บทที่7
ร่างอ้อนแอ้นในชุดสีเขียวแก่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสมบัติไม่กี่อย่างที่นางมี เดินออกจากริมป่าด้วยความระแวง
‘เอากระจกมาให้ดูหน่อยซิ ] เพราะมัวแต่ตื่นเต้น ดอกเหมยลืมดูสภาพตัวเองซะสนิท เมื่อเช้าพอเห็นว่าไม่มีรอยช้ำ ผิวเนียนใสขึ้น และไม่มีสิวแล้ว เลยด่วนออกมาเสียหน่อย จนลืมดูกระจกไปเสียสนิทเลย
[พอดูได้แล้วค่ะเจ้านาย ขาดก็แต่หน้าซีดไปนิด ตัวอ้วนไปหน่อย สงสัยจะกินปลามากไป] เหม่ยลู่เอ่ยแซว ก่อนจะได้รับสายตาค้อนเป็นรางวัลหนึ่งที
[หันหลังมา ฉันจะดูกระจก] กลายเป็นว่าดอกเหมยแทบจะบีบเค้นบังคับคอให้เหม่ยลู่ แปลงขนเป็นกระจกให้ตัวเองส่อง
คราวนี้เงาสะท้อนในกระจกหาใช่หญิงอัปลักษณ์ไม่ หน้าใสที่ไร้รอยสิว ไร้ความหมองคล้ำส่งให้เธอดูดีขึ้น ถึงแม้จะขาดไปหลายอย่าง
ผิวพรรณที่ผ่องขึ้นเพราะดูแลตัวเองอย่างดีมาหลายวัน ทำให้ดอกเหมยเริ่มหลงรักตัวเอง จริงๆเหม่ยเสี้ยวนั้นงามพอดู ถ้าเป็นในยุคปัจจุบัน เป็นสาวงามพิมพ์นิยมเลยล่ะ เพียงแต่ที่นี่เขาไม่นิยมความงามเช่นนี้นั่นสิ
สาวงามยุคนี้ แต่งหน้าหนาจัด จริตจะก้านยิ่งกว่านางโลม หากไม่มีจริตแล้วไซร้ ยากจะมีชายใดแลมองแม้หางตา
เมื่อคิดขึ้นได้ ดอกเหมยรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ก่อนจะเริ่มเดินแบบมีจริต เท่าที่คิดได้ แต่ภาพที่ออกมาดูไม่น่ามองเท่าใดนัก คล้ายกับหญิงสาวจะเกร็งมากไปหน่อย
[เจ้านายเกร็งเกินไปแล้วค่ะ ไม่ได้ๆ ] เสียงเล็กๆเตือน ทำให้ดอกเหมยกลับมาเดินปกติ ซึ่ง... ช่างเถอะ ถือว่านางไม่ผ่านแล้วกัน
เสียงจ้อกแจ้กจอแจในตลาด เบนความสนใจของดอกเหมยได้เป็นอย่างดี เธอ มาปรากฏตัวก่อนกำหนดช่วงตอนที่2ตอนท้าย ถึง2วัน
ตอนนี้เลยเป็นเวลาฟรีสไตล์ของหญิงสาว ที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจ
‘การไม่มีบทคอยกำกับนี่มันดีจริง จริ๊ง’ ดอกเหมยอดที่จะตะโกนในใจไม่ได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าตัวเองต้องปักธงหนุ่ม เพื่อจะได้คะแนน
[ลักษณะอย่างฉัน พอจะถูกตาใครบ้างมั้ย ช่วยมองหน่อยสิ] ดอกเหมยอดที่จะสั่งตัวช่วยไม่ได้จริงๆ ต้องบอกว่าตอนนี้หนุ่มสาวนั้น ละลานตาเหลือเกิน ราวกับพวกเขามาเพื่อหาคู่กันอย่างไงอย่างงั้นแล
[ทางขวา สองนาฬิกา พ่อหนุ่มชุดแดงในร้านกี่เพ้า ทางซ้าย 11นาฬิกา คุณชายน้อยชุดฟ้าในร้านผ้าร้านใหญ่] เสียงเล็กๆแจ้งเตือนตลอดเวลา เมื่อมีคนหันมามองเธอ
‘เอิ่ม พวกเขาแค่มองเพราะฉันแปลก ดูแต่ละคนทำหน้าเข้า อย่างกับไม่เคยเห็นคนหน้าสด’ ดอกเหมยบ่นในใจ
[ช่วยบอกเฉพาะคนที่ น่าจะปักธงได้ ได้มั้ย พวกนั้นมองอย่างกับรังเกียจ เจ้าแยกแยะไม่ได้รึไงอาลู่] ดอกเหมยตำหนิ
เธอคิดว่าจะลองเอาน้ำมันหอมระเหยกลิ่นตระไคร้หอม มาวางขาย เพราะสมัยนี้ยังไม่นิยมขายน้ำหอมน้ำปรุง ขัดกับการที่หญิงสาวพยายามสวยด้วยเครื่องสำอางยิ่งนัก
จริงๆจุดประสงค์หลักแรก ก็เพื่อให้คนที่อยากจะเดินป่า แต่กลัวยุงเท่านั้น สรรพคุณหลักเธอก็จะขายไว้เลย ว่ากันแมลง
จริงๆก็เพื่อจะได้เอาเงินมาซื้อเครื่องสำอางบ้าง ตอนนี้หน้าเธออย่างกับไก่ต้ม ซีดได้อีก ยิ่งพออยู่กับสาวๆเยอะๆด้วยแล้ว ยิ่งรู้สึกเลยว่าตัวเองจืดไปเลย
“อุ้ย” ดอกเหมยตกใจ รีบผละออกจากอกกว้าง ที่เธอบังเอิญเดินชน เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลิน
เขาประคองเธอไว้นิดๆ ไม่ถึงขนาดถึงเนื้อถึงตัว แต่ก็เอามือลงเมื่อเธอยืนตรงได้เอง
“ขออภัยคุณชาย ” ดอกเหมยรีบเอ่ยพูด รู้สึกแปล่งๆกับตัวเองนิดๆ เพราะในความรู้สึกของเธอ คือเธอกำลังพูดภาษาไทยอยู่
“ไม่เป็นอันใด เจ้านั่นล่ะเจ็บตรงไหนมั้ย แม่นางน้อย” คงเพราะสาวๆที่นี่แต่งหน้ากันจัดกระมัง ท่านชายหนุ่มตรงหน้าจึงคิดว่าเธอเป็นสาวน้อย เพราะเธอไม่ได้แต่งหน้าอันใดเลย
“ไม่เจ้าค่ะ ขอบคุณ คุณชายที่ห่วงใย” ดอกเหมยยังคงก้มหน้าไว้ เอาจริงๆตอนนี้เธอยังไม่พร้อมให้ชายหนุ่มระดับสูงๆเห็นหน้า ประเดี๋ยวจะปักธงยากขึ้นซะ เพราะเขาดันมาเห็นหน้าเธอตอนหน้าสดก็ได้
“...” เมื่อเงาทะมึนตรงหน้าหายไปแล้ว ดอกเหมยถึงได้เงยหน้าขึ้น ก่อนจะเดินต่อไป จุดที่เธอต้องการจะไป คือบริเวณที่เหม่ยเสี้ยวเคยขายของ เพราะต้องการจะรู้ว่ามีคนมาขายแทนที่ไปรึยัง
[คุณชายเมื่อครู่ เหมาะจะปักธงนะเจ้าคะ] ดอกเหมยเหลียวหลังไปมอง เมื่อได้ยินอย่างนั้น
‘หล่อมั้ยล่ะ ถ้าหล่อก็จะปักให้สักคนอยู่หรอก’ เธอแกล้งตอบเสียงนกน้อยไปอย่างงั้น จริงๆ จะปักหรือไม่ปัก ก็เพื่อตัวเองทั้งนั้น
[เอาการเลยเจ้าค่ะ] ดอกเหมยเมินเสียงพึมพำเล็กๆนั้นเสีย ตอนนี้เธอกำลังเมียงมองส่วนที่ถูกเว้นที่ว่างไว้ ซึ่งคือที่ของเหม่ยเสี้ยว
‘ตรงนี้คือตรงที่เราอยู่เมื่อวันนั้น’ ดอกเหมยคิดเหมือนเพ้อ
เธอมองซ้ายมองขวา พอแต่งตัวดีดี ไม่ได้อยู่ในลักษณะอย่างเมื่อตอนแรก ชาวบ้านก็ไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับเธอนัก มีเพียงสายตาดูแคลนที่ส่งมา เพราะเสื้อผ้าที่ใส่นั้นดูจะเก่า ผมเผ้าก็เกล้าไว้ธรรมดาไม่ได้ตกแต่งให้ดี หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง
‘เป็นเหม่ยเสี้ยวมันเหนื่อยจังนะ’ คิดแล้วก็นึกถึงเมื่อก่อน เพื่อนรักคือฟาร์มเฮ้าส์ กล้วย น้ำผึ้ง เป็นอาหารเช้า กลางวัน เย็น กล้วยหวีหนึ่งกินตั้งแต่ยังมีสีเขียว จนงอม
จริงๆชีวิตของเธอเองทั้งนั้น ที่เหม่ยเสี้ยวเผชิญอยู่ ส่วนเรื่องราวความรักในนิยาย ก็คงเป็นความรักในฝัน ที่ดอกเหมยเองอยากจะพบเจอ
‘ถ้าฉันจะขายของที่เดิมนี้ได้มั้ย’ ดอกเหมยถามเหม่ยลู่ ที่วันนี้บินสูงหน่อยเพราะต้องระวังไม่ให้ชนมนุษย์คนอื่น ถึงมนุษย์จะมองไม่เห็นตัวแต่เหม่ยลู่ก็สัมผัสพวกเขาได้
[เรื่องนี้เจ้านายต้องไปจ่ายเงินที่หน้าจวนเจ้าเมืองนะเจ้าคะ] เหมยลู่แนะนำ
[นอกจากค่าที่แล้ว ยังต้องจ่ายส่วยให้นักเลงคุ้มครองพื้นที่อีก เหมยเสี้ยวเลยไม่ค่อยมีเงินเหลือไปซื้ออะไร] ดอกเหมยพยักหน้ารับ
วันนี้สิ่งที่เธอตั้งใจจริงๆคือ
‘ฉันจะปักธงผู้ให้ได้!!’ ก่อนอื่นก็ต้องหาเป้าหมาย แล้วสร้างสถานการณ์ ใครจะรู้ แฟนคนปัจจุบันของคุณ อาจจะใช้แผนพวกนี้มาแล้วก็ได้
[เจอเป้าหมายค่ะเจ้านาย] ดอกเหมยออกจากความคิดตัวเอง เพราะเสียงเตือนของเหม่ยลู่ที่ดังขึ้นมา
‘ไหน’ เธอหันซ้ายหันขวา ไม่เห็นผู้ชายที่ไหนจะมองตัวเองอยู่เลย
[ซ้ายมือ เด็กหนุ่มมอซอหน่อยค่ะ เขากำลังหิวและกำลังจะเป็นลม] ดอกเหมยเบิกตาโพรง มองร่างสูงแต่เหลือแต่กระดูกอย่างสังเวชใจ
‘ขอทาน’ ขอทานในยุคนี้ แย่กว่ายุคของโลกปัจจุบันเยอะ เพราะเป็นยุคสมัยที่ยังไม่มีศาสนา มนุษย์ไม่ทำบาปทำบุญ ไม่เคร่งเรื่องผิดถูก มีเพียงกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้นที่ควบคุม โชคดีที่ยังมีกฎหมายล่ะนะ
ดอกเหมยหยิบห่อเนื้อปลาออกมาจากย่ามเก่าๆของตัวเอง ก่อนจะวางลงในชามข้าวเก่าๆของเด็กหนุ่ม เขาเงยหน้ามองเธอ ก่อนจะรีบหยิบห่อเนื้อปลา แล้ววิ่งไปหลบมุมก่อนที่หยิบออกมากิน
ดอกเหมยยืนแอบมองอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เดินไปไหน แอบเป็นห่วงว่าเขาได้กินน้ำบ้างมั้ย บางคนก็มัวแต่หิวข้าวจนไม่ได้กินน้ำ แล้วจะยิ่งทรุดมากไปอีก ขณะที่เธอซึ่งเป็นสายเฮลตี้ จะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าน้ำนั้นสำคัญกว่าข้าวเสียอีก
เด็กหนุ่มลอบมองหญิงที่มอบห่อปลาย่างให้เขา รีบๆกินเข้าไปอีกเพราะกลัวนางจะเปลี่ยนใจมาเอาคืน ดูนางผิดแผกจากหญิงสาวเมืองนี้ แต่งกายขี้ริ้วขี้เหร่ หน้าตาไร้การตบแต่งใดๆ แต่กลับดูงามยิ่งในสายตาเขาตอนนี้
[ยินดีด้วยค่ะ เก็บตกตัวละครในเนื้อเรื่องลับได้ก่อนเวลา คะแนนแต้ม *3 ตอนนี้มีแต้ม 3000] เสียงอาลู่ทำให้ดอกเหมยแทบจะกระโดดด้วยความดีใจ
‘ซื้ออะไรได้บ้างล่ะ เอ้อ เคยเห็นนิยายแนวๆนี้ ปกติเขาจะมีเรื่องกำลังภายในกันด้วย’ ดอกเหมยถามก่อน
[ก่อนอื่นขออธิบาย เรื่องกำลังภายในค่ะ ปกติในตัวคนเราจะมีธาตุเจ้าเรือนภายในกาย เมื่อรู้แล้วและฝึกฝนธาตุนั้นๆ จึงจะเลื่อนระดับขั้นได้เจ้าค่ะ] ดอกเหมยพยักหน้ารับ
‘เชื่อเลยว่า เหม่ยเสี้ยวไม่มีสักนิด’ เธอได้แต่ส่ายหน้า ก็ตัวเองเป็นคนแต่งเนื้อเรื่อง เธอพอจะจำได้ว่ามีตัวละครลับอยู่เยอะเหมือนกัน กระทั่งระดับสูงๆ
‘ว่าแต่ นี่พระเจ้าคัดโครง กับปมของฉันมาด้วยเหรอ นึกว่าจะมีแค่เนื้อเรื่องในตอนที่อัพไปแล้วซะอีก’ อดไม่ได้ที่จะถามจริงๆ แปลว่าเขาอาจจะมีแฮคเกอร์มือดี แฮคดูคอมพ์เธอน่ะสิ
[ข้อแรก เหม่ยเสี้ยวมีธาตุพิเศษ ธาตุมิติค่ะ คล้ายๆกับแรงโน้มถ่วงของโลกเก่าของเจ้านาย ] ดอกเหมยพยักหน้ารับ
[ธาตุในเรือนกาย มี4ชนิดธรรมดา และ5ชนิดพิเศษคือธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ธาตุพิเศษ มืด แสง สายฟ้า มิติ โลหะ ] เหม่ยลู่ยังคงบอกเล่า คนเป็นนายได้แต่เก็บข้อมูล
[ส่วนระดับลมปราณ หรือที่เจ้านายเรียกว่า กำลังภายใน แบ่งเป็น ขั้นต้น ขั้นมาร ขั้นเซียน และขั้นเทพ แต่ละขั้นมีระดับตั้งแต่ 1-12 เพื่อข้ามเป็นอีกระดับ ซึ่งการฝึกฝนไม่ได้ง่ายเลย เซียนบางคนฝึกฝนมาทั้งชีวิตยังมีระดับเพียงแค่ เซียนขั้นแรกๆหรือกลางๆเท่านั้น]
‘อ้อ แต่เหมือนชาวบ้านจะไม่ค่อยมีลมปราณกันนะ ไม่งั้นวันนั้นฉันคงตายไปแล้ว’ พอนึกถึงวันที่ถูกกระทืบ ดอกเหมยก็อดที่จะลูบแขนตัวเองเบาๆไม่ได้
[ส่วนมากจะถูกส่งเข้าวังหมดแล้วค่ะ ชาวบ้านพวกนี้ก็แค่คนธรรมดา ที่ธาตุในเรือนกายอ่อนเลยไม่ปรากฏออกมา แถมพวกเขาไม่ได้จำเป็นต้องใช้เท่าไรด้วย เพราะผลของลมปราณ ช่วยแค่เรื่องอายุยืนเท่านั้น]
ดอกเหมยพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปทางเด็กหนุ่มที่แจกแต้มเธอคนแรก ตอนนี้เขาลอบมองมาทางเธอ เหมือนอยากจะได้กระบอกน้ำในมือเธอแต่ก็เกรงใจ
ดอกเหมยเดินเข้าไปหาเขา ซึ่งเป็นซอกตึกหนึ่ง เพราะพวกเธอไม่ได้เป็นที่จับตามอง เนื่องจากแต่งตัวปอนๆหน้าตาธรรมดา เลยไม่มีคนสนใจเท่าไรว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ดอกเหมยเลยทำอะไรได้ตามใจตัวเอง
“หิวน้ำมั้ย อ่ะข้าให้” ดอกเหมยยื่นกระบอกน้ำให้มัน ก่อนจะหยิบห่อปลาขึ้นมาอีกห่อ
“ทำไมถึงมาขอทานเล่า เจ้าไม่มีบ้านหรือ” ดอกเหมยเอ่ยถาม ตัวละครลับ เธอต้องดูแลดีดีหน่อย เพราะเขาจะเป็นตัวช่วยดำเนินเรื่องที่ดีเลยล่ะ
“…” เขาไม่พูด แต่ยื่นมือมารับน้ำไปดื่มอย่างเร็ว จนน้ำกระฉอกหกไหลลงตามลำคอ ก่อนจะไหลลงตรงหน้าอกขาวที่โผล่มาให้เห็น เพราะเสื้อผ้าปอนๆที่กว้านคอลึกพอสมควร
ดอกเหมยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
‘ฉันเป็นสาวซิงนะยะ จะมอบตัวละครลับงานดีอย่างนี้มาบ่อยๆ มีหวังซิงแตกแน่ๆ’ ดอกเหมยได้แต่ลอบถอนหายใจ
“ตกลงเจ้ามีบ้านมั้ย” ถามย้ำอีกครั้งเมื่อเขากินน้ำหมดแล้ว แม้จะหมดแล้วแต่เหมือนเขายังไม่ดับกระหาย ยังพยายามเขย่าให้น้ำไหลลงคออยู่
เขาหยุดกินน้ำ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าตอบหญิงสาว ดอกเหมยเดินเข้าไปในเงามืดมากขึ้น ยิ่งเย็นแล้ว ยิ่งมีคนมาเดินตลาดเยอะ
“ไปกับข้ามั้ย ” ดอกเหมยเอ่ยชวน เขามองมาอย่างไม่เชื่อสายตา ราวกับนางเป็นบ้าไปแล้ว ที่ชวนชายหนุ่มไปด้วยกัน ทั้งที่สภาพการแต่งกายก็เหมือนขอทานด้วยกันด้วยซ้ำ
“ข้าอยู่ในป่า เลยมีของกิน กำลังอยากหาลูกน้องสักหน่อย รับรองไม่ปล่อยให้อดตาย” ดอกเหมยอธิบาย
[เจ้านายคะ ต้องปักธงนะ ไม่ใช่เอามาเป็นเบ๊] เสียงค้านของเหม่ยลู่ดังขึ้นในหู
ดอกเหมยทำเมินเสียงนกเสียงกา ซึ่งก็คือนกน้อยระบบช่วยเหลือของเธอนั่นล่ะ
เธอยืนเกาะอก รอคำตอบ จริงๆเพราะเธอชินกับการมีลูกศิษย์คอยทำอะไรให้ มาตลอด20ปีล่ะ เลยชินกับการวางอำนาจ มากกว่าออดอ้อนให้ชายหนุ่มหลง
‘ฉันเป็นคนอย่างนี้ เอาน่า เดี๋ยวพอตัวเด็ดๆโผล่มา ค่อยออดอ้อนก็ได้ แหม รีบจังนะ อีกตั้งวันนึงถึงจะถึงวันปักธงตามเนื้อเรื่อง’ ดอกเหมยบ่นตอบ
“ตามใจเจ้านะ” เมื่อเห็นเขาเงียบไม่หือไม่อือ ไม่กระดุกกระดิกตัวด้วยซ้ำ ดอกเหมยเลยคิดว่าต้องเดินทางกลับไปที่น้ำตกได้แล้ว ถ้ามืดขึ้นมาแล้วอาจจะเจอสัตว์ป่าตอนที่เดินทางกลับก็ได้
หญิงสาวเดินเนิบนาบตามถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่มากขึ้น บ้างขายผักขายปลา ขายผ้าผ่อน ของสวยงาม เครื่องสำอาง
[เจ้านาย ขอทานคนนั้นตามมาเจ้าค่ะ] ดอกเหมยหันไปมองด้านหลัง เด็กหนุ่มที่เดินตามมารีบแอบหลบนั่งลง ราวกับกลัวว่าเธอจะเห็น