ตอนที่ 25 หยดน้ำและชายผู้มากับฝน

2674 Words
​ เมฆดำครึ้มลอยเด่นกลบน่านฟ้าสีทองอร่ามในยามเย็น เป็นดั่งสัญญาณเตือนบอกมนุษย์เดินดินให้เตรียมรับมือกับพายุที่กำลังมาในไม่ช้านี้ ก่อนที่ไม่กี่อึดนาทีหยาดฝนจะร่วงหล่นดั่งน้ำตาของฟากฟ้าโปรยปรายลงสู่พื้นโลกอันแตกระแหง แล้วเริ่มกระหน่ำรุนแรงดั่งเทพเจ้าเทสาดน้ำลงมา ผู้คนบนท้องถนนต่างวิ่งกระเจิงหนีห่าฝนกันพัลวัน บ้างก็รีบเข้าไปหลบในตัวอาคารที่มีโครงสร้างแข็งแรง บ้างก็ยกร่มคันใหญ่ขึ้นกางบดบังร่างกายแล้วเดินต่อไปอย่างไร้กังวล หรือบ้างก็ก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าไม่สะทกสะท้านแม้ตัวจะเปียกชุ่มน้ำก็ไม่ทุกข์ร้อน ประหนึ่งความผิดหวังหล่นทับบ่า มันเจ็บปวดแสนสาหัสหนักหนาจนถ่วงขาไม่ให้ก้าวไปข้างหน้าต่อ โครม! เปรี้ยง! เสียงอึกทึกครึกโครมของอัมพรสีนิลกาฬดังมาเป็นระยะๆ บรรเลงจังหวะเคลากับเสียงฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลงจนกลบเสียงต่างๆ ที่อยู่ภายใต้ตนไว้จนมิด ช่างเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก ทว่าเสียงดังอันน่าเกรงกลัวกลับทำให้เด็กหนุ่มผู้หนึ่งสบายใจยิ่ง “ฮึก..ฮึก..” หยดน้ำตาแห่งการร่ำไห้ที่ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงสะอื้นของโอเมก้าน้อยในชุดนักเรียนมอปลาย เด็กหนุ่มนั่งติดฝนกอดกระเป๋าอันเปียกชื้นอย่างน่าเวทนาภายใต้ปีกหลังคาหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ใบหน้าสีระเรื่อเบะปากร้องไห้อย่างไม่อายใคร เมื่อความรู้สึกเจ็บปวดกายและคับแค้นใจทะลักล้นออกมาราวกับหลังคารั่วฝน เพราะตนนั้นถูกทำร้ายร่างกายแลโดนดูแคลนจากเพื่อนร่วมชั้น แต่กระนั้นตนกลับไม่มีปัญญาแม้แต่จะต่อสู้ปกป้องตัวเองเช่นเคย จึงทำได้แค่นั่งปลดปล่อยกับฟ้ากับดินแทน “ฮึก..ฮือ..พี่เทียนน้ำเจ็บ..” เสียงสะอึกสะอื้นพร่ำบ่นหาพี่ชายเช่นเด็กงอแงเรียกพี่ให้มาปกป้องและเช็ดน้ำตาให้ แม้ความเป็นจริงแล้วจะไม่สามารถบอกใครได้นอกจากนั่งรำพันกับตัวเอง แต่เหตุผลใช่ว่าเขากลัวพี่ชายไม่สนใจ กลับกันเพราะพี่รักน้องชายอย่างเขามากเกินไปต่างหาก หยดน้ำจึงไม่สามารถลากพี่เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจได้ สู้บอกตัวเองให้อดทนอีกนิดอีกไม่กี่เดือนเท่านั้นเขาก็จะหลุดพ้นจากโรงเรียนที่มีคนเช่นนี้แล้ว แล้วไหนจะเรื่องราวสุดเลวร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีก เขายังหาคำแก้ตัวกับพี่ชายไม่ได้เลยและเขาเองก็ไม่สามารถหลบหน้าพี่เทียนได้ทุกวันเช่นกัน หยดน้ำทั้งสับสนทั้งเจ็บช้ำฝังใจ เขาหาทางออกไม่ได้จึงต้องมานั่งร้องไห้ระบายความรู้สึกนานาผ่านน้ำตา หวังเพียงให้เสียงหยาดฝนคอยชะล้างปลอบโยนให้ทุเลาลง ในขณะเดียวกัน เอี๊ยดดด...โครม!! ฝ่าเท้าเหยียบเบรกกะทันหันจนคนที่นั่งอยู่ด้านหลังเกือบพุ่งหลาวมาด้านหน้า เมื่อจู่ๆ รถยนต์คันสีขาวด้านหน้าที่ขับมาดีๆ กลับหยุดรถอย่างฉับพลัน ทำให้รถคันอื่นที่แล่นตามหลังรีบเหยียบเบรกกันไปเป็นแถบ แต่เนื่องด้วยพื้นถนนโดนน้ำฝนชโลมจนเปียก ทำให้รถที่แม้จะเหยียบเบรกเต็มเท้าลื่นไถลไปข้างหน้าราวกับล้อไม่มีดอกยางชนปะทะเข้ากับท้ายรถยนต์ตัวต้นเหตุจนเสียงดังสนั่นแข่งกับเสียงฟ้าฝน “เป็นอะไรไหมครับบอส!” หนุ่มสารถีควบตำแหน่งเลขาขมวดคิ้วมองรถคันหน้าแล้วรีบชะโงกหน้าถามเจ้านายที่นั่งอยู่เบาะหลังเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ก่อนจะได้รับคำตอบจากใบหน้าแสนหงุดหงิดที่ส่ายไปมา ชายหนุ่มตบอกโล่งใจที่ฟไม่ได้ทำอันใดให้เจ้านายเจ็บตัว ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “ลงมาดิวะ! คิดจะชนแล้วหนีหรือไง!” เจ้าของรถยนต์คู่กรณีเปิดประตูลงมาด้วยท่าทีไม่พอใจ ชายคนนั้นบึ่งตัวเข้ามาเคาะกระจกสีทึบรัวๆ พร้อมเปล่งเสียงกระโชกโฮกฮากที่จู่ๆ รถคันหรูดันขับมาชนท้ายรถของตนจนเสียหาย “เดี๋ยวผมลงไปคุยเองครับ” คนขับรถว่าอย่างรู้หน้าที่แล้วเปิดประตูรถกางร่มคันพอดีตัวออกไปเจรจาต่อรองให้ลงตัวโดยพยายามใช้เวลาไกล่เกลี่ยให้น้อยที่สุด เสียงปิดประตูรถเงียบลงพร้อมกับลมหายใจร้อนระบายออกมา คนในชุดสูทเอนแผ่นหลังกว้างลงบนเบาะพิงนุ่มแล้วตั้งข้อศอกมองดูชายหัวร้อนและกร เลขาคนสนิทเจรจากันอย่างไร้แววตาไร้ความนึกคิดใดๆ นอกจากความหงุดหงิดที่ทำให้เขาต้องเสียเวลา เหตุการณ์การไกล่เกลี่ยระหว่างเลขาคนสนิทของท่านรองประธานบริษัทอีนิกซ์และชายอัลฟ่าวัยกลางคนไม่ทราบชื่อยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนตอนนี้ผ่านมาร่วมสิบนาทีแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลงตัวง่ายๆ “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับพี่ อีกไม่นานประกันของผมก็จะมาแล้ว” กรพูดจาอย่างประนีประนอมให้อีกฝ่ายเข้าใจแต่ก็ไร้ผล “รอทำไมวะ! ผิดแล้วไม่อยากยอมรับหรือไงถึงได้พูดเฉไฉไม่อยากชดใช้ค่าเสียหายแบบนี้!” ชายกลางคนตะคอกด่าแข่งกับเสียงฝนที่ตอนนี้เริ่มซาลงบ้างเล็กน้อย ทำให้เลขาผู้ยืนต่อล้อต่อเถียงมานานเริ่มรับมือกับอารมณ์ฉุนเฉียวของวัยทองไม่ไหว อีกทั้งเนื้อตัวก็โดนไอน้ำจนเริ่มเปียกชื้น มันชั่งสุมไฟโทสะให้กรดีนัก เลขาชายถอนหายใจพยายามกดอารมณ์ตอบอีกครั้ง “ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบครับพี่ แต่พี่ก็ต้องเข้าใจผมด้วยว่าผมไม่ผิด เพราะจู่ๆ รถของพี่ก็ดันหยุดกะทันหัน รถคันหลังเดาใจพี่ไม่ออกหรอกนะครับว่าพี่จะเบรกตอนไหน” สายตาคมปลายจ้องมองสถานการณ์ผ่านหน้าปัดกระจกรถก่อนสลับก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วจึ๊ปากชักสีหน้าหงุดหงิด เพราะตอนนี้เวลาสำคัญที่นายท่านนัดตนเข้าพบกำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า แต่เขากลับมัวนั่งนิ่งรอเก้อคอยเหตุการณ์อย่างไม่รีบร้อนอะไร มือแกร่งประดับเส้นเลือดปูดนูนกดโทรศัพท์ก่อนยกแนบหูเพื่อบอกพ่อบ้านฮันว่า การเข้าพบนายท่านคงจะล่าช้าเนื่องด้วยเหตุสุดวิสัยจึงขอเลื่อนเวลานัดออกไป ก่อนที่ปลายสายจะตอบรับแล้ววางหูไป อัลฟ่าถอนหายใจแล้วเปิดประตูรถลงไปสูดอากาศเย็นด้านนอก ทันทีที่โผล่พ้นหลังคารถก็ปรากฏหนุ่มรูปงามในชุดสูทสีดำตัดกับเชิ้ตสีแดงเลือดที่ถูกซ้อนทับอยู่ด้านใน พร้อมกับคีบบุหรี่ยี่ห้อแพงในมือ ร่างสูงโปร่งท่วมรถเดินเข้ามายังที่เกิดเหตุอันอยู่ไม่ไกล แล้วหลุบมองชายกลางคนด้วยสายตานิ่งเรียบจนอัลฟ่าคนนั้นปิดปากเงียบสนิท เพราะครั่นคร้ามต่อรังสีอำมหิตอันแผ่ซ่านออกมาจากชายหนุ่มตรงหน้า แต่กระนั้นยูกิก็หาได้สนใจต่อล้อต่อเถียงด้วยไม่ เขาเพียงส่งสายตาขู่ไปเท่านั้น “โทรเรียกรถคันใหม่ให้ฉัน” ท่านรองประธานว่า ก่อนจะล้วงมือหยิบเอาไฟแช็กลวดลายงดงามที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อเลขาขึ้นมา หวังจะจุดบุหรี่สูบให้ควันร้อนเข้าไปสร้างความอุ่นให้ร่างกายและผ่อนคลายความหงุดหงิดลงมากกว่านี้ แต่ทว่าฟ้าชั่งไม่เข้าข้างอีกแล้วเพราะไฟแช็กดังกล่าวดันโดนน้ำฝนจนเปียกชื้นเกินไปจึงไม่สามารถจุดไฟได้ นั่นจึงทำให้ยูกิยิ่งโมโหเข้าไปอีก เขาจึงโยนมันทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดีราวกับมันเป็นของไร้ค่าราคาถูก “ครับนาย!” กรตะโกนรับคำสั่งตามแผ่นหลังท่านรองที่หายเข้าไปในม่านฝนสีขาว “ทั้งหมด 50 บาทค่ะ คุณลูกค้ามีออเมมเบอร์ไหมคะ?” โอเมก้าสาวเจ้าพนักงานประจำเคาน์เตอร์ของร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงกล่าวอย่างเก้อเขิน เมื่อลูกค้าอัลฟ่าหน้าหล่อในชุดสูทยืนตระหง่านจ่ายเงินอยู่ตรงหน้า อุตส่าห์ทรงผมโดนน้ำฝนจนเปียกไม่เป็นทรงถูกเสยขึ้นข้างบนอย่างลวกๆ ยังไม่สามารถกลบความหล่อเหลาของเขาได้ กลับกันมันยิ่งเพิ่มความออร่าเสริมความหน้าตาดีเข้าไปอีก จนหญิงสาวไม่สามารถละสายตาออกจากชายคนนี้ได้ “ไม่มีครับ” เสียงทุ้มเข้มตอบพร้อมจ่ายค่าสินค้าแล้วยิ้มโปรยเสน่ห์ฉบับชายเจ้าสำราญไปแทน ก่อนจะหยิบไฟแช็กและปลาสเตอร์บนเคาน์เตอร์แล้วเดินออกมา ก้านขายาวก้าวออกมานอกเขตร้านปะทะมวลอากาศเย็นชื่น สายตาคมจ้องมองห่าฝนที่ตกกระหน่ำอยู่ด้านนอกทั้งที่เมื่อครู่เริ่มซาลงบ้างแล้ว ยูกิถอนหายใจไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เมื่ออุปสรรคหลายอย่างในวันนี้พยายามขัดแข้งขัดขาอยู่ตลอดทั้งวัน ตั้งแต่หัววันยันหัวค่ำก็ยังสลัดไม่หลุดเสียที มือแกร่งหยิบไฟแช็กที่ซื้อมาแก้ขัดจุดมวลบุหรี่ที่คีบอยู่ในปาก แล้วสูบพ่นควันขาวปล่อยความหงุดหงิดลอยฟุ้งต้องสายฝนก่อนจะมลายหายไปไม่เหลือเค้าร่าง “ฮึก..ฮึก..” เสียงเด็กเจ้าน้ำตายังคงสะอึกสะอื้นร้องแข่งกับฝนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน นั่งกินน้ำตาพลางบ่นว่าเจ็บนู่นเจ็บนี่อยู่คนเดียวตั้งแต่เขาเดินเข้าไปในร้าน กระทั่งเดินออกมาแล้วเด็กคนนี้ก็ยังคงนั่งฟูมฟายไม่หยุด หากคิดไม่ผิดคงโดนเพื่อนที่โรงเรียนกลั่นแกล้งมา อ้างอิงจากรอยแผลบนหน้าผากและเสื้อผ้าที่ขาดริ้วบางจุด บ่งบอกได้อย่างชัดเจนเลยว่าเด็กคนนี้เจออะไรมา คิดแล้วยูกิก็ส่ายหัวไวๆ เพราะแอบเดาใจเด็กน้อยต่อว่า เขาคงไม่อยากกลับบ้านเพราะเกรงว่าที่บ้านจะรับรู้ว่าตนโดนอะไรบ้าง จึงต้องเก็บมานั่งอมทุกข์อยู่คนเดียว “ชอบจังน่า.. เด็กร้องไห้เนี่ย” ยูกิบ่นกับตัวเองอย่างติดเล่นแต่ไม่ได้คิดจริงจัง ร่างสูงยืนนิ่งครุ่นคิดพร้อมสายตาที่คอยสังเกตเจ้าเด็กน้อยอย่างสนใจว่า เมื่อไหร่น้ำตาจะหยุดไหล ทว่าผ่านไปนานจนฝนเริ่มซาลงอีกครั้งก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ราวกับว่าท่อน้ำตาใต้ผิวแตกอย่างไรอย่างนั้น ฟู่ว.. ควันสีขาวหอมปลายลอยโขมงออกจากปากก่อนจะตัดสินใจเดินไปนั่งลงข้างๆ เป็นเพื่อนหนูน้อยจอมขี้แย เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขาเองก็ไม่มีที่ไปและดูท่าว่าคงอีกนานหลายสิบนาทีกว่าคนขับรถคนใหม่จะมารับ กลิ่นบุหรี่รสขมคละกลิ่นฟีโรโมนหอมอ่อนๆ ปลิวต้องจมูกสีระเรื่อทำให้รับรู้ได้ทันทีว่ามีอัลฟ่านั่งอยู่ข้างๆ ห่างกันไม่กี่เซนติเมตร เสียงร่ำไห้ที่ดังมาอย่างยาวนานจึงหยุดลงด้วยความเกรงใจแลหวาดกลัวเหลือเพียงเสียงสะอื้นเท่านั้น ฝ่ามือขาวยกปัดป่ายเช็ดใบหน้าอันชื้นแฉะอย่างลวกๆ แล้วรีบยกก้นนิ่มขยับหนีออกห่างอย่างหวาดระแวงจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ชายหนุ่มเหลียวหางตาตามก่อนยกยิ้มให้ในความไร้เดียงสา เด็กหนอเด็กนึกจะหยุดร้องไห้ก็หยุดเสียง่ายๆ มือแกร่งสากยกล้วงกระเป๋าเสื้อสูทหยิบแผ่นปลาสเตอร์ที่มีรอยยับยู่ยี่เล็กน้อยออกมา ยูกิเกือบลืมไปแล้วว่าตนยอมซื้อติดมือมาด้วยเพื่อนำมาให้เด็กหนุ่มคนนี้โดยเฉพาะ หากไม่ให้ก็จักได้ทิ้งมันไปให้เสียดายเงินเปล่าๆ “ฉันให้” เสียงทุ้มแสบเสน่ห์ฉบับอัลฟ่าดังขึ้นแล้วค่อยๆ ยื่นเอาแผ่นปลาสเตอร์ปิดแผลไปต่อหน้าโอเมก้าที่ก้มหน้าสะอึกสะอื้น แต่ทว่าร่างเล็กกลับหน้าตื่นเมินความหวังดีแล้วกระเถิบก้นหนีจนแทบจะสุดขอบม้านั่ง ชายหนุ่มงุนงงแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาจึงยืดสุดแขนเพื่อนำปลาสเตอร์เข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากที่สุด แต่ไร้วี่แววการตอบกลับซ้ำยังหันลำตัวหนีอีก ฟันหน้าขบริมฝีปากล่างข่มเสียงสะอื้นเอาไว้อย่างใจสั่น หยดน้ำโดนอัลฟ่าที่ไหนก็ไม่รู้ตามตื๊อเข้า ทำเอาโอเมก้าน้อยที่เดิมทีก็กลัวอัลฟ่าอยู่แล้วเตลิดกลัวเข้าไปใหญ่ แต่กระนั้นก็ไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้ เพราะสายฝนที่กระหน่ำลงมาอีกละลอกเป็นดั่งคุกขังเขาเอาไว้ที่นี่ อีกทั้งยังกลัวว่าหนังสือและสมุดในกระเป๋าจะเปียกไปมากกว่านี้ หยดน้ำเลยจำใจต้องนั่งเกร็งสั่นสู้ไม่ลุกไปไหนพลางชำเลืองตาดูชายที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นระยะด้วยความหวาดระแวง “นี่ไอ้หนู ไม่ได้ยินหรือไง” ยูกิว่าพลางขยับตัวเข้าใกล้เด็กหนุ่มที่นั่งกอดกระเป๋าหันหลังให้ “อย่าเข้ามาใกล้น้ำนะ!” เสียงขู่แง๊วของลูกแมวเปียกฝนดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าเบะสั่นหันมาจ้องเขม็งอย่างสู้สุดใจ ทำให้ชายผู้ตามเซ้าซี้เลิกคิ้วตกใจก่อนจะยิ้มขันเมื่อเห็นคนขี้กลัวทำใจสู้ “ขู่แค่นั้นฉันไม่กลัวหรอกหนู” ริมฝีปากอมยิ้มอย่างนึกแกล้งแต่ไม่กล้าด้วยกลัวว่าเด็กมันจะร้องไห้วิ่งตากฝนหนีไปเสียก่อน “ฮึก..” หยดน้ำหลุดสะอื้นพร้อมกับน้ำตารื้นที่เต็มหน่วยพร้อมรินไหล ริมฝีปากเบะสั่นพาเนื้อแก้มสีระเรื่อย้วยลงมากองใกล้ปากอย่างลูกเชอร์รี่สุก ดวงตากลมเพ่งมองภาพพร่ามัวของอัลฟ่าอย่างพรั่นพรึงพลางกระชับกอดกระเป๋าชิดอกมากขึ้น เมื่อชายคนนั้นขยับร่างกายเข้ามาหาตนเรื่อยๆ ‘กลัวอะไรขนาดนั้น’ ชายในชุดสูทขบคิดในใจก่อนจะตัดสินใจหยุดการเคลื่อนไหวของตัวเองลง แล้ววางปลาสเตอร์ลงบนพื้นม้านั่งตรงกลางระหว่างตนและเด็กร่างบางแทนการให้จากมือ “เอาไปติดแผลที่หน้าผากซะเดี๋ยวก็ติดเชื้อหรอก” ยูกิเอ่ยทิ้งไว้แล้วกลับมานั่งสูบบุหรี่พ่นควันอยู่เงียบๆ รอจนกว่าคนขับรถจะมาถึง โอเมก้าน้อยยังคงนั่งกอดกระเป๋าเปียกน้ำอยู่อย่างนั้น ก่อนจะยกมือลูบสำรวจหน้าผากตัวเองเมื่อนึกถึงคำพูดของคนข้างๆ พลางสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความแสบ จึงรู้ว่าอัลฟ่าคนนั้นไม่ได้โกหก ดวงตากลมเบลอมัวด้วยม่านน้ำตาถูกหลังมือปัดเช็ดออกอีกครั้ง ก่อนปรายหางตามองอย่างระแวดระวังความปลอดภัยแล้วตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบปลาสเตอร์ที่วางอยู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อได้มันมาแล้วก็พยายามหันศีรษะซ้ายขวาเพื่อติดแผลอย่างเก้ๆ กังๆ ด้วยความไม่ถนัดแต่สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี ใบหน้าอมลูกพีชในแก้มเงยขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างเบาใจเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่า อัลฟ่าผู้นี้ไม่ได้ประสงค์ร้ายดั่งที่ตนรำพึงกลัว แต่กระนั้นก็ยังคงระมัดระวังตัวตามสัญชาตญาณอยู่ดี “ขะ ขอบคุณจ้- ครับ” เสียงสั่นขาดห้วงไปช่วงท้าย ก่อนจะดังขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำสุภาพทั่วไป เมื่อตระหนักทันว่าตอนนี้ตนไม่ได้สนทนากับคนสนิทเฉกเช่นพี่ชายหรือบิดาและมารดา จึงไม่อยากเอ่ยคำติดปากที่เห็นมีแต่เด็กน้อยชอบพูดกัน เกรงว่าหากเอ่ยไปเช่นนั้นจะทำให้คนอื่นเขาพากันหัวเราะเยาะ เสียงแผ่วเบาไร้ความมั่นใจแทรกเข้าโสตประสาทของคนที่นั่งพ่นควันบุหรี่พร้อมเหล่ตามองโอเมก้าหน้าสวยที่เดินผ่านไปมาไม่กี่คน ยูกิจึงไม่ได้สนใจเสียงเด็กที่นั่งข้างๆ เขาเพียงยกมุมปากยิ้มให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD