ผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์หลังจากงานประชุมครั้งใหญ่ในรอบปีของตระกูลอิวามุโระจบลง ท่านทายาทของตระกูลหรือนายท่านเอย์จิก็ไม่ได้รีบร้อนกลับประเทศไทยแต่อย่างใด เพราะยังไม่ไว้วางใจว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ โดยไม่มีการกระทบกระทั่งกันเกิดขึ้น ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาด เพราะหลังจากนั้นก็มักมีเหล่าผู้นำบ้างก็ผู้อาวุโส ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาเกลี้ยกล่อมท่านผู้นำให้พิจารณาเรื่องงานหมั้นอีกครั้งหนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะยกเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาอ้าง ท่านอิทสึกิก็เพียงยกยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตาตอบแล้วชวนดื่มสาเก เป็นอันรู้กันทั่วว่านี่คือการตักเตือนรูปแบบหนึ่งของท่านผู้นำตระกูล
เวลาล่วงเลยมาอีกหนึ่งสัปดาห์ ปัญหาที่เกิดขึ้นเริ่มคลี่คลายลงทีละเรื่องแม้จะยังไม่ทั้งหมด กระนั้นเอย์จิก็มั่นใจว่า เขาสามารถฝากฝังงานที่เหลือไว้กับพรรคพวกได้โดยจะไม่มีปัญหาอื่นใดตามมาส่งท้าย และไม่ลืมจะกำชับให้ลูกสมุนผู้เป็นดั่งเงาไร้ตัวตนเร่งหาข้อมูลที่เหลือ และสอดแนมพฤติกรรมของเหล่าผู้คนในตระกูลให้ดีอย่าให้รู้ตัว หากมีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมแม้แต่จุดเดียวให้รีบรายงานเขาทันที
เมื่อสิ้นสุดการมอบหมายหน้าที่ให้ลูกน้อง ริวกะผู้เป็นมือขวาก็เตรียมรถและบอดี้การ์ดคุ้มครอง เตรียมพร้อมสำหรับการออกเดินทางไปที่สนามบินส่วนตัว แต่ก่อนกลับเอย์จิและคุณย่าจำต้องแวะสถานที่หนึ่งก่อนตั้งแต่เช้าตรู่
7 . 10 น. ตามเวลาท้องถิ่น
ท้องฟ้าโปร่งโล่งใสไร้เมฆหมอกลอยเข้ามาบดบัง สายลมอ่อนพัดคล้อยพาความเย็นยามเช้าขับไล่ความร้อนที่โลมเลียผิวกายก่อนแล่นสายโบกกระทบป้ายหินอ่อน สลักชื่อบุคคลทรงเกียรติผู้มีตัวตนในอดีตไว้ไม่ให้ลืมเลือนนับร้อยป้าย แต่งตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวบนเนินทุ่งโล่งกว้างถูกห้อมล้อมไปด้วยแสงธรรมชาติ ช่างเป็นภาพงดงามราวกับกรองออกมาจากจินตนาการ ทว่ากลับตลบอบอวลไปด้วยไอกลิ่นความโศกเศร้าโหยหาหวังอยากพบหน้ากันอีกครั้ง ตามความหมายชื่อของสุสานที่ผู้นำรุ่นที่ 2 ได้สมัญญานามว่า ‘สุสานโยรุ ฮิคาริ’
อัลฟ่าหนุ่มร่างกายกำยำดูทะมัดทะแมงและโอเมก้าร่างเล็กผู้เริ่มโรยราเอื้อมมือวางช่อดอกไม้สีขาวบนแท่นหินหน้าหลุมศพ ก่อนพนมมือไหว้เคารพบอกเล่าเรื่องต่างๆ มากมายที่พบเจอมาให้ฟังในใจอย่างคิดถึงแม้ไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินเสียงนี้หรือเปล่า
‘คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ ..เป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม..’ ถึงจะบอกว่านี่คือการเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ผู้เป็นที่รักและนับถือฟัง แต่กลับดูไม่แตกต่างกับการยืนคุยคนเดียวนัก
จะว่าอย่างไรดี.. มันเหมือนกับการยืนเล่าปัญหามากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้กับแผ่นป้ายที่เหลือเพียงชื่อให้คิดถึง ซึ่งไม่ต่างอะไรนักกับการยืนระบายความทุกข์ให้ธาตุอากาศฟัง แต่ถึงกระนั้นกลับได้ความโล่งสบายเข้ามาเติมเต็มความกลวงในใจ แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย
ก็นะ.. ใช่ว่าที่พึ่งทางใจของมนุษย์ทุกคนจะเหมือนกัน
เปลือกตาบางประดับขนตายาวค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมกับปล่อยมือทั้งสองข้างที่ประกบกันในตอนแรกออก เมื่อการเล่าเรื่องราวและบอกรักผู้ล่วงลับไปแล้วเสร็จสรรพ
ดวงตาคู่คมเริ่มปรับแสงเร้าได้ ชายหนุ่มก็พลันหลุบตามองนาฬิกาที่ห้อยบนข้อมือ ก่อนชายตามองคุณย่าที่ยังคงหลับตาพนมมือไหว้หลุมศพของคุณปู่ด้วยรอยยิ้ม และผ่านไปไม่นานนายหญิงโอเมก้าก็ลืมตาขึ้น
“ผมต้องกลับแล้วครับ”
รอยยิ้มอันอ่อนโยนผุดขึ้นมาบนใบหน้ามีริ้วรอย เป็นความอบอุ่นและจริงใจเพียงหนึ่งเดียวสำหรับหลานชายผู้อยู่ท่ามกลางพวกที่หน้าไหว้หลังหลอก
“ดูแลตัวเองดีๆ นะหลานย่า อย่าไปซนที่ไหนล่ะ เดี๋ยวจะเจ็บตัวเอา” นายหญิงกอบัวว่าพลางยกมือลูบผิวหน้าเต่งตึงของหลานรักด้วยความเป็นห่วง เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรแล้วเจ้าเด็กคนนี้ก็คงไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่นอน แม้ตัวจะอยู่ไกลจากอันตรายก็ตาม
“ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย ไม่ต้องห่วงหรอกครับ” ว่าจบก็สวมกอดคุณย่าอย่างไม่อยากจาก
“ผมไปนะครับ”
“เดินทางปลอดภัยนะ กลับมาคราวหน้าเมื่อไหร่อย่าลืมพาเจ้าเหลนน้อยมาฝากย่าล่ะ”
“ผมจะพยายามครับ” เอย์จิตอบอย่างไม่คิดอะไร คิดเพียงว่ามันคือมุกตลกขบขันก่อนจากกันของคุณย่าเท่านั้น ก่อนเอย์จิจะยิ้มอ่อนอำลาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วขึ้นรถคันสีดำที่จอดเคียงกันหลายคันแยกตัวออกไป
“ตาแก่เฮงซวย แกสร้างปัญหาไว้ให้หลานฉันแล้วนอนหลับสบายใจเชียวนะ” นายหญิงกอบัวหันมาติติงหลุมศพสามีด้วยแววตาคิดถึง
...
ผ่านไปกว่าหลายชั่วโมงนับตั้งแต่เช้าตอนเข้างาน หยดเทียนยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานสวนอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก จวบจนตอนนี้ก็ล่วงเลยมาจนถึงบ่ายกว่าแล้ว คนสวนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะวางจอบคู่ใจลง เอาแต่หมกตัวอยู่กับงานตลอดเวลาทั้งๆ ที่เนื้องานก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากหรือหนักหนาเท่าแต่ก่อนแท้ๆ และเป็นเช่นนี้มาร่วมเดือนแล้ว
“ฉันว่าลูกพี่แกกลายพันธุ์แน่เลย ข้าวเที่ยงก็ไม่ยอมกินแต่มีแรงยกจอบหนักๆ ขึ้นลงฉลุยหรือว่าเทียนจะสังเคราะห์แสงกินเองวะ!” ซากุมุ่นคิ้วเอ่ยพร้อมกับคอยจับจ้องพฤติกรรมของคนสวนที่ยืนทำงานท่ามกลางแดดเปรี้ยง ไม่ยอมนั่งไม่ยอมพักเหนื่อยซึ่งผิดแปลกไปจากเดิมอย่างมาก ทำให้เด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าผู้นั่งข้างๆ หันมาหรี่ตาขมวดคิ้วใส่
“พี่หลอนหรือไง ผมบอกแล้วให้โทรหาพี่คาซามบ้างอย่ามัวแต่งอน” คนที่ไหนสังเคราะห์แสงได้! ถึงจะล้อเล่นก็เถอะ
“จึ๊! เงียบปากไปเลย” ซากุจิ๊ปากเสียงดังพลางหันไปทำหน้ายักษ์พาลใส่เรย์ แต่กระนั้นอัลฟ่าหนุ่มน้อยเพิ่งแตกหน่อหาได้สนใจไม่
ความจริงมันก็เป็นอย่างเรย์ว่า เขาไม่ได้ติดต่อหาพวกพี่ๆ ที่ติดตามนายท่านไปญี่ปุ่นมาร่วมสามอาทิตย์แล้วเพราะยังน้อยใจไม่หาย โดยเฉพาะพี่ใหญ่หรือคาซามที่คิดว่าเพียงแค่ซื้อขนมมาล่อและยื่นข้อเสนอหวานหูให้สักหน่อย เขาก็คงหายงอนยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่คาซามก็หารู้ไม่ว่านั่นมันดีขึ้นได้เพียงสองสามวันเท่านั้น พอมองไม่เห็นพี่ๆ เช่นแต่ก่อนก็กลับมานั่งน้ำตาซึมนึกน้อยใจเช่นเดิม
“ฮึ! ไม่สนใจหรอก” ริมฝีปากเล็กบ่นพึมพำอยู่คนเดียวอย่างแง่งอน ก่อนจะหันไปสนใจคนสวนต่อ
“นี่!”
“อะไรวะ! อ้าว? พี่มาทำไรอะ” ในขณะที่ร่างขนาดใกล้เคียงกันของอัลฟ่าสองนายกำลังนั่งสังเกตการณ์อยู่นั้น ซากิพี่ชายที่คลานตามกันมาเกิดของซากุก็เข้ามาสะกิดแผ่นหลังน้องชาย เพราะมีคำสั่งจากพ่อบ้าน วานตนให้เรียกตัวของคนสวนและผู้ช่วยเข้าพบ แต่เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าพวกตนและหยดเทียนนั่นยังคงเหม็นขี้หน้ากันไม่หาย จึงต้องวานให้น้องชายไปบอกอีกฝ่ายแทน
“มึงไปบอกไอ้นั่นให้กูด้วยว่าพ่อบ้านเรียกพบที่ห้องครัว มึงด้วยไอ้เรย์” เท้าเอวสั่งพร้อมบุ้ยปากให้ไปบอกหยดเทียนก่อนหันมาหาเรย์
“ให้ผมไปทำ- อ้าว!?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วสงสัยจึงเอ่ยถาม แต่ทว่าผู้มาถ่ายทอดคำสั่งกลับเดินล้วงถุงกางเกงหนีไปไม่อยู่ตอบแล้ว
เรย์มองตามแผ่นหลังกว้างไปพลางเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะถึงอย่างไรเสีย เมื่อไปถึงครัวก็คงรู้เอง
“พี่เทียน! พี่เทียนโว้ย! พ่อบ้านเรียก!!” เสียงทุ้มแตกหนุ่มตะโกนเรียกคนพี่ที่กำลังสับจอบลงบนแปลงดินแทนซากุ เมื่อได้ยินเสียงเรียกก็รีบยกจอบเหล็กขึ้นแบกบนบ่า เดินตรงเข้ามาหาคนน้องที่นั่งอยู่ใต้เงาไม้
“เรียกไปทำไม” พิงจอบคู่ใจไว้ข้างต้นไม้พร้อมเสียงหอบเหนื่อยถามแม้ไม่ได้สงสัย มือสากหยิบขวดน้ำที่ไม่มีไอเย็นหลงเหลืออยู่กระดกดื่มอย่างกระหาย
“ไม่รู้อะ ใช้ไปซื้อของมั้ง?” ทั้งพูดทั้งก้มหน้าง่วนอยู่กับการเขี่ยหารองเท้าแตะที่เผลอทำหลุดออกจากเท้าตอนไหนก็ไม่รู้
“รีบไปรีบมานะ ฉันเหงา” ซากุทำหน้ามู่ทู่ไม่อยากให้ทั้งสองคนไปเพราะตนไม่อยากนั่งอยู่คนเดียวนานๆ หยดเทียนและเรย์ยิ้มตกปากรับคำ ก่อนจะเดินไปหาพ่อบ้านตามคำสั่ง
“มาแล้วครับ” เสียงเด็กหนุ่มอารมณ์ดีดังเข้าหูพ่อบ้านก่อนกายหยาบจะปรากฏขึ้นหน้าประตูหลังพร้อมกับคนสวนที่ยืนซ้อนหลัง
เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในห้องครัวก็สังเกตเห็นทันทีว่า บนไอส์แลนด์มีถุงผ้าสีขาวที่ด้านในบรรจุกล่องสีดำขนาดค่อนข้างใหญ่วางอยู่ ด้วยความสงสัยจึงแอบพ่อบ้านแง้มดูสิ่งที่อยู่ด้านในอย่างไวก่อนปากจะเอ่ยถามเสียอีก “กล่องอะไรหรอครับพ่อบ้าน?”
หลังจากล้างมือเสร็จฮันจึงหันมายิ้ม “ผมวานให้คุณเทียนกับเรย์ช่วยเอาข้าวกล่องไปให้นายท่านที่บริษัททีครับ”
เหตุที่ฮันต้องให้ทั้งสองคนเป็นคนไปส่งข้าวกล่องให้นายท่านถึงบริษัท ทั้งที่รองประธานกำชับมาอย่างชัดเจนว่าให้เพียงคนสวนเท่านั้นที่เป็นคนเอาไปให้ แต่เพราะพ่อบ้านคิดต่อเองว่าตั้งแต่หยดเทียนมาทำงานที่บ้านสกุลวัฒนาก็ไม่เคยไปเหยียบบริษัทอีนิกซ์เลยสักครั้ง จึงดูใจร้ายไปหน่อยหากปล่อยให้หลงทางคนเดียว ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีผู้ช่วยนำทางอย่างเรย์ผู้มีประสบการณ์ไปเป็นไกด์ให้
ฝ่ายหยดเทียนที่ได้ยินพ่อบ้านว่าเช่นนั้นหูก็ตั้งกางพลางส่ายหางทันที ดวงใจน้อยๆ เหี่ยวเฉาโดยไม่รู้สาเหตุมานานหลายวันเริ่มกลับมาชุ่มฉ่ำดั่งโดนรดน้ำ แค่เพียงคิดว่าตนจะได้เจอนายท่านแล้ว
“นายท่านกลับมาแล้วหรอครับ” หยดเทียนพยายามเก็บสีหน้าและหุบยิ้มก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ ทว่ากลับฟังดูมีชีวิตชีวามากกว่าหลายวันที่ผ่านมาอย่างสัมผัสได้
“ครับ เพิ่งกลับมาถึงเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วก็รีบเข้าบริษัทเลยครับ และเมื่อครู่คุณยูกิเพิ่งบอกมาว่านายท่านยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงเลยสั่งให้คุณเทียนนำข้าวกล่องไปส่งครับ”
“อย่างนั้นหรอครับงะ งั้นผมไปก่อนนะครับ ..เดี๋ยวนายท่านรอ” ว่าด้วยเสียงตะกุกตะกักแล้วรีบหยิบถุงข้าวกล่องกอดแนบอกอย่างไม่กล้าสบตาพ่อบ้านเพราะเขินอายแปลกๆ แล้วกดหน้าลงเรียกให้อีกคนตามมา
“จะรีบไปไหน” เด็กหนุ่มเกาไม่เท่าทันก่อนหันมาลาพ่อบ้านแล้วรีบคีบรองเท้าแตะช้างดาวตามไปติดๆ
เรย์ควบมอเตอร์ไซต์สกู๊ปปี้สีชมพูที่ยืมลุงศักดิ์มาโดยมีลูกพี่ซ้อนท้าย หักเลี้ยวเข้าจอดในโรงรถมอเตอร์ไซต์แล้วลงจากรถ
หยดเทียนผู้นั่งซ้อนท้ายก้าวขาลงก่อนจะถอดหมวกนิรภัยวางไว้บนเบาะ แล้วเดินเตาะแตะตามหลังไกด์นำทางไปติดๆ พร้อมกวาดตาดูบริษัทใหญ่โตโอ่อ่าอย่างตื่นเต้น
ทันทีที่เดินเข้ามาด้านใน เด็กหนุ่มผู้รู้จักและคุ้นเคยพนักงานในบริษัทไปทั่ว สับขาเข้าไปคุยกับพนักงานสาวหน้าตาดีที่ประจำอยู่หน้าเคาน์เตอร์อย่างคุ้นชิน ก่อนที่เธอจะยกโทรศัพท์แนบหูคุยอะไรบางอย่าง แล้วอนุญาตให้ขึ้นไปได้พร้อมบอกชั้นส่วนตัวของผู้บริหารให้
“พี่เป็นคนเอาไปให้นายท่านนะ เดี๋ยวผมเข้าไปเป็นเพื่อน” เด็กหนุ่มโยนงานให้ลูกพี่อย่างหน้าตาเฉย เมื่อทั้งสองกำลังเดินอยู่ในโถงทางเดินไปห้องผู้บริหาร
“ไม่เอา แกนั่นแหละเอาไปให้นายท่านแล้วฉันจะเข้าไปเป็นเพื่อน” ไอ้อยากเจอหน้ามันก็อยากเจออยู่หรอก แต่พอเจอแล้วกลัวทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำตัวต่อหน้านายท่านอย่างไรดีเพราะตั้งแต่วันที่โดนนายท่านหนุนตัก หยดเทียนก็มักจะคิดอะไรแปลกๆ แล้วใจสั่นเวลานึกถึงเสมอ หากเจอตัวเป็นๆ จะยิ่งไม่ทำตัวแปลกเข้าไปใหญ่หรอกหรือ?
“ไม่เอาพี่นั่นแหละ”
“งั้นมาเป่ายิ้งฉุบตัดสินใจกันไปเลย” เมื่อหาบทสรุปไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้
“ครั้งเดียวนะ แพ้คือแพ้ ชนะคือชนะ”
“อึก.. เออ” เบต้ากลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดเสียวกลัวว่าตัวเองจะแพ้
“ยัน ยิง เยา ปักกะเป่ายิ้งฉุบ!!” เสียงแตกหนุ่มและเสียงทุ้มใสกล่าวพร้อมกันแล้วรีบออกอาวุธลงบนอากาศพร้อมสีหน้าเคร่งเครียดว่าใครจะแพ้และใครจะชนะ
“เยส! ผมชนะ!” เป็นเรย์ที่ชนะโดยการออกค้อนทุบมือคนพี่ที่ออกกรรไกร ทำให้เขากระโดดโลดเต้นดีใจแต่ไม่กล้าร้องเสียงดัง เพราะตนหลีกเลี่ยงการเจอหน้านายท่านตรงๆ ได้แล้ว
“อะ เอาใหม่! ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”
“ครั้งเดียวคือครั้งเดียวครับพี่ ห้ามโกง”
“..เอ่อ...ก็ได้วะ” หยดเทียนยู่ปากก่อนจะสูดหายใจเข้าเมื่อตอนนี้ทั้งสองเดินมาถึงหน้าห้องผู้บริหารแล้ว ริมฝีปากอิ่มขบเม้มกัดพร้อมสีหน้าแน่วแน่ผิดกับหัวใจที่เต้นตึกตักดั่งเสียงรัวกลอง ตัดสินใจเคาะประตูห้อง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้งก่อนยูกิอัลฟ่าในตำแหน่งรองประธานจะเดินมาเปิดประตูให้
“..ผมมาส่งข้าวครับ” ทันทีที่ประตูบานทึบเปิดออกด้วยยูกิ หยดเทียนก็ส่งยิ้มแหยให้อย่างประหม่า
“สวัสดีครับคุณคนสวน เชิญด้านในเลยครับ” หนุ่มเจ้าสำราญส่งยิ้มหวานให้เช่นทุกครั้งก่อนจะผายมือเชิญผู้มาใหม่ทั้งสองคนเข้ามาด้านในก่อน
“ขอบคุณครับ” หยดเทียนยิ้มตอบพร้อมโน้มศีรษะลงเล็กน้อยแสดงความเคารพ สอดส่งสายตาเข้ามาสำรวจด้านในก่อนจึงเห็นว่า เจ้านายที่ไม่ได้พบหน้ากันหลายวันกำลังมองมาที่ตนอยู่ ภายในไม่กี่วินาทีต่อมาจึงรวบรวมความกล้าสาวเท้าเข้ามาด้วยท่าทีอึกอัก พยายามเลี่ยงไม่มองหน้านายท่านที่นั่งมองตนตาเป็นประกายอยู่บนโซฟา มือน้อยๆ ค่อยๆ วางถุงผ้าที่กอดแนบอกลงบนโต๊ะแล้วรีบถอยออกมาอย่างรวดเร็ว
“พ่อบ้านให้เอามาให้ครับ” ไม่ได้ก้มหน้าหนีทว่าก็ไม่ได้สบตากันตรงๆ เช่นกัน ทำให้เอย์จิขมวดคิ้วขัดใจเล็กน้อย
“ขอบใจมากนะ เรย์กลับไปได้แล้ว” ยิ้มให้หยดเทียนก่อนจะหันไปว่ากับเด็กฝึกงานที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง
“ครับ? ได้ครับนายท่าน” แม้จะยังงงๆ ว่าทำไมเป็นเขาคนเดียวที่ได้กลับ แต่กระนั้นก็รีบตอบอย่างดีใจเพราะเขาก็ไม่ได้อยากอยู่นาน เดี๋ยวโดนนายท่านงับคอ
“แล้วผมล่ะครับ?” ปลายนิ้วชี้มาที่ตัวพร้อมเลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย เหตุใดจึงอนุญาตให้เรย์เท่านั้นที่กลับได้ แล้วเขาล่ะ?
“เทียนอยู่รอเก็บกล่องข้าวกับถุงผ้าก่อนไง ส่วนเรย์ให้กลับไปรายงานพ่อบ้าน”
“งั้นโชคดีนะพี่ ผมกลับก่อนเดี๋ยวพ่อบ้านคอยนาน” เด็กหนุ่มขยับตัวเข้ามาแล้วกระซิบให้กำลังใจลูกพี่ที่ยืนหน้าจ๋อย ก่อนโน้มตัวเคารพเจ้านายและหันหลังเดินเตะขาออกไปจากประตูอย่างโล่งใจไม่ไยดีลูกพี่สักนิด
เชิงอรรถ
^ โยรุ ฮิคาริ
โยรุ แปลว่ากลางคืนนั่นคือความมืดมิด ฮิคาริ แปลว่าแสงสว่าง ดังนั้นชื่อสุสานที่ตั้งขึ้นก็เปรียบเสมือนว่า สุสานที่มีแสงสว่างค่อยเยียวยาจิตใจผู้คนที่ยังอยู่ไม่ให้จมอยู่กับความเศร้า