัวเองแบบนี้ ในเมื่อพ่อคุ๊ณพ่อทูนหัวหล่อลากไส้ลากตับเหลือเกิน เทพบุตรยังหล่อน้อยกว่านี้เลย โอ้ พระเจ้านี่หล่อนกำลังตกหลุมเสน่ห์หมอนี่อย่างนั้นหรือ
ไม่ ไม่ ไม่... หล่อนก็แค่มา... มาส่งจดหมายของคุณย่าให้กับเขาเท่านั้น และก็จะจากไป
มิรินปฏิเสธลั่นอก แต่กระนั้นก็รู้ดีว่าหัวใจของตัวเองเริ่มจะไม่เหมือนเดิมอีกแต่ไปแล้ว
“ฉันรู้นะว่าคุณกำลังหมายถึงอะไร แต่ฉันไม่ใช่แบบนั้น”
“คุณจะบอกผมว่า คุณไม่ได้มาที่นี่เพราะต้องการให้ผมลากขึ้นเตียงอย่างนั้นน่ะหรือ”