บุรินทร์มาบริษัทแต่เช้า เขามักมาถึงก่อนพนักงานของตนเองเป็นประจำ ถึงอย่างนั้นก็ช้ากว่าเลขาของเขาทุกทีไป
ถึงห้องแล้ว พบว่าไฟเปิดรอสว่างโร่ คอมพิวเตอร์ส่วนตัวพร้อมให้เข้ารหัสใช้งาน ค่อยวางกระเป๋าลง นาทีต่อมาประตูห้องถูกเคาะเบา ๆ แล้วเปิดออก ร่างระหงในชุดกระโปรงยาวทรงสอบสีสุภาพยืนส่งยิ้มให้ที่ตรงนั้น
บุรินทร์ทักถามถึงอาการป่วยเมื่อวานนี้ “ดีขึ้นแล้วหรือคุณอุ๋ม”
เจ้าของชื่อเล่น ‘อุ๋ม’ เงียบไปครู่ นึกทบทวนอย่างรวดเร็วก็พบว่าเมื่อวานตนอ้างเรื่องไม่สบายเอาไว้ เพราะไม่อยากตามเขาไปที่งานเลี้ยงด้วย ยิ้มจาง ๆ ตอบกลับว่า “ดีขึ้นแล้วค่ะบอส”
“ถ้ายังไม่หายดี คุณลาได้นะ วงเดือนก็อยู่ เขาพอจะทำแทนคุณได้อยู่หรอก” บุรินทร์บอกอย่างใจกว้าง เขาไม่เคยเอาเปรียบลูกน้อง งานไหนทำเองได้แทบจะลงมือทำด้วยตัวเองด้วยซ้ำไป ไม่วายกระเซ้าด้วยรอยยิ้มว่า “รู้ไหม เมื่อตอนเดินเข้ามาผมดีใจเก้อเลย นึกว่าเป็นคนแรกของออฟฟิศเสียอีก ขนาดไม่สบายคุณก็ยังมาทำงานก่อนผมอยู่ดี”
ขวัญสุดายิ้มให้บุรินทร์ด้วยอาการเอียงอายเล็กน้อย ก่อนวางแก้วกาแฟลงที่โต๊ะ เลี่ยงออกไปเอาตารางงานของวันนี้มาแจงให้ผู้เป็นนายได้ทราบว่ามีนัดหมายสำคัญที่ไหนกับใครบ้าง
บุรินทร์นั่งลงที่เก้าอี้ของเขา เอื้อมหยิบกาแฟขึ้นจิบ ตามองที่หญิงสาวตรงหน้าด้วยความคิดอย่างหนึ่งในหัว
ขวัญสุดาช่วยงานเขาตั้งแต่เริ่มเปิดบริษัทจนถึงวันนี้ เหยียบสิบปีเข้าไปแล้ว เธอปราดเปรียว คล่องแคล่ว เป็นงานไปเสียทุกอย่าง จนบุรินทร์เคยคิดเล่น ๆ ว่า หากขาดเลขาอย่างขวัญสุดาสักคน เขาคงมาไม่ได้ไกลอย่างวันนี้ หรืออาจมาได้อยู่หรอก แต่ก็อาจใช้เวลานานกว่านี้เล็กน้อย
มีทีมดีเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างที่ตั้งใจ
ไม่กี่นาที ขวัญสุดาก็รายงานจบ บุรินทร์พยักหน้าให้แยกตัวไปทำงานได้ ส่วนเขาเองดึงเอกสารด่วนที่สุดที่ขวัญสุดาเตรียมไว้ให้ เปิดออกอ่านทีละแฟ้ม
ราวสิบโมงเศษ เห็นแม่บ้านช่วยกันหอบหิ้วถุงใส่ของเข้ามาวางกองเต็มพื้น ขวัญสุดาเข้าไปยืนมอง ก่อนถามแม่บ้านของสำนักงานว่า “หอบอะไรเข้ามาวางกองเต็มพื้นเลยคะ ฝุ่นฟุ้งไปทั่วทั้งชั้นแล้วเนี่ย”
แม่บ้านกำลังอ้าปากจะเอ่ยว่าของนี่คือของของใคร บุรินทร์ก็เดินออกมาจากห้องเสียก่อน เขามองเลยไปยังลิฟต์ ผุดรอยยิ้มแล้วตรงเข้าไปรับคนที่อยู่หลังบานประตูเหล็กที่กำลังเลื่อนเปิดออกพอดิบพอดี
“มาได้ยังไงครับ”
ขวัญสุดาหมุนตัวหันไปมองตาม เห็นว่าใคร ก็รีบปั้นหน้ายิ้มแย้ม มองบุรินทร์ที่ตรงเข้าไปประคองหญิงสูงวัยพาเดินผ่านหน้าไป ก็เก้ ๆ กัง ๆ อยากช่วยด้วย
บุรินทร์พาคนมาเยือนลงนั่งที่เก้าอี้นวมตัวใหญ่ในห้องเรียบร้อยดีแล้ว ค่อยถามกึ่งหยอกเย้าว่า “นี่ตั้งใจมาหาผมหรือเป็นแค่ทางผ่านไปธุระครับ”
“แวะมาหาเราน่ะสิพ่อคุณ ถ้ายายไม่มาหาเอง ชาตินี้คงรอจนแห้งเหี่ยวตายที่บ้านสวนแน่ ๆ”
“ผมกำลังคิดว่าจะแวะไปหาคุณยายอยู่พอดี”
“ไอ้ประโยคแบบนี้ ยายจำได้ว่าพูดตั้งแต่ต้นปีที่แล้วแล้วนะ แต่ไม่เห็นจะไปหาสักที ขืนรอเรา มะพร้าวทะลายที่บอกให้เก็บไว้ให้ผม คงแก่ร่วงแตกหน่อใหม่หมด ยายเลยให้เจ้าบอยมันขับรถมาส่ง พาหลงอยู่ตั้งนานกว่าจะมาถึง”
“เก่งแล้วครับ มาถึงได้ก่อนมืด” เย้าท่านอย่างอารมณ์ดี คุณยายผกามาศค้อนหลานชายวงเบ้อเริ่ม ตบหลังมืออีกฝ่าย คุยเรื่องเจ้าบอยให้ฟังไปพลาง
“ขานั้น เขาได้เมียแล้วนะตาหมอก จะคลอดอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว”
ท่านเล่าเรื่องของบอย ลูกชายของนายล้วน คนสนิทของท่านให้ฟังต่อว่า บอยอายุเพิ่งพ้นยี่สิบไม่ถึงสามปีด้วยซ้ำ แต่กำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว คนเป็นยายโยงมาถึงเรื่องหลานชายตนเองในที่สุด
บุรินทร์ยิ้ม เมื่อพอเข้าใจถึงนัยคำกล่าวของผู้เป็นยาย ทำเฉไฉ บ่นท่านกลับว่า “ก็ยังจะให้ขับรถมาส่งอีกหรือครับ ไม่ให้เฝ้าเมียเอาไว้ เกิดปุบปับเจ็บท้องคลอด ได้ลำบากลุงล้วนอีก”
คุณยายผกามาศค้อนใส่หลานชายอีกวงใหญ่ ที่ทำเป็นโง่ทุกทีเวลาคุยเรื่องครอบครัว “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยตาหมอก เราน่ะทำแต่งานงก ๆ ไม่คิดจะหาเมียทำเหลนให้ยายได้ชื่นใจบ้างเลยหรือยังไงกัน”
บุรินทร์เอาแต่ยิ้ม ไม่ทันได้พูดอะไรโต้ตอบยายของเขา ก็แว่วเสียงเคาะประตูรบกวนการสนทนาอย่างออกรสเสียก่อน หันไปมองพบว่าเป็นขวัญสุดา
ร่างระหงของเลขาสาวบรรจงเอาถาดบรรจุเครื่องดื่มของเจ้านายและยายของเขามาวางที่โต๊ะด้วยตนเอง แทนที่จะให้เป็นหน้าที่ของแม่บ้านอย่างทุกครั้งที่มีแขกมาเยือน
“ชาดอกมะลิ บำรุงหัวใจค่ะคุณยาย”
คุณยายผกามาศลดรอยยิ้มลงหน่อยหนึ่ง ตอบรับทางเลขาของหลานชายด้วยท่าทีไว้เชิงเล็กน้อย “ขอบใจมากนะหนู”
บุรินทร์มองยายของเขาแล้วก็ค่อยเลื่อนสายตาไปสบกับขวัญสุดา พยักหน้าให้หญิงสาวด้วยท่าทีพอใจ คนเป็นยายเห็นเข้าก็นิ่ง กระแอมเบา ๆ บุรินทร์จึงละสายตาจากเลขาคนงามมาที่ท่าน ตอบคำถามที่คุยค้างเมื่อครู่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ขอเวลาให้ผมทำงานอีกสักปีสองปีเถอะครับ รอบนี้รับรองได้ว่าผมจะตั้งใจหาหลานสะใภ้มาให้คุณยายได้ชื่นชมแน่นอน อายุมากไปก็กลัวเหมือนกันนะครับว่าจะวิ่งเล่นกับลูกไม่ไหว”
เอ่ยจบเห็นเลขาคนสวยช้อนตามองหลานชายของตน คุณยายผกามาศกระแอมไอขัดขึ้นอีกครั้ง เตือนเสียงขรึมว่า “เราน่ะก็อายุไม่ใช่น้อย มองใครต้องมองให้ถ้วนถี่นะพ่อคุณ อย่ามองอะไรตื้น ๆ ที่ดูว่าสวยดี หยิบง่าย ใช้คล่องมือดี บางทีอาจไม่ใช่ของดีของเราก็ได้นะลูก”
ขวัญสุดาหน้าเจื่อนเล็กน้อย พยายามไม่คิดในแง่ลบว่าคุณยายของบุรินทร์กำลังกล่าวกระทบตน เอ่ยขอตัว หันหลังออกจากห้องไป บุรินทร์ยิ้มให้ยายของเขา ชวนคุยเรื่องอื่นต่อจากนั้น
ปีกว่าแล้วที่หลานอย่างเขาไม่ค่อยได้แวะไปเยี่ยมหาท่านเลย ยิ่งงานรัดตัว เวลาไปไหนมาไหนก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไปอีก ทั้ง ๆ ที่ทางผ่านไปโรงงานแปรรูปผลไม้ของเขาเป็นทางผ่านไปบ้านคุณยายแท้ ๆ เขาก็ยังไม่มีเวลาแวะหาท่าน หากคุณยายผกามาศรู้ ท่านต้องน้อยใจเป็นแน่
“คืนก่อนนู้นยายฝันไม่ดี” ท่านเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่สบายใจนัก บุรินทร์ขยับเข้าไปโอบเอวยายของเขา ซักถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเอาใจ
“ฝันว่ายังไงครับ”
“ยายฝันว่าเราน่ะได้ลูกหมามาเลี้ยง น่ารักเชียว อุ้มมันอยู่ดี ๆ มันก็ขู่แง่ง ๆ แล้วก็กัดมือลูกเข้าเสียนี่ เลือดนี้อาบไปทั่วแขน จนยายสะดุ้งตื่นขึ้นมา ใจงี้สั่นไปหมด พานจะเป็นลมเอา เลยให้หนูนาพาเข้าห้องพระไปสวดมนต์จนถึงเช้า ก็ยังไม่หายใจสั่น” ท่านเล่าจบ ถอนหายใจออกมาเบา ๆ บุรินทร์ยิ้มแล้วค่อยยื่นมือออกไปลูบหลังมือของยายด้วยอาการปลอบใจ
“เลยแวะมาหาผมอย่างนั้นหรือครับ”
ท่านไม่ตอบรับเรื่องการมาเยือนในวันนี้ เลือกเตือนหลานชายด้วยความฝันที่เล่าให้ฟังเมื่อครู่ “ฝันแบบนี้ มันใช่ฝันดีที่ไหนกัน”
“ไม่ดียังไงครับ”
คุณยายผกามาศมองสำรวจหลานชายอึดใจเดียว ค่อยตีความหมายจากฝันให้ฟัง “ศัตรูจะแกล้งเข้ามาทำทีตีสนิทเป็นมิตรกับเรา ไม่ก็... คนใกล้ตัวอาจจะแว้งกัด ต้องระวังเอาไว้เชียว ไม่รู้ว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรูทั้งนั้นละตอนนี้”
ได้ยินคุณยายทายทักแบบนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ “นี่มันสมัยไหนแล้วครับคุณยาย ไม่มีมิตรหรือศัตรูอะไรทั้งนั้นแหละครับ” ถึงมีก็ไม่ถาวร ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูสำหรับเส้นทางสายนี้ บุรินทร์คิดแต่ไม่ได้เอ่ยออกไปให้คุณยายผกามาศยิ่งเป็นกังวล
ท่านมองหลานชายด้วยสายตาเป็นห่วง เตือนอีกครั้งว่า “ยังไงก็ต้องรู้จักระแวงระวังเอาไว้บ้าง ไว้ใจใครเต็มร้อยได้ที่ไหน ดูอย่างพ่อเราปะไร”
ได้ยินยายเอ่ยถึงบิดาที่ลาลับโลกไปแล้ว บุรินทร์ก็เงียบ ไม่พูดต่อ กุมมือของคนเป็นยายหนักขึ้นหน่อยหนึ่ง พอรู้ตัวก็คลายออก ชวนคุยนอกเรื่องไป ให้ไกลจากความฝันที่ดูว่าท่านจะเป็นกังวลเสียเหลือเกิน
“อยู่กินมื้อเที่ยงกับผมก่อนนะครับ”
คนเป็นยายที่คิดถึงหลานจับใจ มีหรือจะปฏิเสธ
ไม่ต้องสั่งการแม้แต่คำเดียว บุรินทร์เปิดประตูออกไปสบตากับเลขาผู้รู้งาน ขวัญสุดาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อมกับลุกออกไปสั่งให้แม่บ้านเตรียมตั้งโต๊ะที่ห้องรับประทานอาหารใกล้ ๆ กันนั่นเอง
คุณยายผกามาศกลับไปแล้วหลังนั่งมองหลานชายกินข้าวจนหมดจานที่สอง ท่านตักกับข้าวใส่จานหลาน ปากก็หาเรื่องชวนคุยกันไปหลายต่อหลายเรื่อง ล้วนแล้วแต่วนไปวนมาเกี่ยวเนื่องกับคนและบ้านสวนแทบทั้งสิ้น
หลังลงไปส่งคุณยายผกามาศขึ้นรถกลับจนเรียบร้อย บุรินทร์เดินขึ้นมายังห้องทำงาน ออกจากลิฟต์แล้ว ถึงได้เห็นว่าขวัญสุดากำลังยื่นหน้ามองอะไรอยู่ในจอคอมพิวเตอร์ เจ้าหล่อนคงสนใจกับสิ่งนั้นมาก จนไม่รู้ว่าเขาขึ้นมาถึงบนนี้แล้ว เลยเข้าไปยืนมองด้วย พอเห็นว่าเป็นเครื่องประดับครบชุดที่หน้าจอ ก็กล่าวชมสั้น ๆ ว่า “สวยดีนะ”
“ใช่ค่ะ แล้วก็แพงด้วย” ขวัญสุดางึมงำตอบ แกล้งทำท่าตกใจด้วยการสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มอยู่ที่ด้านหลังเก้าอี้ของตนเอง
บุรินทร์ขยับเข้าไปดูราคาที่ใต้ภาพ ครางในลำคอเบา ๆ คล้อยตามเลขาของตัวเองว่า “แพงจริง ๆ ด้วย”
“งานของร้านนี้จะราคาประมาณนี้ค่ะบอส แต่สวยแล้วก็ประณีต ละเอียดดีนะคะ ยิ่งสร้อยนะคะยิ่งสวย แบบก็คลาสสิก ซื้อวันนี้ อีกสิบปียี่สิบปีหยิบออกมาใส่ อุ๋มก็ว่าไม่เชยหรอก พนักงานอย่างอุ๋มงบน้อย ซื้อได้แต่แบบนี้แหละค่ะ เอาไว้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งก่อนเถอะ จะเดินเข้าไปเหมาร้านเพชรดัง ๆ เลย”
บุรินทร์ยิ้มตาม แล้วถามว่า “ร้านอะไรหรือคุณอุ๋ม”
“ร้านไหนหรือคะ ถ้าร้านเพชรชื่อดังก็ต้อง Cuties Diamond อยู่แล้วค่ะ”
“ร้านที่ดูเมื่อครู่นี้ครับ”
“อ๋อ ร้านนั้นชื่อร้าน Zin Gems ค่ะบอส” ขวัญสุดาบอกชื่อร้านออกไปแล้ว ก็ทำท่านึกได้ ดึงสมุดมาเปิดออก รีบรายงานเขา “บอสมีนัดกับคุณสมบัติบ่ายสองนะคะ ที่...” บุรินทร์พยักหน้ารับ เข้าห้องไปครู่เดียวก็ค่อยออกไปยังสถานที่นัดหมาย เพื่อคุยงานกับคู่ค้ารายสำคัญในเวลาต่อมา
‘วัน ๆ ทำงานที่ไหน เห็นเดินเตร่ไปเตร่มา เข้าบริษัทหรือ นู่นเลยจ้า สิบโมง ไม่ก็เที่ยงครึ่ง มาแป๊บ ๆ ก็กลับแล้ว’
‘ถ้าพ่อไม่ใช่เจ้าของ มีหรือจะเข้ามานั่งทำงานในนี้ได้’
“ถ้าฝ่ายบุคคลว่างมากจนมีเวลามานั่งวิจารณ์คนอื่น ก็สมควรแจ้งให้ผู้จัดการฝ่ายพิจารณาเรื่องปลดคนออกนะ เปลืองต้นทุนบริษัท... ว่าไหม” สาริศาเดินออกจากมุมข้างบันไดหนีไฟ ถามขัดสองพนักงานด้วยอาการอย่างคนหัวร้อน เมื่อลงความเห็นให้ตัวเองได้ว่าสองคนนั้นกำลังพาดพิงถึงตน แม้ไม่พูดชื่อ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของที่นี่ มีพ่อเป็นเจ้าของจะใคร ถ้าไม่ใช่เธอ
ใช่ ทั้งหมดนี้ถ้าบิดาไม่หาไว้ให้ จัดทุกอย่างไว้รอท่า เธอก็ไม่มีทางขึ้นเป็นผู้บริหารฝ่ายได้ เอาเข้าจริง ๆ เธอก็ไม่ได้ชอบงานแบบนี้ด้วย แต่ปฏิเสธได้ที่ไหนกัน และที่เธอเข้าออกไม่เป็นเวลาก็เพราะว่าต้องไปประชุม ไม่ก็ออกไปกับบิดาเป็นบางครั้ง คนไม่รู้คงมองว่าเธอไม่เอาอ่าว
ช่างปะไร!
เดินพ้นจากคนพวกนั้น เข้าห้องได้ก็หย่อนก้นลงนั่งกับชุดโต๊ะเก้าอี้ของผู้บริหารจอมปลอม ถามลอย ๆ ขึ้นว่า “วันนี้มีอะไรอีกไหมคะ”
คนถูกถาม ใช้นิ้วดันแว่นให้เข้ากับรูปหน้าของตัวเอง เปิดสมุดในมือเดี๋ยวเดียว เงยหน้าตอบ “ไม่มีแล้วค่ะคุณซิน”
“คุณพ่อไม่เข้าหรือคะวันนี้”
“ไม่ค่ะ”
“ท่านสั่งงานอะไรไว้ไหมคะ”
“ไม่ค่ะ” สาริศาสูดลมหายใจเข้าเบา ๆ บางทีเธอก็นึกว่ากำลังโต้ตอบอยู่กับโปรแกรมสนทนา ‘นารี’ เลขาสาวใหญ่ที่บิดาจัดไว้ให้เป็นพี่เลี้ยง ไม่เคยคุยเรื่องอื่นกับเธอเลยนอกจากเรื่องงาน
หญิงสาวเม้มปากเบา ๆ ก่อนบอก “ซินออกไปดูที่ร้านหน่อยนะคะ ถ้าคุณพ่อเข้ามาแล้วถามหาซิน รบกวนรายงานท่านให้ที” ถ้าไปแบบไม่บอกบิดาก่อน สาริศาไปไม่ได้แน่ แต่ก่อนหน้านี้เธอเรียนท่านไว้แล้ว ว่าวันนี้ช่วงสายถึงบ่ายจะขอแวะไปดูที่ร้านบ้าง รอบนี้ไม่เห็นท่านบ่นอะไรด้วยซ้ำ จึงไม่ถือว่าเป็นการขัดคำสั่งแต่อย่างใด
นารี เลขาวัยสามสิบห้าตอบรับสั้น ๆ เก็บสมุดจดของตนเอง พร้อมมองตามหลังสาริศาไปจนลับตา ค่อยกลับไปนั่งทำงานของตัวเองต่อหลังจากนั้น
“มานู่นแล้ว ว่าไงคะนักธุรกิจสาวสวยที่ฮอตสุด ๆ ในตอนนี้” เสียงทักดังขึ้น ขณะที่สาริศาก้าวขาเข้าไปในร้านอาหารของเพื่อน ก่อนที่อีกเสียงจะแทรกตามหลังมาติด ๆ
“เชิญทางนี้เลยค่ะ มีเก้าอี้ทองคำไหมแก จะได้เหมาะกับก้นงอน ๆ งาม ๆ ของแม่นักธุรกิจคนเก่ง”
“นึกว่าจะไม่มีเวลาแวะมารวมกรุ๊ปได้แล้วนะเนี่ย”
สาริศาหน้าเฉย ไม่พูด ไม่ตอบอะไร แล้วพาตัวเองลงนั่งที่ข้างสาวหล่อ ‘พี่เทก’ ของตนเองที่สนิทกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่งยันจบออกมาทำงาน อ้อนกับทางนั้นแทน “นึกว่าพี่กัฟฟ์จะมาไม่ได้”
ฐปนรรฆ์เอียงไหล่หา ยื่นมือออกมาลูบผมดำเงาสลวยของเธอเบา ๆ อย่างเอ็นดู บอกเสียงอ้อนไม่แพ้กัน “ทีแรกพี่ก็ไม่ว่างออกมาหรอก นี่หลอกม้านะว่าออกมาพบลูกค้า ถึงมาได้”
“ถึงกับต้องหลอกม้าเลยหรือคะ” สาริศาผละออกจ้องตา ถามเสียงอ่อน บ่นต่อจากนั้น “ซินก็บอกว่าออกมาร้าน แต่ไถลมานี่ก่อน ยังไม่ได้เข้าร้านเลยเหมือนกันค่ะ” ถอนหายใจแรง ๆ ครวญเสียงเบา “ถ้ารู้ว่าเรียนจบแล้วจะไม่มีเวลาไปไหนมาไหนเลยแบบนี้นะ ซินกลับไปวนเรียนต่อดีกว่า”
“ได้ที่ไหนเล่า” สาวหล่อใบหน้าหวานหยดบอกปนขำ
สมิตาว่าขึ้นบ้าง “นังปรางมันว่า ตอนโทร.ชวน นึกว่าแกจะบอกว่าติดประชุมโครงการร้อยล้านพันล้านเหมือนคราวที่แล้วเสียอีก”
สาริศาพยักหน้าเบา ๆ “ถ้าไม่เอาที่ร้านมาอ้างคงออกมาไม่ได้หรอก ไม่เอาแล้ว ไม่อยากคุยเรื่องงาน น่าเบื่อออกจะตายไป”
เพื่อนตัวแสบยอมเปลี่ยนเรื่องคุยในที่สุด พาคุยเรื่องที่ค้างเมื่อครู่ต่อ จนผ่านไปครู่ใหญ่ โยษิตา เจ้าของร้านก็ร้องออกมาอย่างหัวเสีย “โว้ย! มาอีกแล้ว”
สมิตาวางส้อมในมือ มองตามสายตาของเพื่อน “อะไรหรือ”
“ก็คุณแม่ฉันกับแม่ของอีตานั่นกำลังจับคู่ให้น่ะสิ นี่แวะมาที่ร้านอยู่เรื่อย วันก่อนมากินคนเดียว วันก่อนของวันก่อนนู้นสั่งอาหารอย่างเยอะ บอกจะเอาไปเลี้ยงลูกน้อง แหวะ ดูยังไงก็รู้ว่าแผนตื้น ๆ มุกจีบสาวแบบเด็กอนุบาล”
ฐปนรรฆ์ตั้งข้อสังเกต “หน้าตาเขาก็ดี หาแฟนเองไม่ได้หรือไง ทำไมต้องมาตามจีบเราด้วยล่ะมะปราง”
โยษิตาได้ยินอย่างนั้นก็ชักยัวะ ร้องถามอย่างคนชอบหาเรื่อง “อ้าว คุณพี่ขา แล้วดิฉันหน้าตาไม่ดีตรงไหน ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกนะคะบอกเลย ทั้งสวย ทั้งรวย แล้วก็เก่งขนาดนี้ ที่สำคัญเด็กมาก ๆ ด้วยนะถ้าเทียบกับอีตานั่นน่ะ” เจ้าตัวบึนปากแล้วว่าต่อ “คงมัวแต่ทำงานจนหง่อมไง ตอนนี้เลยไม่มีปัญญาไปไล่จีบสาว แม่หาใครมาให้ก็คงเอาหมด แต่ประเด็นคือฉันไม่ชอบคนแก่กว่าห้าปีไง เข้าใจกันใช่ไหมวะคะ”
สาริศาที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ค่อยยิ้มออก มองไปทางหน้าร้านก็ค่อยหันกลับมาจิ้มอาหารตรงหน้า รอจะเอาเข้าปาก บอกขำ ๆ ว่า “พี่เขาก็ดูน่ารักดีนะ”
โยษิตาร้องยี้ เอานิ้วจิ้มหัวเธอเบา ๆ “แหวะ สายตาแกยังดีอยู่ไหมเนี่ยนังซิน เออ ถ้าหนังหน้าแบบพี่นิมนะ ฉันจะไม่ว่าเลยสักคำ”
“ไหนบอกว่าไม่เอาแก่กว่าเกินห้าปี พี่นิมนี่ก็สี่สิบแล้วนะยะนังปราง” สมิตาแย้ง เมื่อได้ยินเพื่อนเอ่ยถึงดาราหนุ่มใหญ่ ดาวค้างฟ้าที่หน้าตายังหล่อเหลาไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิดจากเมื่อตอนที่เข้าวงการใหม่
“ฉันอนุโลมให้พี่นิมคนเดียวเท่านั้น”
“สองมาตรฐานมากเลยนะแก สาธุ! ขอให้ได้ผัวแก่ที่แม่หามาให้” สมิตายังไม่เลิกแหย่เพื่อน โยษิตาฉุนกึก นึกอะไรไม่ออกก็ยกเอาเรื่องที่เพื่อนถูกแฟนทิ้งมาแว้งกัด
“ปากแบบนี้ไงถึงได้โดนทิ้ง”
สมิตาวางอุปกรณ์การกินในมือลง ตาแดงหน้าแดงเมื่อถูกเพื่อนพูดแทงใจดำ ถามเสียงโมโหนิด ๆ “เรื่องนี้มันเอามาพูดเล่นได้หรือวะ”
“ก็ทีแกยังพูดล้อฉันได้เลย”
โยษิตายิ้มเยาะ สมิตาทนไม่ไหวเลยเข้าไปทำทีลงไม้ลงมือใส่กัน คนโดนประทุษร้ายแกล้งโวยแล้วก็ตีกันไปมาอยู่อย่างนั้น เธอกับฐปนรรฆ์เลยพลอยขำตามไปด้วย นั่งคุยเรื่องผู้ชายที่มารดาโยษิตาพยายามจับคู่ให้อีกเป็นนาน สาริศาฟังบ้าง ใจลอยไปบ้าง ทอดอารมณ์จนเบื่อ จึงขยับตัวลุกขึ้นยืน
ฐปนรรฆ์รีบถาม “จะไปแล้วหรือ”
“ค่ะ” รับคำพร้อมกับคว้ากระเป๋า บอกต่อจากนั้นว่า “ซินต้องแวะไปดูที่ร้านด้วย เกิดสาย ที่ร้านโทร.รายงานคุณพ่อว่าซินไม่ได้เข้าไป กลับบ้านได้โดนบ่นหูชาแน่”
โยษิตาแกล้งแซว “เมื่อไรจะเอาคอลเล็กชันล่าสุดมาบรรณาการเพื่อนสักที”
“ระดับคุณโยษิตาต้องซื้อแล้วไหมอะ”
“ใจดำชะมัด แจกเพื่อนคนละชุดสองชุด ขนหน้าแข้งแกไม่ร่วงหรอกเว้ยซิน”
สาริศาส่ายหน้า บอกเซ็ง ๆ “ร้านนั้นน่ะเงินคุณพ่อให้ยืมมาย่ะ ยังไม่มีกำไรอย่างที่โม้ไว้เลย อีกอย่างนะ รายได้ของแกดีกว่าฉันตั้งสามเท่าห้าเท่า ยังมาขูดเลือดเอากับปูอีก”
โยษิตาโบกมือไล่ “งั้นไปเถอะแม่นักธุรกิจคนเก่ง”
กลอกตากับคำล้อเลียนของเพื่อน “เลิกเรียกแบบนั้นสักทีได้ไหม อยากจะอ้วก”
ยอมรับว่าอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจหรือการงานจริงอยู่ แต่หญิงสาวไม่ต้องการคำกล่าวเยินยอ ที่บางครั้งเยาะหยัน หรืออาจรวมไปถึงแขวะ กระแนะกระแหนแบบนี้เลยสักนิด โบกมือลา เดินผ่านร้านรวงหลากหลายแบรนด์กลับขึ้นรถที่ลานจอด แวะทำธุระอีกครู่ใหญ่ ค่อยแวะเข้าร้านที่ซึ่งเป็นกิจการแรกและกิจการเดียวของตนเอง ด้วยเงินทุนจากบิดา
วันนี้รถค่อนข้างติด คงเพราะเป็นเวลาเลิกงานพอดี สาริศาฟังเพลงคอยอยู่นาน กว่าจะถึงจุดหมายก็เกือบจะเป็นเวลาปิดให้บริการของร้านไปแล้ว พารถจอดเรียบร้อย เดินครวญเพลงที่ฟังวนซ้ำ ๆ เมื่อครู่ มุ่งหน้าตรงไปเรื่อย ๆ ผ่านประตูร้านเข้าไปแล้วถึงได้สะดุดลมหายใจของตัวเอง เมื่อไปสบสายตาเข้ากับดวงตาสีดำสนิทของลูกค้าหนึ่งเดียวในร้าน