“ทำไมครับพี่ใหญ่สนใจด้วยหรือว่าผมจะไปไหนมาไหน” เลยเกิดอยากกวนพี่ชายเมื่อเห็นเขาอารมณ์เครียดสีหน้าตึงก็อยากจะเย้าแหย่กลับไป หากหารู้ไม่ว่ายิ่งจุดไฟโทสะของอีกฝ่ายให้กระพือโหมหนักกว่าเดิม
“ไอ้นี่ ชักจะปากเก่งขึ้นแล้วสินะ ถึงกับย้อนใส่ฉันนี่ ขอถามแกดีๆนะเจ้าพล” เขาตีสีหน้าเคร่งใส่น้องชายและพยายามจับผิด
“อ้าว ก็ผมไปหาเพื่อนมาครับ” ด้วยความที่ไม่อยากจะให้มีเรื่องมากกว่านั้น บานปลายจึงก้มหน้ายอมรับและมีสีหน้าแบบเกรงอยู่มาก เนื่องจากเป็นพี่ชายและพี่ชายคนนี้ข่มเขาได้อยู่ตลอดเวลา อีกอย่างจอมภูในฐานะพี่ใหญ่เป็นคนที่ในครอบครัวยอมรับ
และมีหน้าที่การงานมั่นคงรวมทั้งได้รับคำกล่าวชมเชยจากพ่อแม่แตกต่างไปจากภูวพลน้องชายที่มักถูกยกเปรียบเปรยให้เห็นความแตกต่างมันเหมือนกับเป็นคำที่กดดัน เพราะว่าเขาไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ครอบครัวเท่านั้นที่เป็นคนสร้างสมมา และเขาเป็นคนหนึ่งที่เหมือนกับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดในตระกูลเศรษฐี
แต่คำพูดที่เหมือนกับถากถางก็ยังคงก้องอยู่ในใจ เป็นเรื่องที่ภูวพลต้องเก็บความน้อยใจเอาไว้ ว่าสักวันหนึ่งเขาจะทำให้ได้เหนือกว่าพี่ชายคนโตนี้อีก
และไม่ต้องให้คนในครอบครัวต้องคอยปรามาส ว่าเขาไม่สามารถสู้พี่ชายคนนี้ได้
“เพื่อนแบบไหน เอ เพื่อนผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย”
“เอ ทำไมพี่ใหญ่ซักละเอียดอย่างนั้น ผมบอกว่า เพื่อนก็เป็นเพื่อนซี”
เหมือนเขาหงุดหงิดไม่พอใจที่พี่ชายจะถามแบบเจาะลึก จอมภูยิ้มหยันสีหน้าเครียด
“ก็ไม่เป็นไร ฉันเป็นพี่แก ก็ย่อมอยากรู้ทุกอย่างของน้องชาย”
“แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวของผม”
เขาเผลอตัวเถียงพี่ชายออกไป
“นี่แกยังเถียงฉันอยู่อีกหรือ แสดงว่าแกต้องมีความลับที่พยายามจะปกปิดฉันอยู่”
หากแต่จอมภูยังจ้องสีหน้าเขม็งเอื้อมมือคว้ากีต้าร์ของน้องชายออกจากมือด้วยอารมณ์ถือดี อย่างโกรธจัดที่น้องชายไม่ฟังเขาเลยและเขาดึงเอากีต้าร์ตัวนั้นมาวางบนพื้นใกล้ตัว เป็นการตัดความสนใจของน้องชายจากสิ่งอื่นเพื่อสนใจเขาตรงหน้าเพียงอย่างเดียว เพราะเขาต้องนั่งก้มหน้าเพื่อให้พี่ชายซัก หากเมื่อจอมภูรุกหนักเหมือนจะเล่นแรงกับน้องชาย
“ก็มี แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม”
“ฉันขอถามแกตรงๆเป็นผู้หญิงหรือเพื่อนผู้ชาย หรือว่าแกจะมีแฟนแล้วแกแน่ใจแค่ไหนกับผู้หญิงที่แกเรียกว่าเป็นแฟนและแกนึกว่าฉันแล้วก็พ่อแม่จะยอมรับหรือยังไง”ภูวพลหน้าหงิกหงอยเศร้าทันควัน
“ขอบอกว่าฉันไม่ยอมรับในฐานะฉันเป็นพี่ชายของแก แกต้องทำงานก่อน แล้วแกคิดว่าผู้หญิงคนนั้นดีแค่ไหน ถ้าไม่คิดจะจับแก”
“พี่ใหญ่อย่ามองคนอื่นในแง่ลบเลยน่า ผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไร และผมกับเธอรักกัน และจะรักกันให้ได้ ถึงมีใครขวาง ผมก็ยอมที่จะออกไปอยู่ข้างนอก”
“นี่แกกำลังตาบอด เพราะผู้หญิงยังงั้นรึ ภูวพล”
“เรียกว่าความรักดีกว่า ผมกับเธอรักกัน และรักกันมาก”
“รักนะหรือ”พี่ชายยิ้มเยาะ
“แกพูดคำนี้ออกมาง่ายเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรเรื่องนี้ แกต้องผ่านด่านหินอย่างมหาหินกับฉันและก็พ่อแม่มากที่สุด ให้ได้ก่อน ถ้าแกคิดแหกคอกทำอย่างนั้นแกก็ชนเลยซี ถ้าแกคิดจะมองไม่เห็นหัวใครในบ้านนี้ เพราะแกก็รู้ดีว่าคำตอบของพ่อแม่คืออะไร”
“แล้วผมจะอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจเอง”
ภูวพลตอบเสียงหงุดหงิด
“งั้นฉันขอภาวนาให้พ่อแม่เห็นดีกับแกด้วย แต่แกก็รู้นี่ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าผู้หญิงที่ไม่เหมาะควร มีแต่ตัว แกคิดว่าพ่อกับแม่จะต้อนรับเข้าสู่วงศาคณาญาติหรือเปล่า หัดใช้สมองทบทวนดูบ้าง” เป็นเรื่องที่ภูวพลต้องอึ้ง เพราะอุปสรรคขวางทางรักยิ่งใหญ่
คุณภาสและนางภวานันท์คือคนที่ภูวพลเดินเข้าหาในช่วงสายของวันรุ่งขึ้นเนื่องจากคิดว่าทุกคนตื่นแล้ว และก็พบว่าคุณภาสเองกำลังนั่งกินกาแฟพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ก่อนที่จะออกไปทำงาน ส่วนมารดาก็วุ่นอยู่กับงานครัว ถ้อยคำที่พี่ชายเอ่ย ทำให้ภูวพลจำต้องคิดมากยิ่งนัก มันลอยติดตามหัวสมองเขาจนถึงเช้าทีเดียว อย่างน้อยก็รู้ว่าคนที่ค้านในเรื่องความรักของเขามากที่สุดในเวลานี้ คือพี่ชายคนโตที่เขารักมากที่สุดเหมือนกัน จอมภูเหมือนคนด้านชาต่อความรัก หากแต่พี่ชายใหญ่ก็ กลับทำเป็นไม่เข้าใจความรักของเขากับหล่อน
ฮึเหตุผลที่รู้อยู่แก่ใจดีเพราะฐานะของมณีรัชดาต่ำต้อยกว่าเขา ยิ่งน่าคิดเหมือนกันว่าพี่ชายของเขาคาดเดาได้อย่างไรว่าแฟนสาวของเขาคือใคร แน่นอนภูวพลไม่เคยเปิดปากบอกใครเรื่องนี้สักนิด จึงตั้งใจเป็นครั้งแรกด้วยความกล้าหาญแบบลูกผู้ชาย คือต้องบอกกับบิดาและมารดาให้ทราบเสียก่อนว่าเขาจะมีแฟน
แค่นี้ล่ะเหมือนเกริ่นบอก เขาคิดว่าพี่ชายคงไม่รวดเร็วที่จะชิงบอกในเรื่องนี้ มันเรื่องของเขาเองแท้พี่ชายก็ยุ่งไม่เข้าท่า ภูวพลไม่ค่อยพอใจพี่ชายยิ่งนัก อารมณ์เขายังปั้นปึ่งอยู่ ยิ่งพูดถึงหน้าพี่จอมภู เขาไม่อยากนึกและเอ่ยถึง สั่นไหม? ยอมรับกับตัวเองเหมือนกัน เมื่อกล้าเข้ามาหาบิดา และหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าสูดลมหายใจเข้าปอดสักหน่อย เพื่อเรียกกำลังที่เข้มแข็งของตนเอง ก่อนจะกระแอมในลำคอเพื่อให้รู้ว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่าง เพื่อให้บิดารับรู้
นายภาสเงยสายตาขึ้นมองละสายตาจากหนังสือพิมพ์รอบเช้าในมือ ขาประจำก่อนเอ่ยถาม
“อ้าว เจ้าพลนี่เอง มีอะไรจะคุยกับพ่อหรือยังไงแกถึงเดินมาที่นี่” เพราะปกตินั้นนอกจากภูวพลจะตื่นสายแล้วไม่ค่อยกรายย่างมาที่โซฟารับแขกสักเท่าไรเขามักจะเลี่ยงเข้าครัวเพื่อหาอะไรดื่มทานไปตามประสาอาหารเสริมยามเช้าบ้างนมอุ่นๆที่คนใช้ทำให้เสร็จสรรพ เขายืนเอามือไขว้หลัง แต่มือก็อยู่ไม่นิ่งไม่สุขเหมือนคนหลุกหลิกเอามือถูไถ เพราะเริ่มจะนึกถึงเรื่องพูดว่าเขาควรจะเอ่ยอย่างไรก่อนดี “คือ ป๊าครับ ป๊าจะรู้สึกยังไงมั๊ยครับ ถ้าเกิดเอ้อ พลมีแฟนแล้ว” คำเอ่ยของภูวพลทำให้ผู้เป็นบิดาเงยหน้า รู้สึกแปลกใจกับคำสารภาพในวันนี้ของบุตรชายคนรอง