ตอนที่ 19 พี่น้องสองหยดผู้อาภัพ

3275 Words
​ เวลาล่วงเลยมาจนถึงสิ้นเดือน บทลงโทษการสั่งพักงานของนายท่านก็สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมทั้งร่างกายของหยดเทียนที่เกือบจะหายดีเป็นปกติ ไม่ได้เจ็บส่วนใดของร่างกายอีกเว้นแต่กระดูกซี่โครงที่ร้าว เลยจำต้องใช้เวลานานหลายเดือนกว่ากระดูกจะประสานเข้ากันดี ถึงกระนั้นก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บมากหรือเจ็บตลอดเวลา แต่ก็มีความปวดคอยกวนใจอยู่บ้างเป็นบางครั้งบางคราว ด้วยเหตุนี้หยดเทียนจึงเลือกกลับมาทำงานตามปกติเช่นเดิม วันนี้ทั้งวันคนดูแลสวนต่างตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพียงอย่างเดียว ด้วยตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่โดนพักงานไป ไม่มีผู้ใดใคร่อยากจะมาดูแลสวนแทนเขามากนัก ยกเว้นแต่พ่อบ้านและเรย์ที่วนเวียนกันมาทำความสะอาดอยู่บ้างเป็นบางครั้งเพราะต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ จึงไม่แปลกที่เมื่อเขากลับมาทำงานจะเห็นว่า เริ่มมีวัชพืชขึ้นรกเต็มแปลงดอกไม้ และกิ่งไม้ที่เจริญเติบโตโผล่พ้นออกมานอกพุ่มที่เป็นทรงกลมแลดูไม่สวยงาม และอื่นๆ อีกสารพัด เพราะฉะนั้นหยดเทียนจึงไม่มีเวลาสนใจใครมากนัก ทั้งยังลืมคิดไปเสียด้วยซ้ำว่า ตนมีคู่อริที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน ส่วนเจ้านายอย่างเอย์จิ หยดเทียนก็เห็นเขาเพียงเงาผ่านๆ เดินแว็บไปแว็บมาแถวชานระเบียงห้องทำงาน บ้างก็ส่งเสียงกระแอกระแอมแสนน่ารำคาญราวกับเรียกร้องความสนใจ แล้วกลับเข้าไปทำงานและออกมาอีกครั้ง แต่ทว่าคนสวนก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะมัวแต่ตั้งหน้าทำงานอย่างเดียว ตกเย็นหยดเทียนรีบกล่าวลาพ่อบ้านและบอดี้การ์ดที่ตนเริ่มสนิทด้วยอย่างเร่งรีบ เหตุเพราะหลังจากเลิกงาน เขาจะรีบกลับบ้านไปทานข้าวกับน้องชายสุดที่รักและนำข่าวดีไปบอก กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง ร่างเพรียวหอบข้าวของพะรุงพะรังเต็มมือดั่งรถพุ่มพวง ยืนกดกริ่งหน้าบ้านอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้เสียที ก่อนจะชะเง้อคอยาวข้ามรั้ว เพื่อสอดส่องด้านในว่าน้องชายยังกลับไม่ถึงบ้านอีกหรือ ทั้งที่ตอนนี้มันเลยเวลาเลิกเรียนมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว ด้วยความสงสัยปนความเป็นห่วง พี่ชายเบต้าจึงห้อยข้าวของในมืออีกข้างไว้บนรั้วไม้ แล้วใช้มือที่ว่างข้างดังกล่าวล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายข้าง กดโทรออกแล้วยกแนบหูเพื่อถามว่าตอนนี้หยดน้ำอยู่ที่ไหน ผ่านไปห้านาทีเสียงรอสายก็ยังคงดังต่อเนื่องเช่นเดิม ไม่มีคนรับเลยสักคน “รับสายพี่สิน้ำ” หยดเทียนหวั่นใจกลัวว่าน้องชายจะได้รับอันตราย แต่ในขณะที่เบต้ากำลังหันซ้ายหันขวารุ่มร้อนใจอยู่นั้น สายตาดีก็ดันเหลือบไปเห็นว่าประตูรั้วไม่ได้ปิดลงกลอนไว้ตั้งแต่แรก เพียงแค่ปิดแง้มๆ ไว้ราวกับเร่งรีบเข้าไปจนลืมที่จะปิดประตู แต่กระนั้นหยดเทียนก็ยังไม่ได้แปลกใจมากนัก เพราะอาจจะเป็นมารดาที่เมามายไม่ได้สติแล้วลืมปิดประตูก็เป็นได้ มือเรียวผลักประตูออกแล้วเดินหอบข้าวของเข้ามาในรั้วบ้าน ในขณะที่ไหล่และหูยังคงหนีบโทรศัพท์ฟังเสียงรอสายอยู่เผื่อจะมีคนรับ สองขาสลับสับกันขึ้นบันไดปูนที่ก่อสูงเป็นขั้นเพียง 4 ขั้นก่อนจะถึงประตูบ้าน เบต้าเอื้อมมือผลักหวังจะเปิดประตูออกแต่เพราะโดนล็อกจากด้านในจึงไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ เขาจึงเปลี่ยนมาเคาะประตูแทน “น้ำอยู่ไหม เปิดประตูให้พี่หน่อย” หยดเทียนเปล่งเสียงดังมากกว่าปกติพร้อมเคาะประตูอีกสามสี่ครั้ง ตึก! ตึก! ตึก! เสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นเหมือนกับว่ามีคนวิ่งจากชั้นบนลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่างอยู่ หยดเทียนได้ยินเสียงเช่นนั้นก็ตกใจแล้วรีบจับลูกบิดไขประตูรัวๆ กลัวว่าน้องชายจะเป็นอันตราย ทั้งผลักทั้งดันแต่ประตูก็ไม่ยอมเปิดออก “น้ำ! น้ำอยู่ในบ้านใช่ไหม น้ำตอบพี่หน่อย!!” เสียงตะโกนเรียกน้องชายคละกับเสียงทุบประตูดังสนั่นจนทำให้คนที่อยู่ด้านในได้ยินเสียง “พี่เทียน! ฮึก ช่วยน้ำด้วย!! น้ำออกไปไม่ได้! ฮึก พี่เทียน!” เสียงลุกลนสะอื้นไห้ดังตะโกนตอบโต้ออกมาแต่ไกล เหมือนกับว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ใกล้ประตู ก่อนอีกไม่นานเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือพร้อมเสียงของหล่นกระจัดกระจายพื้นจะตามมา หยดเทียนได้ยินเสียงเพียงเท่านั้นก็รีบสลัดข้าวของที่ห้อยเป็นอุปสรรคในมือออกไปทันที และไม่สนใจถุงกับข้าวและขนมหวานทั้งหมายที่ร่วงหล่นเกลื่อนพื้นสักนิด แล้วยกขาถีบประตูอยู่ด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่ประตูก็ยังไม่สะทกสะท้านต่ออำนาจฝ่าเท้า แต่หยดเทียนก็ไม่ยอมแพ้ รวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายถีบประตูบานไม้สุดแรง ก่อนเสียงปัง! ของประตูที่เปิดกระแทกเข้ากับกำแพงจนเกิดเสียงดังสนั่นจะดังขึ้น หยดเทียนไม่รอช้าวิ่งพรวดเข้าไปในบ้านทันที กลิ่นสาบฟีโรโมนของอัลฟ่าลอยตลบอบอวลทั่วทั้งบ้าน เคราะห์ดีที่มันไม่ส่งผลอะไรต่อร่างกายของเบต้าแต่นั่นไม่ใช่กับโอเมก้า “ออกไปนะ! อย่ามาจับน้ำนะ! ฮึก พี่เทียน! น้ำอยู่ตรงนี้!!” โอเมก้าน้อยร้องฟูมฟายตะโกนเรียกพี่ชายสุดแรงจนเสียงเริ่มแหบ ใช้ทั้งมือทั้งเท้าถีบผลักร่างบึกบึนที่พยายามเข้ามาลูบคลำร่างกายออกด้วยความอ่อนแรงเพราะเริ่มสู้ฤทธิ์ของกลิ่นและแรงอัลฟ่าไม่ไหว “น้ำ!” ทันทีที่วิ่งมาถึง ก็พบเข้ากับชายต้นตอของกลิ่นฟีโรโมนกำลังนั่งคร่อมกายของน้องชายที่หอบกระเส่า และพยายามดิ้นรนพาตัวเองออกจากอาณัติของอัลฟ่าอยู่อย่างยากลำบาก ด้วยเพศสภาพที่ต่างกันราวกับฟ้าและเหว ขนาดตัวที่เล็กแรงก็น้อย โอกาสที่จะเอาตัวรอดออกมาได้ด้วยตัวเองจึงริบหรี่นัก “โอ๊ย!” ร่างสูงใหญ่พุ่งชนเข้ากับขอบโต๊ะไม้อย่างจัง กลิ้งตะล่อมๆ ไปกับพื้นจนร้องซี้ดด้วยความเจ็บ หลังจากที่โดนฤทธิ์ของฝ่าเท้าที่บรรจงเข้ากลางหลังอย่างเต็มตีน มันยกมือขึ้นแตะผิวเหนือคิ้วด้วยความแสบ ก่อนจะพบว่าบริเวณนั้นมีเลือดไหลออกมาเป็นทาง เมื่อเบต้าเห็นว่ามันกำลังเสียท่าก็ปรี่เข้าไปหาน้อง พลางถอดเสื้อนอกคลุมร่างเล็กที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเห็นเนื้อหนัง สภาพไม่ต่างจากไปบุกป่าฝ่าดงมา แล้วรีบพยุงหยดน้ำให้ลุกขึ้นหมายจะพาออกไปจากที่นี่ “จะไปไหนวะ!” ชายอัลฟ่ารีบรุดลุกขึ้นด้วยสติที่ไม่ครบส่วน มันเซหน้าเซหลังจนตั้งหลักได้แล้วรีบเอาตัวเข้ามาขวางไม่ให้ร่างเตี้ยทั้งสองหนี “มึงนี่เอง” เมื่อหยดเทียนมองหน้าตาชายเปรอะกลิ่นละมุดตรงหน้าดีๆ กลับพบว่าไอ้คนนี้คือธาม หนุ่มอัลฟ่าที่เขาปะทะฝีปากเมื่อเดือนก่อน เขาไม่นึกเลยว่ามันจะกล้าบุกรุกเข้ามาในขณะที่มีแสงตะวันแยงตาเช่นนี้ “พี่เทียน ฮึก.. น้ำกลัว” ร่างน้อยเปื้อนน้ำตารีบคว้ากอดแขนผู้เป็นพี่ไว้แน่น ไม่กล้าแม้จะเหลือบมองหน้าชายอัลฟ่า “น้ำหลบหลังพี่นะ เดี๋ยวพี่พาออกไปเอง” ฝ่ามือสากเอื้อมประกบศีรษะไว้พลางลูบไล้สื่อให้ใจเย็นลงและเชื่อใจพี่ชายคนนี้ ก่อนที่ร่างบางจะถอยไปยืนสั่นตามคำสั่งของพี่ แผ่นหลังเรียบขนาดพอดีเคลื่อนเข้ามากลบร่างเล็กกว่าไว้จนมิดไม่ให้เห็นสิ่งที่อุจาดตา “ไอ้ชั่ว! หลบดิวะ!” “หึ! หลบก็โง่สิวะ!” ความร้อนที่โชกโชนอยู่ในอก ส่งผลให้กำปั้นที่กำแน่นเป็นดินแข็งอยากพุ่งออกไปต่อยตีอีกฝ่ายนัก แต่เพราะข้างกายยังมีน้องชายที่สั่นไห้อยู่ จึงอยากพาตัวออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด เขาจะมัวมาเสียเวลาต่อยพวกโรคจิตให้เสียแรงไม่ได้ แต่ทว่าเมื่อหยดเทียนสาวฝีเท้าอ้อมไปออกอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะกินข้าว ธามที่ยืนครองหน้าทางออกก็รีบพุ่งตัวเข้ามาขวางทางไว้ เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนเบต้าเริ่มมีน้ำโห่มากขึ้นเรื่อยๆ “ไอ้สัส!! มึงไม่หลบใช่ไหม!” เขาตะโกนพร้อมขบกรามจนเป็นสัน แล้วพยักหน้าอย่างเข้าใจว่ายังไงชายตรงหน้าคงไม่ยอมหลีกทางให้ง่ายๆ ว่าจบสายตาร้อนลุกก็รีบมองหาอาวุธรอบตัวจนสะดุดเข้ากับมีดปอกผลไม้ที่ทิ้งไว้อยู่บนเคาน์เตอร์ครัวข้างๆ เขาจึงรีบหยิบมันขึ้นมาแล้วยกชี้หน้าขู่ธามด้วยแววตาที่เอาจริง “ถ้ามึงไม่ถอยกูแทงมึงตายแน่!” ปากตะโกนแผดเสียงขู่ขาม พร้อมมือหนึ่งข้างที่คว้าข้อมือน้องชายค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังโดยมีมีดสั้นนำทาง สายตาก็คอยจับจ้องท่าทางของศัตรูทุกย่างก้าว คอยสังเกตว่ามันจะทำเช่นไรต่อ ชายหนุ่มที่อยู่ประชิดใกล้ของแหลมรีบชักเท้าร่นถอยช้าๆ ตามสัญชาตญาณของร่างกาย แต่ทว่าในหัวมันกลับคิดรนหาที่ตายว่าอย่างไรเสียอีกฝ่ายคงไม่กล้าทำจริงๆ ใครเขาจะกล้าเอาชีวิตตั้งครึ่งหนึ่งไปทิ้งไว้ในคุก มันคิดเช่นนั้นโดยที่ไม่พึงคิดต่อไปอีกขั้นหนึ่งว่า หากหยดเทียนทำขึ้นมาจริงๆ แล้วชีวิตต่อจากนี้ของมันก็คงไม่ต่างอะไรกับถูกขังในคุก เพราะมันไม่เป็นคนพิการก็คงนอนหลับสบายใจในหลุม “หึ! ทิ้งมีดเถอะว่ะ ดูจากหน้ามึงแล้วมึงไม่กล้าทำหรอก” ธามยกยิ้มมุมปากอย่างไม่เกรงกลัวก่อนที่ฝ่าเท้าที่ถอยหลังในตอนแรก จะเปลี่ยนทิศทางเดินมุ่งเข้ามาหามีดอย่างไม่กลัวตาย “มึงอยากตายก็เข้ามา” เบต้าเอ่ยเสียงเบากับตัวเองด้วยใจที่แน่วแน่ และสายตาจดจ้องศัตรูไม่วาง เขาคิดไว้แล้วว่าหากมันจะรุกเข้ามาประชิดตัวจริงๆ เขาจะแทงมันทันทีอย่างไม่ลังเล และมันก็กล้าเข้ามาจริงๆ ขวับ! มีดเล่มบางกวัดแกว่งปลายมุ่งเข้าปาดที่หน้าท้องของธามกะจะเอาให้นอนนิ่งในคราเดียว แต่ก็อย่างที่สุภาษิตท่านว่า ‘คนดีตายง่ายคนร้ายตายยาก’ ธามถึงได้เอี้ยวตัวหลบทัน แต่เจ้ากรรมดันเหยียบเศษจานที่แตกล้มก้นทิ่มพื้นก้นกบแทบหัก ร่างมัจจุราชถืออาวุธเริ่มย่างกรายเข้ามาเรื่อยๆ จวนจะประชิดตัวอยู่รอมร่อ แม้ร่างที่ว่าจะยังอวตารลงมาเพียงครึ่งเดียว แต่ทว่ากลับมีอำนาจมากพอจะชักนำจิตใจอันหลงโทสะที่บังอาจกระทำตัวข่มเหงคนรักของตนจนบอบช้ำ ยิ่งเป็นชายที่อยู่เบื้องหน้าจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะมาแย้งให้เห็นว่า มันสมควรมีชีวิตอยู่ “ยะ อย่านะเว้ย!” เสียงสั่นเครือรู้ซึ้งถึงความกลัวแล้วว่าตนกำลังจะตายแน่ๆ หากไม่รีบออกจากตรงนี้ แต่ชั่งน่าเวทนานัก เพราะเท้าของมันบาดเจ็บจากเศษจานแตกที่ปักทิ่มเท้าจนเลือดไหลเป็นสาย และยังมึนๆ ด้วยฤทธิ์น้ำเมาอยู่ ถ้าจะให้ยืนตั้งหลักตอนนี้คงต้องใช้เวลานานพอควร ธามไม่มีทางอื่นให้รอดนอกจากเสียจากกระเถิบร่างกายออกจากหยดเทียนไปเรื่อยๆ จนกว่าหลังจะชนฝา “มึงจะข่มขืนน้องกู ยังมีหน้ามาขอชีวิตจากกูอีกเหรอ.. มึงเห็นกูเป็นเทวดาหรือไง” “ช่วยไม่ได้ กะ ก็น้องมึงเสนอกูมาเองกูก็แค่สนองแค่นั้น อย่าคิดอะไรมากสิวะ!” แทนที่จะปิดปากเงียบไม่พูดในสิ่งที่เร่งให้ชีวิตตัวเองจบลง แล้วเล่นละครบทน่าสงสารร้องขอชีวิต แต่อัลฟ่านายนี้ช่างโง่เขลาเบาปัญญายิ่งนัก ซ้ำยังชั่วเกินคนขนาดที่พระห้อยคอยังรั้งความดีของมันเอาไว้ไม่ได้ “เหอะ! อย่าคิดมากหรอ! อย่าคิดมากหรอ!” รองเท้าผ้าใบเก่าเตะเสยเข้าเต็มคางของอีกฝ่ายไปสองทีตามแรงอารมณ์ ทำให้ตอนนี้นอกจากหยาดน้ำสีใสที่ไหลออกจากข้างขมับแล้ว ยังมีหยาดน้ำสีแดงเข้มไหลออกจากจมูกอีกทาง “งั้นมึงก็ช่วยตายๆ ไปให้พ้นหน้ากูหน่อยเถอะ แล้วกูจะถือซะว่าครั้งนี้มึงกับกูหายกัน” ร่างกายเหน็บชาเคลื่อนบังแสงสลัวจากหลอดไฟพร้อมกับเรียวมือที่ถือมัดเล่มบางง้างสุดแขนเตรียมจะแทงเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่ายอย่างไรความปรานี แต่.. “พอแล้วพี่! ฮึก พาน้ำออกไปเถอะจ้ะ นะ น้ำไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ฮึก ฮือ..” เสียงน้องชายดังก้องเข้ามาในโสตประสาทพร้อมกับแรงดึงเบาๆ ที่ชายเสื้อ ทำให้หยดเทียนชะงักแล้วลดมีดที่อยู่เหนือศีรษะลงอย่างได้สติ เขาหลุบตามองดูคนที่ขยับตัวหนีอย่างเกรงกลัว แล้วสลับสายตาหันมาดูใบหน้านองน้ำตาที่ส่อแววตาห้ามปราม เขารีบตั้งสติคว้าข้อมือน้องเดินออกมาด้านนอกพร้อมกับมีดที่ยังถือในมือเพื่อรอแท็กซี่ ในระหว่างที่ยืนรออยู่ก็ควานหามือถือโทรแจ้งตำรวจ แต่ผลตอบรับที่ได้คือเขาโดนปฏิเสธให้แจ้งความด้วยเหตุผลที่สุดจะช้ำใจว่า ‘ก็ยังไม่โดนข่มขืนนี่ จะกลัวอะไรนักหนา’ และด้วยความที่ไม่พอใจหยดเทียนจึงด่ากราดจ่าคนนั้นจนบรรพบุรุษต้องมีสะดุ้งกันบ้าง แล้วก็ตัดสายทิ้งไป พี่น้องทั้งสองหยดยืนรออยู่ไม่นานรถยนต์โดยสารก็เข้ามาจอดรับ หยดเทียนรีบปามีดทิ้งเข้าไปในบ้านแล้วรีบจูงมือน้องชายขึ้นรถ แล้วรถแท็กซี่ก็เคลื่อนตัวออกไป “ฮึก..” ร่างสั่นเทานั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นพี่พลางกระชับกอดแน่นไปตลอดทาง พร้อมฝ่ามือสากที่บรรจงลูบผมปลอบน้องชายให้หายกลัวแม้จะรู้ว่ามันไม่ง่าย หยดเทียนน้ำตาคลอเตรียมไหลเมื่อคิดว่าหากตนไปช้าเพียงแค่นาทีเดียวหยดน้ำจะเป็นเช่นไร อุตส่าห์วันนี้จะนำข่าวดีมาบอกให้หยดน้ำรีบเก็บข้าวของแล้วพรุ่งนี้จะได้ย้ายมาอยู่ด้วยกันแท้ๆ แต่โชคชะตานี่ก็ช่างโหดร้ายกับโอเมก้าตัวน้อยๆ เสียเหลือเกิน เพียงเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้ครั้งเดียวก็เลี่ยงออกไปให้ไม่ได้ หยดน้ำนั่งร้องไห้ตัดพ้ออย่างผวาจนถึงห้องพักของพี่ชายก็ยังคง นั่งคลุกอยู่ในอ้อมกอดของพี่ชายอยู่อย่างนั้น เพราะตอนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัยกับอะไรทั้งสิ้นเว้นแต่อ้อมกอดของคนตรงหน้า “ไม่เป็นไรนะ จากนี้จะไม่มีอะไรรังแกน้ำได้อีกแล้วนะ พี่จะปกป้องน้ำเอง ..เราจะอยู่ด้วยกันนะ” เสียงั่นว่าพลางลูบศีรษะน้องอย่างไม่ปล่อย “ฮึก ฮือ.. พี่เทียนน้ำกลัว ทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับน้ำด้วยจ้ะ ฮึก ..น้ำไม่ได้ทำอะไรให้เขาสักหน่อย” ใบหน้าเล็กซบลงลาดไหล่พลางซับน้ำตาลงบนเสื้อของพี่ชายอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมตนต้องมาเจออะไรแบบนี้ “คนจะชั่วสักอย่างต่อให้เราไม่มีไปยุ่งกับมัน มันก็มายุ่งกับเราอยู่ดี แต่น้ำไม่ต้องกลัวนะ นับแต่นี้ไปพี่จะจัดการพวกมันเอง” “ฮือ.. น้ำกลัวพี่เทียน น้ำกลัว..” หยดเทียนเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อกลั้นน้ำตาและปรับเสียงสั่นให้คงที่ก่อนเอ่ยตอบ “พี่ก็กลัว กลัวว่าน้ำจะไม่ได้อยู่กับพี่ กลัวว่าคนอื่นจะเอาน้ำไปจากพี่” “ฮึก..พ่อใช่ไหมจ๊ะ” ร่างเล็กผละออกจากอ้อมกอดของพี่ชายแล้วเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้น เบต้ายิ้มอ่อนให้ก่อนยกมือสากทั้งสองข้างประกบไหล่แคบของหยดน้ำไว้ “น้ำฟังพี่นะ จากนี้ไปครอบครัวของพี่คือน้ำ พี่ไม่ต้องการคนอื่นนอกจากน้ำ เข้าใจไหม?” น้ำเสียงอ่อนโยนว่าพร้อมกับละมือหนึ่งข้างลากเช็ดน้ำตาที่เปรอะแก้มกลมออกเบาๆ โอเมก้าตัวน้อยหลับตาพริ้มให้พี่ชายเช็ดหยาดน้ำใสออกจากดวงตาและแก้มที่ซับสีลูกพลับ ก่อนจะสูดน้ำมูกเสียงดังแล้วหยุดร้องไห้เพราะอยากเข้มแข็งเหมือนพี่ชาย แต่ก็ยังคงมีความสะอื้นอยู่ “ฮึก น้ำก็เหมือนกันจ้ะ มีแค่พี่เทียนที่ดีกับน้ำ ฮึก.. แล้วน้ำจะเลิกร้องไห้แล้วรีบโตมาปกป้องพี่เทียนเองนะจ๊ะ” หยดเทียนยิ้มหวานให้น้องอย่างเอ็นดู ร่างเล็กนิดเดียวแค่นี้จะปกป้องใครเขาได้กัน “แต่ตอนนี้ให้พี่ปกป้องน้ำก่อนนะ” หยดน้ำพยักหน้าหงึกหงักพลางสูดน้ำมูกไปด้วย “น้ำหิวไหมเดี๋ยวพี่ทำอาหารให้กิน” “ฮึก ไม่จ้ะ น้ำอยากอาบน้ำ” “งั้นก็ไปอาบเถอะเดี๋ยวพี่หาเสื้อผ้าไว้ให้” โอเมก้าน้อยพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนยกมือเช็ดน้ำตาเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยร่างกายที่ยังสั่นเทาอยู่ไม่หาย แต่เพราะอยากแข็งแกร่งจะได้ปกป้องพี่ชาย หยดน้ำจึงฮึบไว้แล้วใช้พลังใจสู้ หยดเทียนทอดตาล้ามองดูแผ่นหลังเล็กด้วยความเป็นห่วง นับจากวันนี้เหตุการณ์ครั้งนี้คงจะฝังใจหยดน้ำไปอีกนาน ไม่รู้ว่าเขาจะยังใช้ชีวิตได้ตามปกติอยู่ไหม คงไม่ต้องตระหนกทุกครั้งเวลาที่มีอัลฟ่าเพศชายเข้ามาใกล้ หรือไม่ก็ไม่ร้องไห้วิ่งหนีทุกครั้งยามที่โดนอัลฟ่าเผลอต้องตัวหรอกใช่ไหม และถึงแม้จะคิดถึงเรื่องน้องชายแต่ก็ไม่ลืมที่จะกลับมาติติงตัวเอง เขาเกือบจะเสียสติพลั้งมือฆ่าคนไปแล้ว แม้ว่าทุกวันนี้จะรักน้องชายยิ่งกว่าตัวเองก็ตาม แต่หากตนต้องเข้าคุกไปนั่นก็ยิ่งจะเลวร้ายมากกว่าเพราะไม่มีใครคอยดูแลหยดน้ำ และกระต่ายตัวน้อยของเขาก็คงต้องทนอยู่ในที่อโคจรเช่นนั้นต่อไปแล้วโดนกระทำชำเราร่างกายและใจไปเรื่อยๆ หรือบางครั้งอาจจะต้องระหกระเหินไปอยู่พ่อ แล้วต้องทนทุกข์ใช้ชีวิตเยี่ยงทาสให้เมียหลวงข่มเหง ซึ่งนั่นก็ลำบากลำบนไม่แพ้กันเลย เมื่อลองมาคิดทบทวนให้ถี่ถ้วนดูอีกครั้ง เขาช่างโชคดีจริงๆ ที่โดนน้องห้ามไว้และขอบคุณตัวเองที่ยั้งมือทัน และต่อจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เขาสัญญาว่าจะคิดถึงหน้าน้องชายให้มากๆ เพื่อจะไม่ได้หลวมตัวไปทำเรื่องอันตรายให้ครอบครัวเพียงคนเดียวต้องลำบากใจอีก เพราะเพียงเรื่องนี้มันก็ลำบากใจมากพอแล้ว ​
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD