“ว่าไงครับ คุณ จะลงตรงนี้หรือเปล่า”
จอมภูสั่นหน้า
“ไม่ครับ ผมแค่รู้ก็พอแล้ววันหลังจะตามมาที่นี่เองกลับเถอะไปส่งผมที่” จอมภูบอกบ้านที่เป็นคฤหาสน์หลังงามแถวถนนศรีนครินทร์หัวหมากแต่ลืมไปว่ารถคันหรูตัวเองก็เอามา ด้วยเช่นกันหากแต่เขาจอดหลบไว้ที่อาคารจอดรถของ บริษัท เพื่อนแถวสีลมเพิ่งฉุกใจคิดขึ้นได้
“เฮ้ย นี่ ผมจำได้ว่าเอารถมาเหมือนกัน อยู่ที่อาคารสำนักงานสีลม ตายจริง เกือบลืม วานลุงช่วยไปส่งผมที่นั่นก่อน” คนขับตามใจผู้โดยสารอย่างเขาทันที และพอไปที่อาคารของเพื่อนจอมภูควักเงินค่าโดยสารแถมทิปด้วย ค่ารถประมาณ สองร้อย เขาให้ทิปเพิ่มอีกหนึ่งร้อยจากนั้นก็ผลุบหายเข้าไปข้างใน
*******************************
เมื่อสถากรเพื่อนรัก นั้นทักขึ้น
“เฮ้ย นี่ นายไปไหนมาวะไอ้เสือท่าทางเหมือนคนหอบเหนื่อยกลับมา” สถากรจ้องหน้าเพื่อนแล้วรู้สึกขำ
“แกไม่ต้องถามหรอกว่ะมีธุระนิดหน่อยและฉันต้องติดตามเรื่องนี้ เพราะมันสำคัญ”
จอมภูจ้องหน้าเพื่อนอย่างหมั่นไส้เบรกห้ามด้วยการยกมือไว้เพราะคนเพิ่งมาถึงรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากจะตอบอะไรทั้งสิ้น แต่สถากรที่แหย่เพื่อนรักก็ถามอีก
“เอ้า ใครกันวะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วมันจำเป็นมากแค่ไหนสำหรับแกล่ะ”
สถากรยิ่งแหย่พื่อน และเขาก็กลับตามเซ้าซี้เพื่อที่อยากจะรู้อีก ทำให้เพื่อนสนิท แสนรำคาญใจอย่างยิ่ง แต่ก็เอ่ยตอบ “หล่อนเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยหรือไม่สวย ก็ตาม แต่ก็ทำให้น้องชายของฉันนั้นมันหลงหัวปักหัวปำแล้วล่ะ สัญญาว่าจะแต่งงานด้วย นี่ ฉันไม่ยอมนะ ที่ไอ้พลทำแบบนี้ เพราะน้องชายของฉันมีคนที่เหมาะสม ที่คุณแม่แล้วก็ฉันหาให้แล้ว ฉันเลย ต้องมาจัดการกับผู้หญิงคนนี้ให้เลิกยุ่ง กับน้องชายของฉันเสียที”
“แล้วได้ผลไหม? หล่อนเลิกยุ่งหรือเปล่า”
“เปล่า ยังไม่ได้ตกลงทำอะไรทั้งสิ้น รอโอกาสหน้า แต่ฉันสะกดรอยไปเพื่อให้รู้จักบ้านเท่านั้น”
“แล้วนายจะทำอะไรต่อไปอีกล่ะ จะรุกคืบติดตามหล่อนหรือไง”
“ใช่ล่ะนั่นคือแผนการขั้นเด็ดขาด”
เขาพยักหน้าตอบเพื่อน
“ที่จะทำให้ผู้หญิงคนนี้เลิกยุ่งเกี่ยวจากน้องชายของฉันให้ได้ เพราะว่าฉันกลัวว่า หล่อนจะเข้ามาปอกลอกเจ้าพลมากกว่า” จอมภูชี้แจงพร้อมประกาศลั่นกับเพื่อนสนิท และสถากรจึงเห็นหัวสมองปัญญาอ่อนของเพื่อน ที่เอาเวลามาใส่ใจเรื่องนี้ คงจะเป็นเรื่องสำคัญของมันนั่นล่ะ เขาไม่อยากขัดคอ ท่าทางตั้งหวังและมุ่งหวังเหลือเกินนี่
เมื่อหล่อนกลับมาถึงบ้าน น้าสาวของหล่อน ไพจิตร กับรัชนีมารดาก็ทัก “อ้าวยัยณี กลับมาแล้วหรือ”
มณีรัชดาเงยหน้าสบสายตาทั้งมารดาและผู้เป็นน้าที่กำลังสาละวนและยุ่งอยู่หน้าเตาเพื่อทำขนมขายในวันพรุ่งนี้ มีการเตรียมแป้งเพื่อทำขนมครองแครง และนวดแป้งเพื่อปั้นขนมบัวลอย รวมทั้งเส้นรวมมิตรสิงคโปร์ที่ว่างเมื่อไหร่มณีรัชดา เป็นต้องเข้าไปช่วยทุกครั้ง
นี่เป็นอาชีพของครอบครัวถือว่ายังหาเช้ากินค่ำ แต่เป็นอาชีพที่สุจริตและต้องขยัน ดังนั้นฐานะทางครอบครัวของมณีรัชดาถือว่าเป็นชนชั้นล่างที่พ่อแม่ต้องลำบากในการหาเงินเพื่อจุนเจือ เมื่อจบการศึกษาอย่างนี้แล้ว
มณีรัชดาจึงอยากแบ่งเบาภาระของครอบครัว ด้วยการเริ่มต้นหางานทำเสียที การเรียนนั้นคือความยากลำบากอย่างหนึ่ง ที่เธอมุ่งมั่นเพื่ออนาคตและบัดนี้มณีรัชดาทำตามความฝันสำเร็จมีแต่งานที่ต้องสมัครอีกรอบ
นางรัชนีรู้สึกดีใจแทนลูกสาวมณีรัชดาเลือกคณะบริหารธุรกิจเพื่อจบมาจะได้สมัครงานในตำแหน่งพนักงานบัญชียิ่งในละแวกนี้ต่างพากันชื่นชมถึงความอุตสาหะ บากบั่นฝ่าฟันจนกระทั่งคว้าปริญญามาให้พ่อแม่เชยชมสมใจ
แต่มณีรัชดาบอกกับตัวเองว่าตั้งแต่เธอเรียนในมหาวิทยาลัย เป็นการเรียนที่ยากและเหนื่อยสุด ครั้นเธอออกมาทำงานแล้ว ก็วาดหวังถึงงานที่จะสุขสบาย แต่มณีรัชดายังไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
เพราะเธอได้รู้รสชาติจากการตระเวนสมัครงานแล้วทั้งแดดที่แผดเปรี้ยง แต่บอกตัวเองว่าต้องอดทนอย่างเดียว หากว่าภูวพลได้นัด เพื่อพบกับหล่อน
และหล่อนนึกถึงเขาในภาพความรู้สึกคิดอย่างเดียวว่าภูวพลเป็นคนดี น่ารัก เขาสุภาพเหมาะที่หล่อนจะฝากอนาคตทั้งกายใจให้เขา
หากทว่ามันก็ต้องมีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน มณีรัชดาเป็นคนที่ไม่อยากใฝ่ฝันเกินตัว แค่ฐานะของหล่อนกับเขามันก็ต่างชั้น แต่ถ้าภูวพลรักเธอและพร้อมที่พิสูจน์ทำให้เป็นไปได้ มณีรัชดาเองก็คล้อยตาม และฝ่ายภูวพล ให้เขาพิสูจน์จริงเถอะว่า เขารักหล่อน โดยไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวเขา อย่างที่บอกว่า ถ้ากัดก้อนเกลือกินกับเขา หล่อนก็ยอมเพราะว่านี่คือรักแท้
ดังนั้นมณีรัชดาจึงขอตัวกับมารดาหล่อนจะเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนเครื่องแต่งกายอาบน้ำเพราะในวันนี้รู้สึกล้าไปหมดแล้วจะลงมากินข้าวกับทุกคนในห้องหับส่วนตัวกว้างขวางพอสมควรสำหรับหล่อนที่นอนอยู่คนเดียวนางรัชนีเองก็พอรู้ว่าลูกสาวกลับมาด้วยอาการที่เหน็ดเหนื่อย
และจอมภูก็เดินทางูกลับมาถึงบ้านอีกครั้งในเวลาหนึ่งชั่วโมงต่อมาขณะนั้นเวลาคืบคลานและปาเข้าทุ่มครึ่งพอดีโดยที่วางสีหน้าราบเรียบ เมื่อจ้องใบหน้าเข้มเบนส่งไปหาน้องชายที่อารมณ์กำลังดีด้วยการหยิบกีต้าร์ตัวโปรด และภูวพลแทบไม่รู้สักนิดว่าพี่ชายจ้องด้วยสีหน้าเข้ม เพราะเจ้าตัวกำลังฮัมเพลงคลอไปด้วยการใช้มือที่ไล้เกาขึ้นลง อย่างคนที่อารมณ์เปรมปรีดานักหนา
แต่คนที่กระฟัดกระเฟียดนักคือพี่ชายคนโตซึ่งรู้ดีที่สุดและยังคงสนใจกับเสียงเพลงและอารมณ์มันของตนเอง จนแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายเพื่อตอบ ขณะที่จอมภูส่งคำถามเข้มขึ้นมา
“วันนี้แกออกไปไหนมาทั้งวัน นายพล”
ภูวพลนั้นความที่อารมณ์จดจ่อกับเสียงเพลง จึงไม่ได้เงี่ยหูฟังและสนใจพี่ชาย จนร่างสูงของพี่ชายเดินเข้ามาตะคอกใส่เสียงดัง
“นี่นายพล แกได้ยินฉันพูดหรือเปล่า วันนี้ทั้งวันแกไปไหนมา” เห็นสีหน้าตึงขึงขังของพี่ชายทำให้ภูวพลนิ่งครุ่นคิด เมื่อตาคมปลาบของพี่ชายพุ่งตรงมาพร้อมคำถาม เขามีความรู้สึกว่าพี่ชายเข้ามาขัดจังหวะนัก แล้วทำไมต้องตีสีหน้ายักษ์ใส่รุนแรงเหมือนเขาทำความผิดอย่างนั้นเกิดข้อกังขาในใจของภูวพล