พลันนั้นเองที่คำพูดของเพื่อนดังก้องขึ้นในหัว
‘ก็คุณแม่ฉันกับแม่ของอีตานั่นกำลังจับคู่ให้น่ะสิ นี่แวะมาที่ร้านอยู่เรื่อย วันก่อนมากินคนเดียว วันก่อนของวันก่อนนู้นสั่งอาหารอย่างเยอะ บอกจะเอาไปเลี้ยงลูกน้อง แหวะ ดูยังไงก็รู้ว่าแผนตื้น ๆ มุกจีบสาวแบบเด็กอนุบาล’
แล้วดันไปแซวเพื่อนว่าน่ารักดีด้วยนะ
ก็ถ้ามันเกิดขึ้นกับเธอ สาริศากำลังคิดว่า แบบนี้ไม่น่ารักเสียแล้ว และคงทำหน้ามึน ๆ เมิน ๆ เดินหนีไป หากว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นเธอเข้าเสียก่อน ทั้งยังมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ อีกต่างหาก สุดท้ายก็ต้องยกมือไหว้เขา พร้อมกับตรงเข้าไปทักทายด้วยความจำใจ
“สวัสดีค่ะ”
“นี่ร้านเราหรือ” บุรินทร์ถามขึ้นประโยคแรกด้วยสีหน้าแปลกใจ ดูเนียนเสียจนสาริศานึกชมว่าหน้านิ่ง ๆ แบบนี้ก็เสแสร้งเก่งเหมือนกันนี่นา
“ใช่ค่ะ ร้านซินเอง”
“พี่แวะมาดูสร้อย” ได้คำตอบจากเจ้าของร้านแล้วบุรินทร์เลื่อนสายตาไปที่ชุดเครื่องประดับตรงหน้า สาริศาตรงเข้ามามองตาม ก็ร้องอย่างดีใจว่า “อุ๊ย! ตาถึงมากเลยค่ะ นี่เป็นคอลเล็กชันใหม่สุดของ Zin Gems เลยนะคะ”
บุรินทร์ได้ยินสำเนียงแบบสาวนักขายก็ผุดรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก แววตาของบุรินทร์ปรากฏรอยครุ่นคิดชั่วเสี้ยววินาทีก่อนจางหายไป แล้วหันไปฟังเจ้าของเสียงใสเอ่ยถึงสินค้าของตนต่อจากนั้น
พอเห็นช่องได้ขายของ สาริศาก็พูดเจื้อยแจ้วผิดจากที่เจอกันคืนก่อน บุรินทร์ไม่ได้มาฟังใครเชียร์ขายของ เพราะเขาตัดสินใจแต่แรกแล้ว เอ่ยตัดบทว่า “พี่รับเซตนี้”
“รสนิยมดีมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” ยิ้มหวานแบบการตลาดให้เขา แล้วว่า “เดี๋ยวซินจัดการให้ค่ะ รอสักครู่” หันไปสบตากับพนักงานในร้าน ให้รีบจัดแจงอย่างเร็วไว
รอไม่นาน บุรินทร์ถามเมื่อชำระค่าสินค้าแล้ว “ปกติทานมื้อค่ำกี่โมง”
คิดอย่างมีอคติว่า นี่เขาซื้อของเธอเพื่อเป็นใบเบิกทางในการเข้าหาอย่างนั้นหรือ อยากดูต่อว่ารุ่นนี้มีมุกจีบสาวแบบไหนกัน ตอบรับเขากลับอย่างไม่มีเคอะเขินว่า “ปกติก็กินช่วงเวลานี้แหละค่ะ”
“พี่เลี้ยงมื้อค่ำได้ไหม”
สาริศาคิดต่อไปอีกว่าคงไม่มีผู้หญิงคนใดโง่ถึงขนาดปฏิเสธมื้ออาหารกับผู้ชายคนนี้เป็นแน่ ในแง่ของหน้าตาและบุคลิก แต่ที่ตอบรับคำชวนของเขาไม่ใช่เพราะกลัวว่าตัวเองจะโง่ แต่เพราะอยากจะรู้ต่อจากนั้นต่างหากว่าเขาจงใจมาจีบเธออย่างที่คิดไว้แต่แรกหรือเปล่า
ปั้นยิ้มแบบเสแสร้งที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้ เสียงอ่อนหวานกับเขากว่าเดิม “ไม่ได้ค่ะ ซื้อของของซินแล้ว ก็ต้องให้ซินเลี้ยงสิคะ”
บุรินทร์ไม่โต้แย้งอะไร เขานั่งรอ เมื่อเธอบอกว่าจะขอเวลาสักครู่เพื่อเข้าไปจัดการเอกสารด้านในร้านสักสิบนาที ตรงเวลาตามที่บอก สาริศาเดินกลับมาหาเขาที่นั่งรออยู่ เอ่ยถามไปอย่างนั้นเอง รู้ว่าเขาต้องไม่ขัดข้องอย่างแน่นอน “ไปกินที่ร้าน... ดีไหมคะ”
บุรินทร์ไม่ขัดจริง ๆ แล้วชวนว่า “ไปรถพี่นะ”
“เจอกันที่ร้านดีกว่าค่ะ” บอกเขาแบบนั้นแล้วค่อยตรงไปยังรถของตัวเอง ขับสู่จุดนัดหมายที่เป็นร้านอาหารไทยไม่ไกลจากต้นทางที่จากมาเท่าไรนัก จอดรถเรียบร้อย รอไม่นานบุรินทร์ก็ค่อยตามหลังมาจอดขนาบด้านข้างที่ว่างอยู่พอดี ก่อนจะเดินเข้าร้านไปด้วยกัน
“หมอก” น้ำเสียงดีอกดีใจเรียกชื่อเล่นของบุรินทร์ ทำให้สาริศาต้องหยุดมองตาม พบว่าเป็นชายหนุ่มจากวงสังคมไฮโซ เธอรู้จักหน้าค่าตาเขาดีทีเดียว เพราะเป็นเจ้าของร้านอาหารร้านนี้
พอหันไปทางบุรินทร์ เห็นเขายิ้มแบบที่เธอลงความเห็นได้ว่าเป็นยิ้มสัญลักษณ์ของเขา ทักทายตามมารยาทเพียงแค่ว่า “สวัสดีครับพี่ย้ง”
“มากินข้าวหรือ” เจ้าของชื่อเล่น ‘ย้ง’ ถามแก้เก้อ แล้วก็หัวเราะตามหลังคำถามตัวเอง ลูบต้นคอท่าทางประหม่า “พี่ถามอะไรโง่ ๆ แบบนั้นก็ไม่รู้ มาถึงร้านพี่ก็ต้องมากินข้าวสินะ”
บุรินทร์ยิ้มน้อย ๆ ตอบรับแค่ว่า “ครับ” แบบเดิม
“พี่ตื่นเต้นน่ะ เป็นเกียรติมากที่หมอกเลือกร้านพี่คืนนี้”
“ผมต่างหากครับที่ได้รับเกียรติจากพี่ย้ง”
ชายชื่อย้งยิ้มแบบคนดีใจมาก ๆ แล้วถึงได้ละสายตามองที่เธอบอกบุรินทร์อย่างเกรงใจว่า “รับประทานอาหารมื้อนี้ให้อร่อยนะ ไม่ถูกใจ ไม่พอใจตรงไหน บอกพี่ได้เลย พี่ไม่รบกวนหมอกแล้ว” ชายเจ้าของร้านหันมาสำรวจเธออีกครั้ง บอกตามมารยาทว่า “พี่ไปส่งที่โต๊ะนะ”
สาริศาไม่เคยมากินข้าวกับใครแล้วถูกคนในร้านใช้สายตาสำรวจอย่างนี้มาก่อนเลยสักครั้งเดียว แล้วเลิกให้ความสนใจเมื่อบุรินทร์ให้เธอเป็นคนเลือกเมนูอาหาร สั่งตามที่อยากกินเรียบร้อย เขาชวนคุยอุ่นเครื่องด้วยเรื่องของข่าวสารรอบตัวทั่ว ๆ ไป
แม้เป็นคนพูดน้อย แต่สาริศาพบว่าบุรินทร์เป็นคนพูดได้น่าฟังมาก เขามีทัศนคติกว้างไกล มีหลายอย่างที่คิดคล้ายคลึงกับเธอ หากไม่อคติเกินไปนัก จะฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาละมุนหูดีทีเดียว และอายุของเขาจะต้องมากกว่าเธอเกินห้าปีอย่างแน่นอน
ก็แล้วทำไมต้องไปคิดถึงความห่างของอายุด้วยเล่า
สาริศาจิ๊ปากเบา ๆ อย่างหัวเสีย หงุดหงิดกับความคิดของตัวเองในตอนนั้น
“ของหวานไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามขัดความคิดของเธอ
สาริศาใช้เวลาคิดครู่หนึ่ง ตอบไปว่า “ซินอิ่มมากเลยค่ะ แต่ก็รับได้อีกนะคะ”
บุรินทร์มองเธอราวกับมองเด็กเล็ก ๆ จอมตะกละคนหนึ่ง เธอรู้ว่าเขากำลังคิดแบบนั้น แต่ต้องสนใจด้วยหรืออย่างไร
นาทีต่อมาบุรินทร์ส่งสายตาเรียกพนักงานที่ยืนคอยอยู่ใกล้ ๆ ให้มารับรายการของหวานจากเธอ เขาคุยต่อได้อีกเป็นนาน จนเธอละเลียดของหวานหมดถึงได้ให้พนักงานส่งบิลชำระเงินมา
“ซินบอกว่าซินจ่ายเองไงคะ” สาริศาขัดเขา พยายามยื้อแย่งจะจ่ายค่าอาหารเอง
“เอาไว้รอบหน้าก็แล้วกัน”
เขาบอกแบบนั้น ล้วนเป็นไปตามมารยาท พร้อมส่งบัตรเครดิตให้ทางพนักงานของร้าน สาริศาได้ยินก็เมินหน้าไปมองทางอื่น มุมปากกดลงนิดเดียวแทบมองไม่เห็น หากไม่สังเกตดี ๆ ก่อนหันไปสบตากับบุรินทร์ด้วยรอยยิ้มแบบเด็กขี้ประจบ ในหัวของเธอคิดอย่างติดตลกว่ายังจะมีรอบหน้าอีกหรือ เธอคงไม่ดวงกุดขนาดจะเวียนไปพบกับบุรินทร์ได้อีกครั้งเป็นแน่
บุรินทร์เดินไปส่งเธอที่รถ กล่าวขอบคุณเขาอย่างเป็นทางการ แล้วแยกย้ายจากไปในทันที
“อะไรนะคะ”
สาริศาทวนถามด้วยแววตาที่ส่อว่าไม่เชื่ออย่างที่หูได้ยิน
หลังจอดรถแล้ว เธอเดินเอื่อยเฉื่อยเข้าบ้านมา พบบิดานั่งจิบเหล้าอยู่ ท่าทางเหมือนคอยจะคุยอะไรด้วยที่ชุดม้านั่งกลางบ้าน
แล้วถึงได้ยินท่านเอ่ยเรื่องให้ไปดูงานที่บุรินทร์กรุ๊ป ที่ตอนนี้กำลังมีชื่อเสียงมากจนติดอันดับต้น ๆ ของประเทศ
ท่านคุยว่าบุรินทร์กรุ๊ปจับธุรกิจได้ถูกเทรนด์
ไม่ว่าจะเป็นโลจิสติกส์ในประเทศ อิมปอร์ตเอ็กซ์ปอร์ต บริษัทรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงยา ปุ๋ย เคมีภัณฑ์ ยังมีบริษัทแปรรูปผลผลิตการเกษตรที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน และที่น่าจับตาอีกอย่างคือบุรินทร์กรุ๊ปกำลังมีแผนจะผันตัวเองไปเป็นบริษัทเงินทุนสำหรับธุรกิจรายใหญ่อีกด้วย
ท่านโวว่าบุรินทร์กรุ๊ปทำกำไรเฉพาะไตรมาสแรก เกินเป้าที่ตั้งเอาไว้เกือบยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
สาริศาฟังจบก็เริ่มนั่งไม่ติด เธอทำงานที่บริษัทของบิดาอยู่ดี ๆ จะให้เข้าไปดูงานที่อื่นได้อย่างไร ไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่มีใครทำแบบนั้น แต่บิดาของเธอนี่แหละที่จะทำ แล้วก็คงคิดหาทางทำให้ได้อีกด้วย
ท่านกำลังคิดอ่านสิ่งใดอยู่ ทำไมสาริศาจะมองไม่ออก
สรสิชมองบุตรสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลุกขึ้นแล้วตรงเข้ามาหา โอบไหล่เธอเบา ๆ “นี่พี่เขาออกปากชวนเองเลยนะ ไม่รู้ว่าอยากให้ลูกของพ่อไปดูระบบงานอย่างที่ชวน หรือเขาเกิดถูกใจลูกสาวของพ่อเข้าแล้วก็ไม่รู้”
ได้ยินแบบนั้น สาริศาหน้าแหยหน่อยหนึ่ง พึมพำว่า “ไม่เห็นเขาพูดอะไรเลยนะคะ ตอนที่...” แล้วก็นิ่งไป ไม่พูดต่อ นึกได้ว่า มันดีแล้วหรือหากบิดารู้ว่าตนเองเพิ่งไปกินข้าวกับบุรินทร์มา
คนเป็นพ่อได้ยิน อดถามต่อไม่ได้ “ตอนที่อะไร”
“คือ” อึกอักเล็กน้อย สุดท้ายก็ต้องเล่าไปตามจริง “ซินเจอเขาที่ร้านน่ะค่ะ เห็นว่ามาอุดหนุนชุดเครื่องประดับคอลเล็กชันใหม่ เขาเลยชวนซินออกไปกินข้าวด้วยก่อนเข้าบ้านนี่เอง แล้วตอนนั่งกินข้าวกัน ก็ไม่เห็นเขาพูดเรื่องนี้เลยนี่คะ”
ได้คำตอบจากบุตรสาวแล้ว ความพึงพอใจก็ค่อยผุดขึ้นในดวงตาของสรสิช “นี่ลูกออกไปกินข้าวกับพี่เขามาแล้วด้วย ทำดีมาก”
สาริศาเงียบ เธอพอเดาความคิดของบิดาออก ท่านกำลังคิดจับเธอใส่พานให้บุรินทร์ ไม่น่าปากไวพูดออกไปเลย ให้ตายเถอะ!
“เรื่องไปดูงาน ขอซินคิดดูก่อนได้ไหมคะ ถ้าไป ซินก็ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไหนไปดูแลที่ร้าน แล้วไหนยังจะงานที่บริษัทของคุณพ่ออีก”
“ไม่ต้องคิดอะไรเลยซินลูกรัก พ่อคิดทุกอย่างไว้ให้ซินหมดแล้ว อาทิตย์หน้าเตรียมตัวเลยนะ พี่เขาออกปากว่าจะรอสอนเราเองเลย มันต้องดีแน่ ๆ” สรสิชกำมือชูด้วยท่าทางให้กำลังใจเธอ เห็นแล้วก็ได้แต่ร้องว้า... อยู่ในใจ
“ซิน...” สาริศาไม่อยากไป เธอพยายามหาหนทางเอาตัวรอดด้วยการบ่ายเบี่ยง ไม่อยากเป็นหุ่นเชิดของบิดา คราวนั้นรอดมาได้รอบหนึ่งแล้ว กับการถูกจับใส่พาน เกือบได้ไปเป็นภรรยาน้อยของเจ้าสัว คราวนี้ขอให้แคล้วคลาดอีกสักครั้งด้วยเถอะ
“ซินไม่เคยได้ยินว่าใครที่ไหนจะอยากให้คนนอกไปดูงานในบริษัทตัวเองมาก่อนเลยนะคะ”
สรสิชไม่ยิ้มอีกแล้ว ถามด้วยสีหน้าที่คนเป็นลูกมองออกว่าเริ่มไม่พอใจ “เราอยู่ในวงการนี้มานานแค่ไหนกัน ถึงจะเคยได้ยินทุกเรื่องเลยน่ะ”
“แต่ว่า...”
แล้วก็ดูเหมือนว่าความอดทนของสรสิชจะสิ้นสุดลง เมื่อบุตรสาวคุยไม่ง่ายแบบทุกที คนได้ชื่อว่าเป็นพ่อบอกเสียงเย็นว่า “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นสาริศา”
ได้ยินบิดาเรียกตนด้วยชื่อจริงก็นิ่งเอาไว้
แต่พอนึกถึงตาสีดำสนิทของบุรินทร์ สาริศาก็เกิดอาการดื้อรั้นขึ้นมาอีกรอบ อ้า ๆ หุบ ๆ ปาก พยายามหาเหตุผลมาค้านบิดา
สรสิชมองเห็นอาการต่อต้านของบุตรสาวก็ค่อยหันหลัง เดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มไม่ห่างจากตรงนั้น ว่าขึ้นขณะรินเหล้าใส่ลงในแก้ว “ลูกไม่ไปก็ได้นะ แต่นัดผ่าตัดของพเยา พ่อว่าเราคงต้องเลื่อนออกไปก่อน” ว่าจบล้วงเอามือถือออกมามองที่หน้าจอขณะกล่าว “หรือพ่อจะแคนเซิลอาจารย์หมอดี”
สาริศาเรียกท่านเสียงดังลั่นบ้าน “คุณพ่อ!”
สรสิชหันมองด้วยดวงตาที่ไม่มีร่องรอยของการพูดเล่นแต่อย่างใด ถามย้ำ “ตกลงเอายังไง”
พเยากำลังจะได้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนไต หากบิดาไม่ติดต่อเป็นธุระให้ เธอจะทำอย่างไรเล่า รอคิวจากโรงพยาบาลรัฐ ตอนนี้ล่าสุดอยู่ที่ปลายปีหน้าถึงจะได้คิวผ่า ท่านเลยไปติดต่อที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังให้ แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แล้วท่านก็สัญญาแล้วด้วยว่าจะช่วยเหลือทั้งหมดเอง
สรสิชไม่เคยขู่ หากบอกว่าไม่ช่วย ก็เป็นแบบที่บอกทุกครั้ง และสาริศาก็ไม่คิดจะเอาชีวิตของพเยาไปเสี่ยง
พเยาเป็นคนเดียวที่เข้าใจเธอที่สุด เวลาถูกบิดาบ่นว่าหรือกดดันสารพัดเรื่อง ก็จะมีพเยาคอยปลอบประโลมอยู่ใกล้ ๆ สาริศารักพเยาไม่ต่างจากแม่เลยสักนิด
แล้วภาพในอดีตเมื่อครั้งนั้นก็ค่อย ๆ ผุดเข้ามาในหัว
เธอต่อต้านบิดาด้วยการไม่เรียนวิชาที่ท่านบอก ท่านไม่ทำโทษเธอ แต่หันไปเล่นงานพเยาแทน ใช้งานหญิงอายุหกสิบกว่าจนล้มป่วยถึงกับต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล หลังจากนั้นเป็นต้นมา สาริศาก็ไม่กล้าหือกับบิดาอีก
“หรือคิดว่าโตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็พากันออกไปหาที่กินที่อยู่เอาเอง ไม่ต้องมาพึ่งพ่อ ไม่ต้องมาทำงานกับพ่อ ออกไปหางานที่อื่นทำเอาเอง รวมถึงไอ้ร้านจีเวลรีกระจอกงอกง่อยนั่นด้วย คืนทุนพ่อมาให้หมด มากันแต่ตัวก็ไปแต่ตัว”
ว่าจบ สรสิชเดินขึ้นบันไดบ้านไปพร้อมแก้วเหล้าในมือ
สาริศามองตามแผ่นหลังของบิดาที่เดินห่างออกไป ก็รีบกลับเข้าห้อง รื้อค้นหาบัญชีเงินฝากทั้งหมดที่มี เอามานับรวมกัน เพื่อจะได้ใช้เงินตรงนี้ ช่วยเหลือพเยาก่อนในลำดับแรก เหลืออีกเท่าไรเธอก็จะนำไปก่อร่างสร้างตัวหลังจากนั้น
รุ่งขึ้นสาริศาโทรศัพท์สอบถามเรื่องค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่ง แต่แล้วกลับได้คำตอบจากพนักงานเรื่องค่าใช้จ่ายและคิวของอาจารย์แพทย์คนดัง แม้เป็นโรงพยาบาลเอกชน จ่ายแพงกว่า กระนั้นก็คิวยาวไม่แพ้โรงพยาบาลของรัฐอยู่ดี
มีเงินอย่างเดียวไม่พอจริง ๆ แสดงว่าบิดาของเธอต้องพอรู้จักกับอาจารย์แพทย์ท่านนั้น ถึงแทรกคิวได้ แล้วหากว่าเธอรั้น ท่านต้องทำอย่างที่บอกแน่ ไม่ใช่แค่ขู่เล่น
เธอไม่อยากเอาสุขภาพของพเยามาเสี่ยง
ถอนหายใจเบา ๆ บอกตัวเองว่าไปก็ไปสิ จะต้องกลัวอะไร เดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็ครบกำหนดที่บิดาบอกแล้วนี่นา
บุรินทร์จอดรถแล้วก็หอบเอาแฟ้มงานลงมาด้วย จนถึงห้องทำงาน นึกได้ว่าลืมของอีกชิ้นในรถ จึงเดินลงไปอีกครั้ง ผลักประตูห้องเข้าไปแล้ว พบขวัญสุดานำกาแฟมาวางให้ที่โต๊ะพอดี
“ของคุณ” บุรินทร์เดินเข้าไปยื่นถุงใส่เครื่องประดับส่งให้
ชื่อร้านเด่นหราที่หน้าถุงขนาดนั้น แต่ขวัญสุดาก็แกล้งถามอย่างใสซื่อว่า “อะไรหรือคะ”
“เปิดดูเองดีไหม” บุรินทร์ถามกลับ มองอีกฝ่ายนิ่ง ขวัญสุดายิ้มตอบ แล้วรับมาถือ ค่อยเปิดออกดูด้วยอาการตื่นเต้นดีใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มจากคิ้วตาลงไปถึงริมฝีปาก
ถามแม้จะพอคาดเดาคำตอบจากอีกฝ่ายได้ “เนื่องในโอกาสอะไรคะ”
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือผมมาตลอด”
“หน้าที่อุ๋มนี่คะ ไม่เห็นต้องซื้ออะไรแบบนี้ให้เลย” พูดมาถึงตรงนี้
ขวัญสุดาแสร้งยกมือขึ้นปิดปาก ละล่ำละลักพูดว่า “บอสคะ บอสอย่าเข้าใจอุ๋มผิดนะคะ เมื่อวานที่อุ๋มเปิดดูสร้อย อุ๋มไม่ได้ตั้งใจจะให้บอสซื้อให้นะคะ”
บุรินทร์ส่ายหน้าน้อย ๆ บอกให้เลขาของเขาสบายใจ “อย่าคิดมากเลยคุณอุ๋ม” เขาเงียบไปอึดใจ บอกขึ้นอีกประโยค “อ้อ สุขสันต์วันเกิดด้วยนะครับ”
ขวัญสุดาตื้อในอก ยิ้มหวาน กล่าวตอบนายกลับด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับฉ่ำหยาดน้ำ “ขอบคุณค่ะบอส”
บุรินทร์หันหลังเดินกลับเข้าโต๊ะทำงาน แล้วเอ่ยขึ้นในตอนนั้น
“ร้าน Zin Gems เป็นของลูกสาวอาสิชนี่นะ”
ขวัญสุดาชะงักรอยยิ้ม ลอบกลืนน้ำลายลงคอ ถามด้วยท่าทีแปลกใจว่า “หรือคะ”
บุรินทร์หันกลับมามองที่ขวัญสุดาอีกครั้ง พร้อมกับส่งยิ้มให้ ไม่ได้ตอบว่าอะไร จ้องหญิงสาวตรง ๆ ถามเสียงนิ่งว่า “มีเรื่องอะไร... อยากบอกผมไหม”
ขวัญสุดาหน้าซีดเผือดลงเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังปั้นยิ้มเอาไว้ ไม่แน่ใจว่าบุรินทร์ถามแบบนี้ทำไม เขารู้ว่าเธอวางแผนให้เขาไปเจอกับสาริศาอย่างนั้นหรือ กลืนน้ำลายลงคออีกครั้ง บอกปัดว่า “ไม่มีนี่คะบอส”
บุรินทร์ยิ้มแบบเดิม จังหวะนั้นเองที่มีเสียงเคาะประตูดังขัดขึ้น เป็นวงเดือน ผู้ช่วยเลขาที่ยื่นหน้าเข้ามารายงาน “บอสคะ คุณสรสิชขอพบค่ะ”
ขวัญสุดายังคงปั้นหน้ายิ้ม พาตัวเองออกจากห้องของบุรินทร์ รีบเอาของขวัญที่เจ้านายหนุ่มมอบให้ เก็บไว้ที่โต๊ะ ไม่นานสรสิชเดินออกจากลิฟต์ ผ่านหน้าโต๊ะของขวัญสุดาไป ตรงเข้าห้องทำงานของบุรินทร์ในทันที
“มีอะไรเร่งด่วนหรือครับอาสิช มาแต่เช้าเลย” บุรินทร์ทักทายผู้มาเยือน นำไปยังชุดเก้าอี้รับแขกภายในห้องทำงานของเขา
สรสิชนั่งลงแล้วก็ว่า “เมื่อวานอาตกใจแทบแย่ นึกว่าใครมาฉกลูกสาวของอาไป ที่แท้ก็พี่หมอกนี่เอง”
บุรินทร์ยิ้มแค่ปาก ตามองสรสิชนิ่ง ๆ ค่อยพูดต่อจากนั้น “ผมแวะไปอุดหนุนที่ร้านเขามาน่ะครับ เลยถือโอกาสพาออกไปกินมื้อค่ำ ต้องขอโทษอาสิชด้วยที่ไม่ได้โทร.ขออนุญาตก่อน”
“อาไว้ใจหมอก อาไม่ว่าอะไรหรอกถ้าน้องไปกับหมอกน่ะ” สรสิชตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ถูกใจไม่น้อยเมื่อรู้ว่าบุรินทร์มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับสาริศามากขึ้น แม้จะแค่ออกไปกินข้าวด้วยกันมื้อเดียวก็ตาม จึงได้ไขว่คว้าหาโอกาสให้บุตรสาวได้ใกล้ชิดบุรินทร์มากขึ้น แบบที่ดั้นด้นอยู่นี่อย่างไรเล่า
“ขานั้นเขาปลื้มพี่หมอกใหญ่เลยนะ กลับมาคุยโม้ว่าพี่หมอกคุยสนุก กว่าจะหยุดพูดถึงหมอกได้ อาต้องไล่ให้ไปนอนนู่นแหละ” บุรินทร์ยิ้ม ไม่กล่าวอะไร สรสิชจึงเสริมต่อ “อาได้ข่าวว่าหมอกกำลังจะขยายบริษัทแปรรูปผลไม้หรือ”
สรสิชถามถึงบริษัทแปรรูปผลไม้ที่บุรินทร์กำลังลงไปคลุกคลีอยู่ในตอนนี้ แม้จะเป็นบริษัทใหม่ที่ส่งขายนำร่องก่อนเฉพาะภายในประเทศ แต่ได้ยินมาว่ามีแพลนจะส่งออกในต้นปีหน้านี้ด้วย แสดงว่าผลประกอบการต้องดีมากแน่
บุรินทร์ตอบรับง่าย ๆ “ใช่ครับ”
สรสิชเงียบไป พยักหน้าเบา ๆ ก่อนว่าขึ้น
“ไม่รู้ยายซินไปรู้เรื่องนี้ได้ยังไงนะ แสดงว่าน้องคงสนใจมากแน่ ๆ นี่เอามาคุยกับอาเมื่อเช้า บอกว่าสนใจงานโลจิสติกส์ตั้งแต่สมัยเรียนปีสองนู่นเลย แล้วยังชมต่ออีกนะว่าผลไม้แปรรูปของหมอกก็น่าสนใจไม่น้อยเหมือนกัน พี่หมอกทำอะไร ขานั้นเขาชมหมดละว่าดี ว่าพี่หมอกเก่ง”
“หรือครับ” บุรินทร์มีสีหน้าแปลกใจ ดวงตาฉายแววขบขันออกมานิดเดียวเท่านั้น เพราะเท่าที่คุยกันเมื่อคืน สาริศาไม่ได้มีท่าทีสนใจถามเขาเรื่องงานเลยสักนิด
“นี่รบเร้าอาให้ช่วยคุยกับหมอกที ว่าถ้าอยากมาเรียนรู้งานด้านนี้กับหมอก น้องจะเข้ามาดูงานที่นี่ได้ไหม” สรสิชกล่าวแล้วก็แสร้งทำหน้าหนักใจ “อาก็ไม่ได้อยากตามใจลูกหรอกนะหมอก”
บุรินทร์ยิ้ม ไม่กล่าวรับหรือปฏิเสธใด ๆ รอฟังว่าสรสิชจะพูดอย่างไรต่อไป
“ถ้าหมอกไม่สะดวก อาจะกลับไปคุย จะไปอธิบายให้น้องฟังอีกที ว่าบริษัทใหญ่เขาไม่ได้เปิดให้ใครต่อใครดูงานกันได้ง่าย ๆ หรอก อย่างว่านั่นแหละนะ เด็กกำลังเรียนรู้ เห็นว่าสนใจ อาก็อยากสนับสนุน”
บุรินทร์ลากสายตามองเลยไปยังด้านนอกของตัวอาคาร นึกถึงใบหน้าสวยน่ารักของสาริศาที่แววตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้น ก็ค่อยผุดรอยยิ้มออกมาอีกเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
สาริศานี่น่ะหรือสนใจธุรกิจของเขา อยากมาดูงานที่นี่
เท่าที่นั่งรับประทานอาหารด้วยกันเมื่อวาน มองไม่ออกเลยว่าแม่ตัวดีอยากจะเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เขาอีก ตอนบอกว่าไว้โอกาสหน้าค่อยเลี้ยงข้าว เห็นทำเบ้ปากด้วยซ้ำไป
ก้มหน้าลงยิ้ม ตอบรับกับสรสิชว่า “ผมไม่ขัดข้องหรอกครับ”
เหมือนเห็นบันไดไต่ขึ้นไปบนสรวงสวรรค์ สรสิชลอบผ่อนลมหายใจออกปากเบา ๆ ระงับอาการดีใจไม่ให้มันโจ่งแจ้งมากจนเกินไปนัก ขยับเข้ามานั่งใกล้ ๆ บุรินทร์ ถือวิสาสะตบหลังมืออีกฝ่าย
“อย่างนั้น อาฝากน้องด้วยนะ ถ้าเกิดดื้อหรือว่าซนยังไง หมอกตีได้เลย อาอนุญาต”
บุรินทร์มองเห็นเค้าความดื้ออยู่บ้างแล้ว แต่เขาคงไม่ตี รับปากออกไปอย่างสุภาพแบบเดิมว่า “ครับ”
สรสิชยิ้มกว้างขึ้นด้วยความยินดีปรีดิ์เปรม สนทนาเรื่องอื่นด้วยกันอีกเป็นครู่ ค่อยปลีกตัวออกจากบุรินทร์กรุ๊ปในเวลาต่อมา