1
เห็นมีช่องจอดว่างอยู่ บุรินทร์จึงพารถตรงไปจุดหมาย แต่แล้วกลับถูกอีกคันตัดหน้าเข้าไปจอดเสียก่อน ดีที่เขาเบรกทัน เลยไม่เฉี่ยวชนจนต้องเสียเวลา
ไม่ได้ติดใจเอาความเมื่อไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้น พารถเคลื่อนตัวออกไปอีก ไกลจากที่หมายตาเมื่อครู่นี้ มีรถออกจากช่องจอดพอดี จึงหยุดรถลงที่ตรงนั้นแทน ดับเครื่องยนต์แล้วค่อยเปิดประตูรถลงไป
เขาเดินย้อนกลับทางเดิมเพื่อเข้าประตูของโรงแรม จึงได้เห็นว่าเจ้าของรถคันที่ตัดหน้าเป็นของหญิงสาวร่างเล็ก แบบเดียวกับรถของเจ้าหล่อน ปราดเปรียวแลดูคล่องตัวดี กระนั้นก็พอมองออกว่ายังเด็กอยู่มากหากเทียบกับเขา ที่กำลังจะย่างเข้าสามสิบเก้าปี อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว
หญิงสาวคนนั้นดูวุ่นวายอยู่กับรองเท้าที่ท้ายรถ ไม่สนใจใครทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่า หากว่าจอดรถที่ลับตาคน ก็น่ากลัวความปลอดภัยอยู่ไม่น้อย ละสายตาไปยังทางเข้า พาตัวเองเดินไปเรื่อย ๆ หญิงคนเดิมเดินตัดหน้าเขาอีกครั้ง เธอหันมามองเขานิดเดียว เมื่อทำท่าว่าจะชนกันอีกรอบตรงประตู เลยผายมือให้เดินนำหน้าเข้าไปก่อน เห็นทำท่าพยักหน้าให้เบา ๆ เดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว บุรินทร์จึงตั้งท่าจะเข้าไปบ้าง แต่มีคนโทรศัพท์มาพอดี จึงหยุดรับสาย แล้วสายตาของเขาก็มองตามแผ่นหลังของหญิงสาวคนนั้นที่เดินฉับ ๆ เข้าไปที่ด้านใน จนลับสายตาของเขาไปในที่สุด
“เลทเกือบสิบนาที”
สรสิชบ่นบุตรสาวด้วยสีหน้าไม่พอใจ กระนั้นยังคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ เพราะคนที่ตนหมายตาอยากให้ได้พบกับบุตรสาวสักครั้ง ยังไม่เข้ามาในงานเลี้ยง
“ซินรีบสุดชีวิตแล้วค่ะ” อ้าปากจะบอกว่าประชุมที่ให้ตนเข้าแทน ยืดเยื้อจนเลยเวลาไปเป็นชั่วโมง กว่าจะจบประชุมได้ก็ห้าโมงครึ่ง แล้วไหนยังต้องฝ่าจราจรช่วงวิกฤตสุด ๆ ของวันเข้ามาที่โรงแรมย่านกลางเมืองนี่อีก สายสิบนาทียังถือว่าไวไปด้วยซ้ำ นี่เธอขับปาดหน้ารถคนอื่นมาแล้วกี่คัน บิดาจะรู้บ้างหรือเปล่า ขนาดที่จอดรถ หากไม่ปาดหน้าแย่งมา ก็คงสายกว่านี้
พลันนั้นเองที่แววตาสีดำคมลึกของชายเจ้าของรถคันที่ถูกเธอปาดหน้าแย่งที่จอดมาก็ค่อย ๆ ผุดเข้ามาในหัว
หวังว่าคงจะไม่ได้มางานเดียวกันนี่หรอกนะ
“แต่งตัวแบบนี้อีกแล้ว”
สรสิชมองบุตรสาวด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ วางแก้วลงกับถาดของบริกรที่ผ่านมาพอดี หันหลังให้คนอื่นในห้องจัดเลี้ยง เพื่อยืนบังบุตรสาว แล้วยื่นมือดึงสาบเสื้อตรงกระดุมเม็ดบนสุดด้วยเรี่ยวแรงพอประมาณ จนมันขาดออกจากรังดุมในทันที เม็ดหนึ่งกระเด็นตกไปที่พื้น อีกเม็ดยังคาอยู่ที่รังดุมของมัน จนเห็นเนินอกของเธอลาง ๆ
สาริศาคิดไม่ถึงว่าบิดาจะทำกับตัวเองแบบนี้ ร้องเรียกท่านด้วยความตกใจ “คุณพ่อ!” พร้อมกับยกมือขึ้นกุมคอเสื้อตรงที่ถูกกระตุกจนกระดุมขาดออกจากกัน
สรสิชส่งเสียงขัดใจปัดมือเธอที่วุ่นวายกับคอเสื้อออก
และหญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีก็ไม่กล้าเถียงอะไรท่านอีก ชีวิตนี้ของเธอ ตั้งแต่จำความได้ก็มีเพียงบิดา เธออาจเก่งกล้าต่อล้อต่อเถียงกับคนอื่น แต่ไม่กล้าหือหรือดื้อรั้นกับบิดา ท่านสั่งอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น
“กุญแจรถอยู่ไหน”
สรสิชถามพร้อมกับยื่นมือออกมารอ เธอมองท่านด้วยอาการน้อยเนื้อต่ำใจพร้อมความสงสัยที่แทรกเข้ามาแทนที่นิด ๆ ว่าจะเอาไปทำไม แต่ไม่ได้ถาม ทำเพียงล้วงหยิบกุญแจส่งให้เท่านั้น
“จอดตรงไหน” เสียงถามห้วนเล็กน้อยของสรสิชไม่ดังนัก
“ตรงหน้าประตูเข้านี่เลยค่ะ” ตอบไม่ทันจบประโยคดี ถูกตำหนิต่ออีก “ยืนยืดไหล่ให้ดูเป็นสาวมั่นหน่อย ไม่ใช่งอตัวเป็นกุ้งสุกแบบนี้ เดี๋ยวจบงาน พ่อต้องคุยกับครูแจมใหม่แล้วว่าสอนลูกยังไงถึงได้ไม่มีพัฒนาการเลย สอนเหมือนไม่ได้สอน หมดคอร์สพอดีใช่ไหม หมดแล้วก็ไม่ต้องไปมันแล้วนะ พ่อหมดเงินกับซินเท่าไรแล้วรู้ไหม”
ท่านบ่นไปถึงครูสอนบุคลิกภาพคนดังที่ส่งเธอไปเข้าคอร์สตั้งแต่เรียนจบออกมาช่วยงานที่บริษัท
สาริศาอยากช่วยบิดาทำงาน งานหนักแค่ไหน เธอไม่เคยบ่น
เธออยากเป็นผู้หญิงที่ทำงานเก่ง แต่ไม่ได้อยากเป็นสาวมาดมั่น ไฟแรง เปรี้ยว เฉี่ยว สวย สง่างามอย่างที่บิดาต้องการให้เป็นเลยสักนิด แต่ดูเหมือนสรสิชจะมีความต้องการสวนทางกับบุตรสาว
คนเป็นพ่อมองด้วยสายตากดดันแกมผิดหวัง ก่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ หันไปที่ทางเข้าห้องจัดเลี้ยง ใบหน้าเฉยฉาบรอยยิ้มในทันที ปากพูดกับเธอ แต่ตามองไปยังทางนั้น “พี่เขาเดินมานู่นแล้ว ยิ้มด้วยเวลาที่พูดน่ะ ไม่ใช่ยิ้มโง่ ๆ ทำตัวให้มีเสน่ห์เข้าไว้ ตามองตอบบ้าง หลบตาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่หลบตาตลอดเวลาอย่างกับพวกผู้หญิงบ้าน ๆ”
สั่งเสร็จ สรสิชยกมือทักทายชายคนที่ว่านั่น สาริศาจึงหันไปมองตามบิดา พบชายร่างสูงสง่าดูโดดเด่นที่สุดในงานเลี้ยง เขากำลังตรงมาทางนี้ และเธอจะไม่รู้สึกร้อนไปหมดทั้งหน้าอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย หากว่าชายคนนั้นจะไม่ใช่คนเดียวกันกับที่เธอแย่งที่จอดรถเมื่อครู่
อย่าเรียกว่าแย่งเลย อันที่จริงเธอก็แค่เหยียบคันเร่งเข้าไปจอดให้ไวกว่าเขาเท่านั้นเอง ก็ตรงนั้นมันไม่ได้มีป้ายกำกับว่าของใครนี่นา เอาเป็นว่าเลิกคิดเรื่องนั้นไปก่อนก็แล้วกัน มาแก้เหตุการณ์เฉพาะหน้านี่ดีกว่า ไม่รู้ว่าเขาจะเอาเรื่องเธอหรือเปล่า
“ทางนี้หมอก”
สรสิชมีท่าทียิ้มแย้มดีใจมากขึ้น เมื่อชายร่างสูงคนนั้นเดินมาจนถึงที่ตรงสองพ่อลูกยืนอยู่ เขายกมือไหว้บิดาของเธอด้วยกิริยาอย่างที่คนอาวุโสน้อยกว่าควรทำ ดูไว้ตัวระดับหนึ่ง ถึงอย่างนั้นก็ยังสร้างความพึงใจให้สรสิชไม่น้อย
“สวัสดีครับอาสิช”
“ซิน ลูกสาวอา ที่เคยคุยให้ฟังบ่อย ๆ ไง”
เขาละสายตาจากสรสิช มาสบตากับเธอชั่วขณะ เป็นจังหวะเดียวกันกับเธอเงยหน้ามองเขาพอดี ถึงได้พบว่าชายคนที่บิดารอคอยมีดวงตาสีดำสนิท ประกายตากร้าวแกร่งคล้ายไม่หวั่นเกรงผู้ใด คิ้วเข้มพาดเฉียงเรียงตัวเป็นระเบียบ ยิ่งส่งให้ใบหน้าเข้มดูดุดันมากยิ่งขึ้น
เขาเอ่ยตอบ แบบที่สาริศาพอจะฟังออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกชื่นชมอย่างที่ปากว่า “ไม่แปลกใจแล้วครับที่บริษัทของอาสิชจะทำกำไรได้เกินคาดขนาดนั้น มีลูกสาวคนเก่งคอยช่วยงานนี่เอง”
“อาไม่ได้อวยลูกสาวของตัวเองนะ แต่น้องซินนี่หัวไว ฉลาดได้เลือดอามาเต็ม ๆ เลย บางครั้งก็แอบมีลูกไม้ลูกเล่นหน่อย ๆ ด้วยนะ อันหลังนี่คงไม่ใช่นิสัยอาหรอก สงสัยจะได้มาจากทางแม่เขา”
“ผู้หญิงเก่งก็ต้องรู้จักมีลูกไม้ลูกเล่นทั้งนั้นแหละครับ...ใช่ไหม”
ท้ายประโยคเขาถามเธอ น้ำเสียงและแววตาที่มองมาทำสาริศาหน้าร้อนฉ่าชาวาบไปถึงใบหู รู้สึกเหมือนถูกว่ามากกว่าถูกชมอย่างไรก็ไม่รู้ เธอเองก็บอกไม่ถูก เม้มปากเบา ๆ นึกขุ่นใจ แอบคิดไปไกลว่าเขากำลังโยงถึงเรื่องแย่งที่จอดรถก่อนหน้านี้
ก็เธอกลัวไม่ทันเวลาที่บิดานัดเอาไว้นี่ พอเห็นตรงไหนว่างก็เสียบเลย ไม่ทันมองด้วยซ้ำว่ามีใครกำลังจะเข้าจอดหรือเปล่า ถ้าไม่เร่งด่วนจริง ๆ คนอย่างสาริศาไม่ทำหรอก ปกติเธอมีมารยาทออกจะตายไป
บอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก เขาอาจไม่ได้โยงเข้าเรื่องที่จอดรถก็เป็นได้ ถึงคิด นั่นมันก็แค่ที่จอดรถ และที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของใคร จังหวะเป็นของคนที่ไวกว่าเสมอ บิดาสอนเธอแบบนี้ทุกครั้ง
“ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ”
สรสิชยื่นมือมาบีบไหล่เธอเบา ๆ ชวนชายอ่อนวัยกว่ารำลึกถึงความหลัง “ตอนหมอกกลับมาช่วงปิดเทอม อายังเคยพาน้องไปเล่นที่บ้านสวนเลย เคยเจอกันอยู่นะ”
บุรินทร์ยิ้มอีกครั้ง บอกไปตามตรงว่า “สารภาพเลยครับว่าผมจำไม่ได้”
ได้คำตอบไม่โดนใจนัก สรสิชเกิดอาการเคืองเล็กน้อย กระนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป มองซ้ายทีขวาที แล้วเอ่ยถามอีกฝ่ายต่อ “หมอกมาคนเดียวหรืองานนี้”
“ครับ” เขาตอบรับสั้น ๆ คล้ายกับเป็นลักษณะนิสัยของเขา
สรสิชคุยเสียเยอะ ครู่ใหญ่ก็ค่อยออกปากฝากบุตรสาวให้อยู่ตรงนี้ด้วยคน ส่วนตนเองขอไปทักทายแขกผู้ใหญ่กลุ่มสำคัญที่เดินเข้างานมาพอดีที่ทางด้านโน้น สาริศายืนมองแผ่นหลังของบิดาที่จากไปแบบเงียบ ๆ เธอเคยออกงานกับบิดาอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่มีครั้งไหนอึดอัดใจได้เท่ากับครั้งนี้เลย ให้ตายเถอะ
พยายามไม่ก้มหน้าอย่างที่บิดาย้ำ มองไปรอบ ๆ ยิ้มทักทายกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผ่านหน้าไปพอดี ทางนั้นจากไปแล้ว ก็จำใจต้องหันกลับมาอยู่ในบรรยากาศแสนอึมครึมกับเขา
เสียงทุ้มเอ่ยถามแทรกเสียงดนตรีที่คลอเบาภายในงาน “เครื่องดื่มไหม”
สาริศาหันมอง แต่ไม่ได้ตอบรับ เธอยื่นมือออกไปหยิบแก้วจากบริกรด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะจำที่ครูสอนได้ว่าสาวมาดมั่น ต้องไม่พึ่งพาพวกผู้ชาย มันเป็นการสร้างเสน่ห์อย่างหนึ่ง
เธอไม่ได้อยากสร้างเสน่ห์กับผู้ชายคนนี้ แต่ที่หยิบเองเพราะไม่อยากพึ่งพา แล้วก็ไม่อยากพูดจาพาทีเสวนาใด ๆ กับเขาเลยต่างหากเล่า
“เพิ่งเรียนจบหรือ” เขาถามสั้น ๆ สาริศายิ้มก่อนตอบกลับสั้น ๆ เช่นกันว่า “ค่ะ”
“อาสิชชมลูกสาวให้ฟังบ่อย”
เรื่องนี้เธอพอรู้อยู่บ้างว่าบิดามักนำเธอขึ้นไปเป็นหัวข้อสนทนาคุยกับใครต่อใคร ล้วนแล้วแต่กล่าวอวยชื่นชมอยู่บ่อย ๆ เลยตอบเขากลับไปว่า “คุณพ่อก็ชมคุณให้ฟังเหมือนกันค่ะ”
“ว่ายังไง” เสียงของเขาทุ้มละมุนหูดี สาริศาฟังเพลินจนเห็นว่าเขามองมาที่เธอเหมือนกับรอคอยอะไรอยู่ ทวนถามกลับว่า “คะ?”
“ก็ที่อาสิชชม ท่านว่ายังไง”
ตาบ้าเอ๊ย สาริศาได้แต่ร้องครวญอยู่ในใจ ก็ไหนครูแจมบอกว่าเวลาใครเอ่ยชม ให้หาโอกาสชมกลับไปอย่างไรเล่า เธอก็เลยชมเขากลับ แต่สมาธิของเธอมันคงแกว่งไปแกว่งมา เลยตามไม่ทัน ไม่คิดด้วยล่ะ ว่าอีกฝ่ายจะถามอย่างกับรู้แกวเธอแบบนี้
“ก็…” ชักจะไปไม่เป็น สาริศาอึกอักเล็กน้อย แว่วเสียงเขาพึมพำคล้ายกับสอนว่า “ยังต้องฝึกอีกเยอะ”
ทำมาสอนคนอื่น เก่งตายล่ะ ถ้าเก่งจริง เธอต้องคุ้นหน้าค่าตาเขาบ้างสิ นี่คนเก่งคนดังแบบไหนกัน ไม่เห็นเคยเป็นข่าวเลย ไม่เคยเห็นจะคุ้นหน้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร ได้ยินแต่บิดาเรียกเขาว่า ‘หมอก’
แล้วก็ค่อยหายใจหายคอโล่งขึ้น เมื่อเห็นบิดาเดินกลับมาแล้ว
สรสิชถามยิ้ม ๆ “คุยอะไรหรือ ท่าทางถูกคอกันแล้วนี่”
“แลกเปลี่ยนแนวคิดเรื่องธุรกิจน่ะครับ” คนตอบก็ยิ้มเช่นกันแต่หาใช่รอยยิ้มแบบเดียวกับบิดาของเธอไม่
สาริศายืนรวมกลุ่มตรงนั้นเป็นนาน จนงานเริ่มได้ครู่เดียว บิดาของเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมาแตะแขนบุรินทร์ “อารับสายสักครู่นะ”
สาริศามองตามจนท่านลับหายจากประตูไป ก็ค่อยหันกลับมา พบว่ามีคนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาคุยกับเขา จนผ่านไปห้านาทีเห็นจะได้ บิดาของเธอเดินหน้าเคร่งเข้ามาในงานอีกครั้ง ท่านตรงมาที่เธอ บอกว่าจะกลับ
สาริศาได้ยินก็โล่งใจ มองหาบริกรเพื่อให้มารับแก้วในมือ แต่แล้วสรสิชกลับเอ่ยว่า “อาต้องเอารถน้องไปธุระ พอดีว่ารถอา คนขับเอาไปชนท้ายกับคู่กรณี กว่าจะเคลียร์ทางนั้น กว่าจะมาถึง อาคงไปไม่ทันนัดกันพอดี อาวานหมอกที รบกวนพาน้องติดรถไปด้วยได้ไหม บ้านอาน่ะทางผ่านหมอกอยู่นะ”
เขาตอบรับสั้น ๆ แบบเดิมว่า “ครับ”
สาริศาได้แต่ยืนนิ่ง มองบิดาที่เดินจากไปแล้ว หลังฝากเธอกลับบ้านกับคนที่ไม่ได้รู้จักหน้าค่าตากันมาก่อน
เขาบอกเธอด้วยท่าทีสุภาพว่าจะไปลาผู้ใหญ่ทางนั้น เห็นเดินหายไปทางกลุ่มที่ว่า ยืนคุยอยู่เป็นนาน จนเธอหมดความอดทน เริ่มหาหนทางกลับบ้านเอง เขาหันมามองแล้วยืนคุนอีกครู่แล้วถึงเดินกลับมา ใบหน้าไม่มีรอยยิ้มอีกต่อไป ผายมือให้เดินนำไปยังประตูทางออกของห้องจัดเลี้ยง
พอพ้นประตูจนถึงลานจอดรถ ก็ค่อยแว่วเสียงเขาเอ่ยขึ้น
“พี่มาช้าไป เลยได้ที่จอดรถไกลหน่อย”
สาริศานึกค่อนคนพูด ทำมาพูดเหน็บใส่ รู้หรอกว่ากำลังว่าเธอแย่งที่จอดรถ
แล้วก็เลยนึกค่อนไปถึงบิดาด้วย
พาลนึกค่อนรองเท้าคู่ใหม่ที่สวมอยู่นี่ด้วย เพราะกำลังเล่นงานเท้าเธอเข้าแล้ว จึงเดินได้ช้าลง เพราะถูกบีบ เสียดสีจนเจ็บไปหมด เดินไปก็ถอนหายใจไปพลาง ก้มมองเท้าตัวเองด้วยความสังเวชใจ พอเงยหน้าขึ้น ทันได้เห็นว่าเขามองลงมาพอดี ก็นึกเอะใจว่ามองอะไรของเขา
เลยก้มมองตาม ตาสะดุดเข้ากับร่องอกของตัวเอง แล้วก็นึกได้ว่ากระดุมเสื้อขาดไปสองเม็ด นี่ไม่ใช่ว่ามองหน้าอกของเธออยู่หรอกหรือ
ไอ้คนทุเรศ!
บุรินทร์เห็นแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็ค่อยหันหน้าตรงอย่างเดิม มุมปากปรากฏรอยยิ้มเพียงนิดเดียวก่อนจางหายไป ถึงรถ เขาหยิบกุญแจออกมาปลดล็อก เดินไปเปิดประตูอีกฝั่งให้เธอขึ้นนั่ง เหมืนทำไปตามมารยาทมากกว่า
สาริศาหน้าตึงเล็กน้อย ขึ้นนั่งได้ ก็ถอนใจเบา ๆ ขยับถอดรองเท้าออก ตามองสำรวจในรถด้วยความรู้สึกทึ่งนิด ๆ รถยุโรปคันใหญ่แต่ไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างที่เคยเห็นบ่อย ๆ บนถนนเป็นยานพาหนะของเขาเอง สวยคลาสสิคทีเดียว
ดูแล้วเหมาะสมกันดี ทั้งคนแล้วก็รถ เก่าพอกัน
“บ้านที่ในซอย...หรือเปล่า”
เสียงเขาเอ่ยถามชื่อซอยทำลายความเงียบก่อนออกรถ เลยตอบเขาสั้น ๆ ไปว่าใช่ ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่ง ไม่มีใครชวนใครคุย เขาเงียบ เธอเองก็เงียบ ได้แต่ภาวนาขอให้รถไม่ติด จะได้ถึงบ้านไว ๆ
รถออกนอกเมืองผ่านความพลุกพล่านวุ่นวายยามราตรี จนมาจอดลงที่หน้าบ้านของเธอในที่สุด
“จอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวเดินเข้าไปเอง”
เขาไม่ได้จอดตามที่เธอบอก เห็นเอาหัวรถปักเข้าไปในช่องทางเข้าหน้าประตูรั้วเหล็ก พร้อมกับบีบแตรรถเรียกคนที่ด้านใน รอไม่นาน มีคนมาเปิดประตูให้ จึงพารถคลานเข้าไปจอดที่หน้าบ้าน
“ขอบคุณค่ะ”
สาริศาขอบคุณเขาแล้วรีบพาตัวเองลงไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะไวได้ หวังใจไว้ว่า คราวหน้าคงไม่ต้องเจอกันที่งานเลี้ยงไหนอีก
คิดอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นท้ายรถของเขาพ้นจากอาณาบริเวณบ้านไปแล้ว
“ใครมาส่งหรือคะ” เสียงถามดังมาจากทางด้านหลัง
สาริศาเดินเข้าไปคล้องแขนคนถาม พาเข้าบ้าน นั่งลงที่เก้าอี้โซฟาตัวใหญ่ด้วยกัน พร้อมกับคลายแขนที่คล้องออก โน้มตัวลงไปถอดรองเท้าเจ้ากรรม ลูบมือไปมาตรงที่ถูกรองเท้ากัด ใบหน้างามบึ้งตึงเล็กน้อย
“ป้าเยาขา ซินเจ็บจังเลย”
“ไหนคะ ให้ป้าดูหน่อย” ป้าพเยาพยายามจะช่วยดู แต่ติดพุงของแก ยังไม่เห็นหรอกว่าสาริศาเจ็บขนาดไหน ถึงอย่างนั้น แกก็ยังอุตส่าห์พาร่างอ้วนอมโรคกุลีกุจอจะลุกไปเอายามาทาให้ นึกได้ว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้อาบน้ำ จึงว่า “ไปอาบน้ำก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวป้าทายาให้”
สาริศายอมลุกแต่โดยดี แล้วเข้าไปคล้องแขนกับป้าพเยาอีกครั้ง อ้อนพร้อมระบายความอัดอั้นตันใจให้ฟัง “ซินเหนื่อยจังเลยค่ะ ซินแค่อยากช่วยงานคุณพ่อ แต่ซินไม่อยากไปงานเลี้ยงกับคุณพ่อเลย ซินจะบอกคุณพ่อยังไงดีคะ”
ป้าพเยาลูบศีรษะของเธอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู สาริศาไม่ใช่เด็กที่ดูอ่อนหวาน บอบบางเท่าไรนัก ออกจะดื้อรั้นด้วยซ้ำไป แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของบิดาได้ สรสิชสั่งให้ทำอะไร บุตรสาวก็มีแต่จะต้องทำตามเท่านั้น ตนเองก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร แล้วทวนถามหญิงสาวอีกครั้ง “ยังไม่บอกป้าเลยว่าใครมาส่ง แล้วนี่รถหายไปไหนคะ ทำไมขับไปแล้วไม่ขับกลับมาด้วย”
“คุณพ่อเอารถซินไปค่ะ แล้วก็ให้เพื่อนคุณพ่อนั่นแหละมาส่ง”
“อีกแล้วหรือคะ” ถามอย่างไม่ใคร่สบายใจเท่าไรนัก “ตาเ*******ูอีกหรือยังไงคะคราวนี้”
นึกถึงหน้าคนมาส่งแล้วก็ย่นจมูก ตอบรับป้าพเยาไปว่า “ใช่ค่ะ”
ตอนสาริศาจบมาใหม่ ๆ สรสิชพาออกงานเป็นว่าเล่น
ด้วยใบหน้างดงาม แววตาสุกใส ใครได้พบก็มักจะถูกตาต้องใจทั้งนั้น มีไม่น้อยที่เข้ามาทาบทามให้บุตรชายของตนเอง แต่มีอยู่ครั้งที่ทาบทามให้ตัวเลย อย่างเจ้าสัวคนดังคนนั้น
สรสิชเองก็ทำท่าพออกพอใจ จับลูกสาวใส่พานให้เจ้าสัวหัวหงอก ดีที่เมียคนที่สี่สิบของเจ้าสัวมาโวยวายจนเสียเรื่องไปก่อน ไม่อย่างนั้น ป่านนี้คงได้ไปนอนในกรงทองเป็นเมียคนที่สิบห้าไปแล้ว
“ไม่ใช่ว่ารอบนี้ คิดจะเอาลูกไปเร่ขายอีกหรือคะ ถึงได้ยอมปล่อยให้มาส่งบ้านได้แบบนี้น่ะ ไม่เข้าตา มีหรือจะยอมให้ไปไหนตามลำพังได้” พเยาบ่นยืดยาว ถอนหายใจด้วยอาการหนักอก ใบหน้าอวบอูมฉายแววไม่สบายใจในทันที
สาริศาก็นึกแบบนั้นเช่นกัน ไม่อยากเสริมอะไร ทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย “เห็นคุณพ่อบอกว่าได้คิวผ่าแล้วนะคะ เตรียมตัวหรือยังคนดีของซิน”
ป้าพเยาได้ยินอย่างนั้นก็หน้าถอดสี บอกเสียงอ่อย “ไม่ผ่าแล้วได้ไหมคะ กลัวจังเลยค่ะ”
“กลัวทำไมกันคะ หมอที่นั่นเก่งจะตายไป สมราคาหรอกค่ะ อีกอย่างนะ ซินขอคุณพ่อลางานไว้แล้วด้วย ซินจะไปเฝ้าที่หน้าห้องผ่าเลย รับรองว่าผ่าเสร็จปุ๊บ ป้าเยาจะต้องหายปั๊บเลยล่ะค่ะ”
พเยายิ้มฝืน ๆ พยักหน้าให้อย่างยอมจำนน “ค่ะ ผ่าก็ผ่า”
“ต้องอย่างนี้สิคะ ป้าเยาคนเก่งของซิน”
สาริศาปลอบพเยาไปตามเรื่อง พร้อมกับกอดเอวซุกหน้าไปมาอย่างต้องการความสบายใจ ความรัก ความอบอุ่น แล้วออกปากชวนอีกฝ่ายให้เข้าไปคุยกันต่อในห้อง ไม่เอาเรื่องของตัวเองขึ้นมาพูดอีก สุดท้ายก็จัดแจงทายาด้วยตัวเอง อาบน้ำแล้วไม่วายอ้อนให้พเยานอนด้วยกันเสียเลย
พเยาอยู่นอนกล่อมราวกับเธอยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อย จนเห็นว่าหลับดีแล้วก็ค่อยกลับห้องของตนเอง
สาริศาบอกตัวเองว่าพเยาเป็นความอบอุ่นที่ไร้เงื่อนไขมาตั้งแต่เด็ก หากปราศจากท่านแล้วก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้ของเธอจะอยู่ จะเป็นอย่างไรต่อไป
สรสิชบ่นสารพัดเรื่องจุกจิกของรถบุตรสาวตลอดทางจวบจนถึงจุดหมาย เขาจอดทิ้งไว้ที่ลานด้านหน้า เข้าลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นห้าที่มาเป็นประจำ ถึงหน้าห้องแล้ว ใช้คีย์การ์ดที่มีในมือเปิดเข้าไปอย่างอารมณ์ดี
เจ้าของห้องตกใจเมื่อเห็นสรสิชเปิดประตูเข้ามา ปรับท่านั่งที่กำลังอ้าซ่าอยู่ให้มิดชิดกว่าเดิม ชายมากวัยมองหญิงสาวเจ้าของห้องด้วยสายตากรุ้มกริ่ม เปิดเปลือยความปรารถนาอย่างไม่ต้องซ่อนเร้น มือปลดกระดุมเสื้อออกด้วยอาการร้อนอกร้อนใจ กระสันอยากกระโดดเข้าใส่อีกฝ่ายเสียในนาทีนั้นเลย “ผมคิดว่าจะเจอคุณในงานเลี้ยงเสียอีก”
หญิงสาวในชุดนอนขอบลูกไม้สั้นแค่หน้าขา มองคนมาเยือนด้วยสายตาเอือมระอา ตอบกลับไปว่า “ฉันเบื่องานเลี้ยงพวกนั้น”
หนุ่มใหญ่เหวี่ยงเสื้อออกจากตัวเมื่อปลดกระดุมจนหมดแถว แล้วตรงไปที่เตียง วางเข่าข้างหนึ่งบนนั้น ก่อนจะวางอีกข้างตามมา พาตัวเองคลานเข้าไปหาร่างเย้ายวนด้วยความปรารถนาอยากที่พุ่งทะยานมากยิ่งขึ้น
“ผมมองหาแต่คุณรู้ไหม”
หญิงสาวเบือนหน้าหลบ แต่ก็ถูกสรสิชพลิกให้หันไปรับจุมพิตจากเขา แล้วไฟราคะก็ค่อยลุกฮือครอบร่างของทั้งสองคน นานราวชั่วโมง กว่าที่ทุกอย่างจะสงบจบสิ้นลง
“คุณได้หาแผนสำหรับสองคนนั่นหรือยัง” สรสิชถามหลังพลิกตัวมานอนอยู่ด้านข้างร่างเย้ายวนของหญิงสาวที่ตักตวงจนพอใจแล้ว
ขวัญสุดาขยับตัวหนี ถามเสียงปนหอบนิด ๆ “แผนอะไรคะ”
“แผนจับคู่ไง”
หญิงสาวครางรับในลำคอเบา ๆ พาร่างเปลือยของตัวเองลุกหนีจากเตียงไปล้างตัวในห้องน้ำ โดยมีสรสิชเดินตามหลังมาด้วย
“ว่ายังไง จะใช้แผนไหนให้สองคนนั่นได้เจอกันอีก”
“กำลังคิดอยู่ค่ะ คุณหมอกหลอกง่ายที่ไหนกัน แค่วันนี้ไม่ไปงานเลี้ยงด้วย เขาก็มองฉันด้วยสายตาแปลก ๆ แล้วรู้ไหม” บอกจบ นึกถึงสายตาบุรินทร์ตอนที่ขอว่าจะไม่ไปงานเลี้ยงค่ำนี้ ด้วยข้ออ้างปวดหัวเหมือนมีไข้
สรสิชเย้ายิ้ม ๆ “คงไม่ถึงกับต้องวางยาสองคนนี้หรอกใช่ไหมทูนหัว”
สาวงามที่ถูกหนุ่มใหญ่เรียกว่าทูนหัวเบ้ปากเมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องวางยา ถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “แล้วเมื่อไรคุณจะลบคลิปนั่นทิ้งไปเสียที”
“ผมลบไปตั้งนานแล้ว”
“ฉันไม่เชื่อ ไหนเอาโทรศัพท์เครื่องที่คุณอัดคลิปไว้มาดูสิคะ”
“ไม่มีแล้วจริง ๆ ผมจะเก็บไว้ทำไม ไม่ได้มีประโยชน์กับตัวผมหรอกน่า บอกแล้วไงว่าผมอัดไว้ดูเล่น ๆ ตอนผมมีอารมณ์คิดถึงคุณมาก ๆ ไง ไม่ได้ตั้งใจจะเอาไว้แบลคเมลใครทั้งนั้นแหละ”
ขวัญสุดาออกอาการหัวเสียที่ทั้งอ้อนทั้งขู่แค่ไหน สรสิชก็ยังไม่ยอมลบคลิปครั้งนั้นทิ้งไปเสียที ไล่ด้วยเสียงเนือย ๆ “พรุ่งนี้ฉันต้องเข้างานแต่เช้า”
“ไล่ผมใช่ไหมเนี่ย” สรสิชถามกระเซ้า
ขวัญสุดาเบื่อจะคุยอะไรด้วยอีกแล้วจึงชักสีหน้าบอกความรำคาญ หนุ่มใหญ่ที่ได้ปลดปล่อยอารมณ์เปลี่ยวไปพอสมควรแล้ว หยิบเครดิตการ์ดใบใหม่วางลงที่โต๊ะให้เป็นรางวัล ก่อนเข้าไปกอดเบา ๆ ร่ำลาก่อนจากว่า “ผมกลับก็ได้”
รอจนสรสิชจากไปแล้ว ขวัญสุดาถึงได้ตามไปกระแทกประตูปิดไล่หลังอย่างต้องการระบายอารมณ์ของตัวเองที่พลุ่งพล่านขึ้นมา
หากคืนนั้นตนไม่เมาเละเทะในงานเลี้ยงที่พัทยา ก็คงไม่ต้องมากลายเป็นลูกไล่ให้คนอย่างสรสิชบี้อยู่อย่างนี้
เดินไปหยิบเครดิตการ์ดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้ขึ้นมอง ก็พอจะผ่อนอารมณ์ฉุนเฉียวลงได้หน่อยหนึ่ง บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมถูกใช้ไปตลอดหรอก แม้อีกฝ่ายจะทำปากหวานพูดหว่านล้อมเรื่องแต่งงานด้วย แต่ขวัญสุดารู้ดีว่าคนอย่างสรสิชไม่มีทางตกล่องปล่องชิ้นกับใคร ไม่อย่างนั้นจะโสดจนถึงวันนี้หรือ
และคนที่ขวัญสุดาหมายตาอยากได้ อยากครอบครองตัวจริงก็ไม่ใช่สรสิช แต่เป็นบุรินทร์ เจ้านายของเจ้าหล่อนนั่นเอง