ตอนที่ 20 หยดเทียนกับการช่วยเหลือของนายท่าน

1838 Words
เบต้าร่างสันทัดนั่งเท้าคางทอดถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง คิดไม่ตกว่าจะพาน้องชายตัวน้อยฝ่าพวกอันธพาลที่คาดว่า น่าจะมาตั้งวงดักรอที่บ้านคอยแก้แค้นตนอย่างไรดี เพราะทั้งข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัว ทั้งอุปกรณ์การเรียนของหยดน้ำก็ล้วนแต่อยู่ในบ้านทั้งนั้น จะให้เขาควักเงินซื้อใหม่ให้ทั้งหมดก็ดูท่าว่าจะสู้ราคาไม่ไหว จึงเป็นเหตุจำเป็นที่ต้องกลับไปเก็บของย้ายออกมาด้วย หนทางเดียวที่พอคิดออกตอนนี้คือรวบรวมความกล้า แบกหน้าเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเจ้านายที่มากด้วยอิทธิพล มีคนรู้จักไม่น้อยอีกทั้งลูกน้องก็เยอะยิ่งกว่าฝูงผึ้ง หากจะขอยืมตัวบอดี้การ์ดกล้ามปูสักสองสามคนไว้ปกป้องตนและน้องก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรง ทว่าหยดเทียนก็ไม่มั่นใจว่านายท่านจะอนุญาตหรือเปล่า เพราะมันหาใช่เหตุจำเป็นที่เจ้านายต้องสนใจ “ทำไมพี่ทำหน้าอย่างนั้นอะ หิวข้าวหรอ?” อัลฟ่าน้อยเดินเคี้ยวกรุบกรับมาแต่ไกลพร้อมจานมะม่วงและถ้วยน้ำพริกที่ถือติดมือมาด้วย เมื่อมาถึงม้านั่งตัวประจำหลังบ้าน ก็รีบวางสิ่งที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะแล้วนั่งเคี้ยวมะม่วงมองคนพี่ที่ขมวดคิ้วหน้าตาบูดบึ้งตั้งแต่เช้า ราวกับคนหิวข้าวหรือไม่ก็ขับถ่ายไม่ออก “หิวเหอวอะไรล่ะ ฉันไม่กินข้าวเช้าจนชินแล้ว” หยดเทียนว่าพลันหันหน้ามาสนใจมะม่วงรสเปรี้ยว ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามความคิดเห็นจากน้องเล็ก “ฉันถามไรหน่อยสิ คือว่า.. ถ้าอยากขอบอดี้การ์ดของนายท่านไปข้างนอกนี่ทำได้ป้ะ แบบว่าไปคุ้มกันอะไรแบบนี้ แกว่านายท่านจะอนุญาตไหมวะ” ริมฝีปากขยับพร้อมกับมือที่หยิบมะม่วงเข้าปากเคี้ยวกรุบๆ “ทำไมอะ พี่เป็นดาราหรือไงถึงอยากได้คนคุ้มกัน” “ดาราที่ไหนเขาแบกจอบถางหญ้ากันวะ” มือที่ถือมะม่วงจ้ำแมะลงบนน้ำพริกแจ่วรสเผ็ด ส่วนริมฝีปากก็หุบเข้าหุบออกบ่นหงุบหงับ พร้อมทั้งในหัวก็คิดชั่งใจว่าจะบอกเรื่องนี้กับเรย์ดีหรือไม่ “ไม่ คือว่าฉันเผลอไปมีเรื่องกับคนที่มีอิทธิพลแถวบ้านนิดหน่อย แล้วฉันจะกลับไปเก็บของที่บ้าน เลยอยากได้คนไปคุ้มกัน” “อืม.. เรื่องนี้ผมเชื่อพี่นะ เพราะหน้าพี่ก็เหมาะให้เขาหาเรื่องอยู่” ใบหน้าที่เริ่มออกลายเข้มคมพยักอย่างเข้าใจ และไม่วายจะยัดมะม่วงเข้าปากจนแก้มตุ่ยเหมือนกระต่ายเคี้ยวแครอท “เออ หน้าแกก็ไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่หรอกวะ” “อ้ะๆ หยอกเล่นแค่นี้ทำเป็นน้อยใจ ผมบอกให้ก็ได้ พี่ก็แค่พูดจาดีๆ พูดเพราะๆ จับนิดนวดหน่อยแค่นี้ก็ได้แล้ว นายท่านน่ะใจดีจะตาย” หยดเทียนหรี่ตาพลางกระตุกริมฝีปากบนขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็พยักหน้าอือออตามไป ผ่านไปไม่นานมะม่วงในจานก็หมดลง พอดีกับที่เรย์โดนพ่อบ้านเรียกตัว อัลฟ่าน้อยชักสีหน้ามุดมุ่ยแล้วเดินคอตกเพราะความขี้เกียจและไม่ลืมที่จะถือจานกลับไปเก็บด้วย ส่วนคนมากอารมณ์ขันก็กลับมานั่งหงอยคิดหนักเช่นเดิม อุตส่าห์จะปรึกษาผู้ที่อยู่กับนายท่านมานานกว่าตนเสียหน่อย แต่อีกฝ่ายก็พาล่วงพาเลยพูดไปถึงเรื่องอื่นอยู่เรื่อย จึงทำให้ไม่ได้น้ำได้เนื้ออะไรเลย “เฮ้อ...” เสียงลมหายใจระบายยาวออกมาเคล้ากับความรู้สึกกังวล จนเอย์จิที่เดินออกมาชมนกชมไม้นอกระเบียงได้ยินเข้า “หน้าบึ้งเหมือนคนแก่” เมื่อว่าให้คนอื่นเสร็จ ชายหนุ่มก็ยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานดังเดิม ปล่อยให้คนที่โดนว่ายืนขมวดคิ้วทำหน้ายักษ์ใส่ลับหลัง “กวนแบบนี้ใครเขาจะอยากพูดดีด้วยเล่า” ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูห้องทำงานของนายท่านบ้านสกุลวัฒนาดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงทุ้มบอกอนุญาตแล้วเงยหน้าชายตามองร่างเล็กที่เดินถือถาดน้ำชาเข้ามาเพียงครู่เดียว แล้วก้มลงไปทำงานต่อ หยดเทียนวางถาดน้ำชาลงบนโต๊ะแล้วเดินไปยืนเงียบอยู่ข้างๆ โซฟาไม่ออกไปไหน เพราะกำลังทำใจขอให้เจ้านายช่วยอยู่ ฝ่ายเอย์จิก็เอาแต่นั่งทำงาน กวัดแกว่งปากกาขีดเขียนลงบนเอกสารอย่างไม่ลดละ ไม่เปิดโอกาสให้คนสวนได้เอ่ยสิ่งที่ติดอยู่ในใจสักนิด แต่ทว่ามือไม้ที่ขยับขยุกขยิกเหมือนร้อนรนใจของหยดเทียน ดันทำให้ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานทนไม่ได้ เพราะรู้สึกขัดตาขัดใจเมื่อมีอะไรขยับยุกยิกอยู่หางตาตลอดเวลา “จะเร่งเร้าให้ฉันยกแก้วน้ำชากรอกปากตัวเองหรือยังไง” ชายหนุ่มว่าทั้งที่สายตาและมือยังคงจับจ้องอยู่บนเอกสาร และคิดว่าอีกฝ่ายยืนรอเก็บแก้วน้ำชา “เปล่าครับ พอดีว่า.. ผมมีเรื่องอยากให้นายท่านช่วยน่ะครับ” ชายอัลฟ่าชะงักปากกาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยแล้วตวัดปากกาลงเอกสารต่อ “ว่ามา” “คะ คือถึงแม้ว่าผมจะเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน แต่ผมก็เคารพรักนายท่านมากของมากของมากเลยนะครับ แล้วตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ผมสัมผัสได้ว่า นายท่านก็เอ็นดูและเห็นใจเบต้าตัวน้อยๆ อย่างผมอยู่บ้าง ทะ ที่ต้องมาทำงานท่ามกลางฝูง- ไม่สิ คุณๆ อัลฟ่าที่ล้อมหน้าล้อมหลัง เพราะฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยของ..พนักงาน..จึงสำ...คัญ...” หยดเทียนชะงักพลันผ่อนเสียงเบาติดๆ ขัดๆ เมื่อชายตรงหน้าวางปากกาลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองตนด้วยสีหน้าล้ากึ่งๆ รำคาญ “จะพูดอะไรก็พูดมา” เบต้าอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้วตัดสินใจบอกด้วยท่าทีไม่มั่นใจ “คือผม.. คือผมขอยืมบอดี้การ์ดของนายท่านสักคนสองคนได้ไหมครับ..” สิ้นคำพูดของลูกน้อง เอย์จิก็วางงานที่ทำอยู่ลง ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมและขยับฝีเท้าเข้ามานั่งที่โซฟา เพื่อฟังคำร้องขอจากร่างน้อยที่ยืนขบปากให้ชัดๆ อย่างตรงไปตรงมา “เหตุผลล่ะ” ดวงตากลมสั่นหันสบตาเจ้านายอย่างกระวนกระวายหายใจไม่ทั่วท้อง หยดเทียนไม่สามารถบอกนายท่านได้จริงๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เพราะไม่อยากทำให้น้องชายเสียหายไปมากกว่านี้ แต่หากจะเล่าเรื่องอย่างที่เล่าให้กับอัลฟ่าเด็กฟัง หยดเทียนก็สันนิษฐานเอาเองอีกเช่นกันว่า นายท่านคงคิดว่าเขาชอบหาเรื่องใส่ตัวอีกเป็นแน่ ทั้งที่เพิ่งพ้นโทษได้ไม่ถึงสองวันก็ดันก่อเรื่องอีก ไม่ว่าจะคิดหาคำตอบแบบไหนก็ล้วนแต่ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น “ไปก่อเรื่องมาอีกแล้วสิ” เป็นเอย์จิที่ตอบคำถามของตัวเอง เพราะดูจากร่างเล็กที่ยืนจ้องหน้าและปิดปากเงียบสนิทเช่นนี้ ดูท่าทางแล้วคำตอบที่ว่าก็คงหนีไม่พ้นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งให้เจ้านายอย่างเขาต้องหน่ายใจอีกเช่นเคย “...ครับ” น้ำเสียงแห้งแหบไร้ความมั่นใจกล่าวตอบสั้นๆ แล้วหลุบตาลงต่ำอย่างน่าสงสาร “เล่ามาทั้งหมด” แม้เสียงเข้มดุที่เอ่ยออกมาคล้ายกำลังจะดุด่าหรือกำลังไม่พอใจ ทว่าความรู้สึกที่แฝงลงในคำพูด กลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างที่เจ้าตัวก็ยังสัมผัสไม่ได้ “ผมมีเรื่องกับพวกมีอิทธิพลในละแวกบ้านครับ แล้ววันนี้ผมจะกลับไปเก็บข้าวของ เลยกลัวว่าพวกนั้นจะมาดักรอที่บ้านครับ...” เสียงหม่นเงียบหายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดังขึ้นอีกครั้งพร้อมดวงตาที่เงยมาสบกับสายตาคมเฉี่ยวอย่างไม่เกรงกลัว “ถ้านายท่านอนุญาต ผมรับรองว่าจะไม่ทำให้พวกพี่เขาลำบาก ละ แล้วก็จะใช้งานพวกพี่เขาไม่เกินหนึ่งชั่วโมงแน่นอนครับ แต่ถ้านายท่านไม่อนุญาต ผมก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว...” ใบหน้าละห้อยก้มต่ำอีกครั้ง มือไม้สั่นก็กำแน่นที่ชายเสื้อผ้าอย่างทุกข์ระทมไร้ทางออก ไหนจะสีหน้าน่าสงสารที่ราวกับกำลังอ้อนวอนเจ้านายให้เห็นใจนี้อีก ช่างเป็นบทละครหลังข่าวที่หยดเทียนก็ช่างเข้าใจหยิบยกมาแสดงให้เจ้านายดูนัก แต่หากสุดท้ายแล้วโดนผู้เป็นนายปฏิเสธ หยดเทียนก็ย่อมเข้าใจและยอมรับคำตอบของเจ้านายโดยจะไม่ด่าพ่อล้อแม่สักคำ และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ หยดเทียนก็คงต้องทำตามแผนสำรองที่คิดเผื่อเอาไว้ นั่นคือการปีนป่ายเข้าไปในบ้าน เขาจะขนข้าวของออกมาให้น้องเอง เอย์จิถอนหายใจเบานึกอยากปรบมือดังๆ ชมการแสดงละครเวทีของลูกน้องคนนี้จริงๆ เพราะเขาเชื่อว่า หากตนไม่อนุญาต หยดเทียนก็คงสามารถหาวิธีจัดการปัญหานี้ได้ แต่ทว่าวิธีการแก้ไขมันคงจะมุทะลุสุดขั้วหลังคา กระทั่งนำพาอันตรายมาสู่ตัวเองเพิ่มอีกจนได้ จึงเริ่มมีใจคิดสงสาร “เอาเถอะฉันอนุญาต” “ขอบคุณครับนายท่าน” เบต้ารีบเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาหวานปริบๆ ขอบคุณเจ้านายอย่างดีใจ “แล้วเทียนอยากได้ใครไป” “ใครก็ได้ครับ ขอแค่ไม่หาเรื่องผมก็พอ” ได้ยินดังนั้น อัลฟ่าหนุ่มก็นั่งคิดอยู่สักพักก่อนจะคิดออก ผู้มีฝีมือในบ้านมีตั้งมากมาย แต่คนที่สามารถเข้ากับหยดเทียนได้ก็คงหนีไม่พ้นพ่อบ้านและเด็กฝึกงานคนนั้น ซ้ำยังไม่ต้องพาไปให้มากคนเปลืองทรัพยากร เพราะต่อให้อีกฝ่ายมาเป็นสิบพ่อบ้านฮันก็ยอมเอาอยู่อยู่แล้ว “ให้พ่อบ้านกับเด็กฝึกงานไปก็แล้วกัน” “น้อมรับครับ” เสียงทุ้มแหบดังมาจากด้านหลังของเบต้าด้วยท่าทางสง่าเรียบร้อยพร้อมกับจานผลไม้ในมือ “เอ๊ะ! พ่อบ้านเข้ามาตอนไหนครับ” “ไม่นานหรอกครับ ผมเห็นว่าคุณเทียนคุยกับนายท่านอยู่จึงไม่อยากขัด” ฮันเอ่ยพลางเดินมาวางจานผลไม้สดบนโต๊ะคู่โซฟา “ทำตามที่ฉันว่า รีบสะสางให้มันเสร็จตอนนี้แล้วรีบกลับมาหาฉัน” “ครับ” แม้ไม่รู้ว่าประโยคหลังของนายท่านจะหมายความถึงใคร แต่คนใต้บัญชาทั้งสองก็ตอบรับอย่างหนักแน่นพลางโน้มตัวเคารพแล้วเดินออกไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD