ปมทะเลาะสองพี่น้อง

1549 Words
จึงชำเลืองสายตามองครู่หนึ่ง “แกคิดยังไงกับเรื่องนี้ แกถามแม่ของแกแล้วหรือยัง ป๊าเคยบอกสั่งลูกไว้แล้วไม่ใช่หรือเรียนจบทำงานมีอนาคตก่อนแล้วค่อยคิด” คำของบิดาไม่ถึงกับทำให้เขาใจฝ่อ แต่ใจก็แฟบลงเช่นกัน กึ่งความหวังนั้นมีอยู่แค่สองสามเปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่เรื่องถูกกีดกันไม่เห็นด้วยอาจจะอยู่เก้าสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ แบบนี้ทำให้เขาถึงกับซึมและหน้าจ๋อย คำพูดของบิดาก็คงไม่แตกต่างไปจากมารดานัก เพราะท่านทั้งสองตกลงเอาไว้เช่นนี้ ภูวพลรับทราบ ดังนั้นเมื่อแบกหน้าไปหามารดา คำตอบก็เช่นเดิม เมื่อรู้คำตอบทำให้เดินหน้าซึมกลับเข้าไปในห้อง กักขังตัวเองอยู่ในนั้น เหมือนกับว่าประท้วงทุกคน ที่ไม่เห็นความสำคัญของคนมีความรัก หากวันนี้สายมากแล้วสำหรับเขและจอมภูเพิ่งตื่นนอนและเขารีบอาบน้ำใช้เวลาอีกยี่สิบนาทีหนุ่มหล่อ เนี้ยบ หรูในเสื้อกางเกงชุดทันสมัยเข้ากับยุคก็โผล่กายลงมาที่ข้างล่าง เขาแทบจะลืมไปแล้วว่า พูดอะไรไปกับน้องชาย เป็นเพราะความคะนองปาก แต่เจตนาของจอมภูต้องการให้เป็นอย่างนั้น และคิดว่าคนที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น คิดว่าเมื่อเห็นฝ่ายชายมั่งมีทรัพย์ตระกูล จะมองส่วนใดล่ะถ้าไม่มองส่วนนี้ เช่นหญิงสาวที่น้องชายกำลังคั่วอยู่ และเรียกมันว่าความรัก ฮึ จอมภูเข้าใจดีโธ่เอ๋ย ไอ้น้องชายนายมันชั่วโมงบินน้อยกว่าฉันเพราะจอมภูเคยผ่านความรักมาแล้วหลายรูปแบบ และสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดมากที่สุด คือผู้หญิงที่ชื่อ อาภาพิไล ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยลืมชื่อนี้ มันฝังอยู่ทุกส่วนของร่างกาย เมื่อนึกแล้วรู้สึกเจ็บ จนชาไปหมด ในเรื่องที่หล่อนสอนสั่งเขาเรื่องความรัก หล่อนผละไปจากเขา และไปหาชายหนุ่มที่เพอร์เฟกต์ทั้งฐานะชื่อเสียงในสังคมในตระกูลภูฐาบริรักษ์นั่น และเขาเก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ ลึกลงไว้ใต้บึ้งใจของตนเองมากที่สุด คนในครอบครัวไม่มีใครระแคะระคายเลยเพียงนิด ที่ใจของเขาจู่นั้นก็ดิบเถื่อนขึ้นมาโดยเฉพาะผู้หญิง นี่ก็คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด ภูวพลเป็นน้องชาย เขารักมันมาก และความรักแบบเขานั้น น้องชายสัมผัสมันไม่ถึงหรอก และนี่เองคือความรักที่เขาจะบอกมัน และให้มัน จึงไม่อยากให้น้องชายคิดว่าเขาหวังดีต่อน้อง เพราะโตๆกันแล้ว สอนเตือนอะไรคงไม่ได้ แต่ถ้ามันทำใจตัวเองมากเกินไป เหมือนเขาในวัยหนุ่มที่คุกรุ่นด้วยไฟรัก แต่แล้วมันก็แหลกสลายลงอย่างเงียบๆ แต่รุนแรงในอกของเขา จอมภูทรมานอย่างแสนสาหัสแต่ไม่เคยบอกใคร เขาจึงให้ความเจ็บช้ำพิษรักกัดกร่อนใจ และมันกระหน่ำซ้ำเขาจนแทบเอาชีวิตไม่รอด คนที่ตั้งหวังในความรักและเมื่อผิดหวังมามันเป็นเช่นนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างจึงอัดสุมเข้าไปในใจจนพอกแน่น และเขาทำไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งๆที่ตนเองเจ็บเจียนตาย เขาไม่รู้ว่าทำถูกหรือผิด แต่เมื่อรู้ว่าเรียนผูกแล้วต้องเรียนแก้ เป็นเพราะหัวใจของเขาใฝ่คะนอง และคะนึงหาความรักโดยไมรู้ว่า ในสนามนี้มันมีการต่อสู้ และคนที่เขารัก หล่อนเลือกปันใจ ให้คนอื่น มันก็แค่นี้เองความรัก ทำให้เขาอกเดาะผิดหวัง แต่เป็นความผิดหวังที่ร้าวรานใจ ก่อความพยาบาทโดยเฉพาะผู้หญิง ยิ่งสาวและสวยมาจากฐานะชั้นล่างเขาชิงชัง รังเกียจอย่างสุด นี่เองถึงทำให้เขาอยากจะหาเรื่องจองล้างและกีดกัน ความรักของน้องชาย เขาไม่ได้มองถึงความจริง แต่มองย้อนไปที่ตัวเองเคยเจอ เขาคิดว่าผู้หญิงประเภทนี้ไม่มีรักแท้ จึงไม่แปลกเจอหน้าผู้หญิงสาวสวยคนนั้น เขาจึงแค้นเคืองไปถึงอดีตรัก หล่อนมีความสวย และสวยต่างแบบไปจากอาภาพิไล ผู้หญิงที่สอนให้เขารู้จักความรัก แล้วหล่อนสลัดตัดทิ้งอย่างไม่ไยดี แต่ลึกๆผู้หญิงใหม่ที่เขาเพิ่งได้พบเจอ แค่เพราะหล่อนคิดมาเกาะแกะน้องชายของเขาเพื่อหวังเป็นน้องสะใภ้ อารมณ์ที่ไม่พอใจหญิงสาวสวยมาก่อนเรื่องนี้ทำให้เขาค่ายสุดฤทธิ์ แต่ลึกๆไปแล้วผู้หญิงคนนี้สวยแบบทระนง ขนาดที่จอมภูครุ่นคิดมองแล้วยังสะแยะยิ้มบ่นตามหลังว่า สวยแต่ทำตัวเย่อหยิ่งจองหอง มันเหมือนกับว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการท้าทายเขาด้วย และไมรู้สิว่า ทำไมจอมภูต้องคิดอย่างนี้ เพราะสวยนี่เอง เป็นเพราะจอมภูยังอ้อยอิ่ง ใช้เวลาขบคิดเรื่องราวในอดีตของตนเองมากเกินไป จนคุณภวานันท์ผู้มารดาเองก็แปลกใจที่บุตรชายไม่ได้รีบร้อนที่จะไปทำงานเหมือนทุกวัน แต่เห็นร่างสูงของบุตรชายยืนครุ่นคิดมือเกาะที่ขอบหน้าต่างมองออกไปนอกหน้าต่างกับยามสายที่สดใสไปหมด คุณภวานันท์ก็ยังคิดว่า เช้านี้อากาศดีไปอีกวัน “แม่คิดว่า จอมจะออกไปทำงานเสียแล้ว คิดอะไรอยู่หรือเปล่าลูก เห็นยืนคิดเหม่อตั้งนาน” เมื่อเห็นมารดาสังเกตกริยาและอิริยาบถของเขาก็อึ้งไปเล็กน้อย ไฟร้อนในอารมณ์ที่เขาไม่เคยบอกกับมารดาและทุกคนว่า อดีตความรักทำให้เขาเจ็บปวดเหลือแสนเพียงใด แม้กาลเวลาผ่านไปนานแล้วก็ตาม เมื่อมันอักเสบชอกช้ำรุนแรงมันก็ยังทิ้งแผลที่เพียงตกสะเก็ด กับรอยแผลเป็น ทำให้เขามองความรู้สึกในอดีตอย่างเจ็บเคืองจึงพยายามปรับเปลี่ยนสีหน้า ทำให้ดูเป็นปกติ ด้วยการหันใบหน้าคมคายหล่อเหลายิ้มให้กับมารดา “อากาศยามเช้านี้สดใสเหลือเกิน ไม่มีอะไรมากครับ ผมแค่อยากจะไปทำงานช้าสักวันหนึ่ง แต่ไม่สายหรอกนะครับ เพราะเดี๋ยวผมจะไปแล้ว” ประหลาดใจในคำพูดและกิริยาของบุตรชาย แต่ถึงอย่างไรเธอก็วางเงียบ แต่ก็อดตอบไม่ได้ “ยังงั้นหรือ แม่ก็นึกว่าจะไม่สบายเสียอีก หน้าตาของลูกสองวันมานี้ก็ดูเซียวซูบเหลือเกิน เหมือนคนไม่ได้นอนเต็มที่แม่ก็อยากจะให้ถนอมสุขภาพให้มากๆหน่อย อย่างไรก็ตามลูกก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่งในฐานะพี่ชายของน้อง” เขาพยักหน้าเป็นคำที่น่าฟังอย่างยิ่งแก่มารดา ที่ประโลมเข้าไปในหัวใจของเขา ทำให้เขาเข้าใจหน้าที่แท้จริงของคนเป็นพี่ จากนั้นคุณภวานันท์ขอตัวก้าวไปทางอื่น เห็นเดินออกทางประตูหลังบ้าน คงเข้าไปในสวน ส่วนจอมภูนั้นก็เป็นเวลาพอดีที่เขาจะก้าวเท้าตรงไปที่โรงจอดรถกลับปะทะสายตาคนที่เดินตรงมาเหมือนกัน ดวงตามันดุ เหมือนไม่พอใจอย่างยิ่ง เลยเอ่ยทักก่อน “ไง เจ้าพล” ภูวพลไม่อยากจะเอ่ยตอบพี่ชายสักเท่าไหร่ เขาจึงตีสีหน้าเมินเฉย เหมือนไม่รับฟัง “พี่คิดว่าแกคงเข้าไปคุยกับคุณแม่แล้วก็คุณพ่อแล้ว เรื่องที่รายงานให้ฉันฟังแล้วความฝันของแกก็ล่มกลางอากาศ” “นี่ ไม่ต้องมาเยาะเย้ยผม ผมไม่อยากจะพูดกับพี่” ภูวพลเอ่ยใส่พี่ชายด้วยสีหน้าเคือง “แล้วนี่ แกจะออกไปไหน จบแล้วนี่ ก็รีบๆหางานทำ ไม่ก็ทำที่บริษัทด้วยกัน” “ผมไม่มีทางทำงานร่วมกับพี่จอมแน่” น้องชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พลางผลุนผลันเดินหนีจากไป “ก็เรื่องของแก ไม่ได้มีใครบังคับนี่หรือถ้าแกจะกลับไปมีความรักแบบกัดก้อนเกลือกิน” ภูวพลปิดหูอีกครั้งไม่อยากจะฟัง ลุกเดินหนี ทำไมเป่าหูและคิดไม่ดีกับเขาเลยพี่ชายคนนี้ อุปนิสัยของพี่ชายนับวันเขารู้สึกรังเกียจ นี่คือความอิจฉาหรือเปล่า หุนหันพลันแล่นด้วยอารมณ์อีกที พร้อมกับลุกคว้ากีต้าร์ตัวโปรดติดมือด้วย จอมภูมองด้วยสายตาที่ยิ้มเยาะ กับน้องชายที่ไม่อยู่ในโอวาท ดังนั้นเมื่อเห็นภูวพลก้าวออกไปจากบ้าน เดินตามริมฟุตบาท จอมภูก็ขับรถออกไปที่ทำงาน ระหว่างทางเห็นน้องเขาบีบแตร แต่คนเดินไม่สนใจ เร่งเดินอย่างเดียว พร้อมกับฝีเท้า แทบไม่สนใจเสียงแตรที่บีบเหมือนคนกวนประสาทนับวันพี่ชายเริ่มจะฝังความเกลียดชังในใจเขาเพิ่มมากขึ้น เมื่อเขาไม่ตอบสนอง รถยนต์ของจอมภูเลยแล่นจากไป พอพี่ชายจากไปแล้วเขามองด้วยสายตาเคือง จนกระทั่งถึงปากซอย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD