ของหวานมากมายถูกสาวใช้ยกออกมาเสิร์ฟวางกระจัดกระจายละลานตาบนโต๊ะอาหารกว้าง ตามคำสั่งของชายเจ้าของบ้าน สีสันของมันสร้างความตื่นตาตระการใจให้แก่เจ้าของดวงตาสุกใสได้เป็นอย่างดี
หยดน้ำขบริมฝีปากห้ามน้ำลายไหลเพราะของหวานหลายชิ้นหลากรูปร่างล้วนแต่สวยสดงดงามและน่ารับประทานยิ่งกว่าที่เห็นในอินเทอร์เน็ต พาลให้ลืมความกังวลที่เกิดขึ้นตอนอยู่บนรถไปจนหมดสิ้น
มือขาวหยิบช้อนขนาดพอดีปากที่วางอยู่บนจานขึ้นมาแตะๆ จิ้มๆ เนื้อเค้กเด้งดึ๋งสู้มือจนทำร่างเล็กประหลาดใจจึงหันไปทำหน้างงให้บิดา ซึ่งนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูของบิดาได้อย่างดี
หยดน้ำอ้อยอิ่งอยู่นานไม่รู้ว่าจะเริ่มชิมจากตรงไหนก่อน สุดท้ายจึงเลือกตักช็อกโกแลตลาวาที่ไหลหยาดเยิ้มลงมาเข้าปาก ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างแก้มพองมองบิดาเมื่อรสชาติอร่อยถูกปากอย่างที่ไม่เคยลิ้มลอง
“อร่อยไหม”
“อร่อยจ้ะ! น้ำทานอีกได้ไหมจ๊ะ”
ใบหน้าหย่อนคล้อยเอ่อด้วยความสุขพยักตอบตกลงอย่างไม่ต้องคิด ส่งผลให้ร่างน้อยขบปากพยายามหุบรอยยิ้มเพราะดีใจ สายตาเปล่งประกายมองล่อกแล่กหาของหวานชิ้นต่อไปชิมอย่างเพลิดเพลิน
ธนานั่งเท้าแขนค้ำโต๊ะมองหยดน้ำอย่างน้ำเต็มหัวใจจนทะลักออกมาเป็นรอยยิ้ม เมื่อเห็นลูกชายวาดรอยยิ้มสดใสอย่างอารมณ์ดีเพราะขนมหวานที่เพิ่งเคยลิ้มลองเป็นครั้งแรก
เนื่องด้วยทรัพย์สินฝ่ายพี่ชายมีพอใช้จ่ายแค่ซื้อของสามัญเลี้ยงชีพไปวันๆ และคงไม่มีเงินเหลือไปเจียดซื้อของหวานชิ้นเล็กผิดกับราคาเหยียบร้อยบาท หรือไม่หากบางทีน้องชายสุดที่รักอ้อนวอนขอให้ซื้อ พี่ชายผู้จิตใจบางย่อมต้องยอมควักเงินจ่ายให้โดยไม่ลังเลแน่นอนด้วยความอยากให้น้องกินดีอยู่ดีเท่าที่ตัวเองจะทำได้ แต่ทว่าในระยะเวลานั้นหยดเทียนต้องนั่งกินแกลบแทน นั่นจึงทำให้หยดน้ำไม่อยากร้องขอสิ่งใดมากมายหากไม่จำเป็น ยิ่งฝ่ายมารดายิ่งไม่ต้องคิดเพราะรายนั้นล้วนแต่เอาเงินที่มีไม่ว่ามากหรือน้อยไปลงหลักปักฐานกับสุรายาดองแทบทุกวัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกเส้นทางการเคลื่อนของเข็มนาฬิกาเต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน จนธนาลืมเรื่องขอความช่วยเหลือไปเป็นที่เรียบร้อย กว่าจะรีบดึงสติออกจากห้วงความคิดมาทำหน้าที่ก็ปาไปชั่วโมงกว่าแล้ว จึงรีบเปล่งร้อยถ้อยคำเจรจาหลังจากใช้ของหวานหว่านล้อมลูกชายสำเร็จเสร็จสมตามแผน
“พ่อมีเรื่องอยากให้น้ำช่วย น้ำช่วยพ่อได้ไหม?”
“หืม? อะไรหรือจ๊ะ” ขาสั้นแตะไม่ถึงพื้นแกว่งสลับกันดุ๊กดิ๊ก พลันเอื้อมมือตักขนมแสนถูกใจเข้าปากจนซาลาเปาขาวสองลูกป่องออกด้านข้าง ก่อนจะรีบหันมาคุยกับคุณพ่อในขณะที่ปากยังเคี้ยวตุ่ยอยู่
ธนาขยับกายเปลี่ยนท่า จากเอามือค้ำศีรษะผันเป็นนั่งประสานมือวางบนตักและแสดงสีหน้าจริงจังพลอยให้หยดน้ำกังวลตาม “ตอนนี้บริษัทของพ่อต้องการความช่วยเหลือจากเจ้านายของพี่ชายลูก น้ำช่วยไปคุยกับเทียนให้ช่วยพูดกับคุณเอย์จิให้พ่อหน่อยได้ไหม”
“เอย์จิ?” หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเป็นสัญลักษณ์ของความสงสัยและขบคิด หยดน้ำคลับคล้ายคลับคลาว่าชายผู้มีนามว่าเอย์จิ คือเจ้านายของพี่ชายที่พูดถึงบ่อยๆ
“ใช่ คุณเอย์จิคือเจ้านายของพี่ชายลูก น้ำช่วยพ่อหน่อยนะ”
มือไม้ที่จับช้อนขนมเริ่มอ่อนแรง จากใบหน้ายิ้มร่าเริงปรับเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง เมื่อสมองเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเรื่องสำคัญเกี่ยวกับพี่ชายคืออะไร และทำไมจู่ๆ ถึงได้พาลูกนอกสมรสอย่างเขามาเลี้ยงขนมหวาน ทั้งหมดไม่ใช่เพราะความคิดถึงและเป็นห่วงแต่เป็นเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจต่างหากล่ะ..
“จ้ะ น้ำจะคุยกับพี่เทียนให้..” เสียงแผ่วตอบพลางยิ้มอ่อนให้ มือสั่นไหววางช้อนลงเลือกที่จะไม่ทานต่อ
“น้ำจะกลับแล้วจ้ะ”
“ยังทานไม่หมดเลยจะกลับแล้วหรอ”
“น้ำจะกลับไปทำการบ้านจ้ะ”
“งั้นเดี๋ยวพ่อไปส่งนะ”
เด็กน้อยพยักหน้าตอบแทนเสียงแล้วยันกายลุกขึ้นหยิบกระเป๋าใบเก่าที่บางจุดเป็นรูขาด ในตอนแรกหยดน้ำเกือบจะปฏิเสธเพราะไม่อยากขัดกฎเหล็กในใจ แต่หากจะให้เดินจากบ้านหลังนี้ไปถึงถนนหลักเพื่อหาแท็กซี่กลับก็เหมือนจะไกลเกินไป หยดน้ำจึงต้องยอมว่าง่ายตอบตกลงให้ผู้ที่พามากลับไปส่ง แล้วค่อยอ้างนั่นนี่ให้พ่อจอดร้านสะดวกซื้อใกล้ที่พักให้ก็ได้
แต่ทว่าเหมือนธนาจะใช้เวลากับหยดน้ำนานเกินไป เพราะยังไม่ทันเดินพ้นประตูบ้าน สองแม่ลูกที่เพิ่งกลับมาจากซื้อของก็รีบบึ่งเข้ามาพร้อมสีหน้าฉงนงงงวย เมื่อเห็นว่าสามีพาใครบางคนเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวกันก่อนล่วงหน้า
“ใครครับพ่อ?” ลูกชายคนโปรดของภรรยามองหน้าคนไม่คุ้นตาแล้วสลับไปถามพ่อด้วยความสงสัย ก่อนในอีกไม่นานมารดาหรือก็คือภรรยาเอกของธนาจะเดินตามหลังเข้ามาสมทบ
“เด็กคนนี้คือใครคะ!? ไม่ใช่เพื่อนของภีมหนิ” เธอส่งข้าวของในมือให้สาวใช้ที่วิ่งออกมารับอย่างรู้งาน ก่อนจะเอ่ยถามพลางใช้สายตาเย็นมองเด็กหนุ่มที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ สามีด้วยความอยากรู้
ด้วยตลอดระยะเวลาที่เอมอรและธนาอยู่กินกันมาหลายสิบปี เธอรู้จักหยดน้ำผ่านชื่อที่สามีละเมอหาเท่านั้น จึงไม่แปลกที่เธอจะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มมอปลายเบื้องหน้าตนนั่นคือใคร
“เอาไว้พ่อกลับมาค่อยคุยกันนะ” ชายกลางคนเลือกเมินคำถามของภรรยาแล้วเดินไปลูบผมและกล่าวกับลูกชายแทน
แต่ทว่านิสัยของเอมอรยอมอดทนรอได้เสียที่ไหน ในขณะที่ธนากำลังเดินผ่านเธอออกไป เอมอรจึงใช้โอกาสนี้รีบคว้าแขนของสามีดึงรั้งให้หยุดสะสางปัญหาให้มันจบๆ ไปเพราะนิสัยคุณนายเช่นเธอทนไม่ไหวหรอกหากต้องนั่งรออะไรนานๆ
“ทำไมต้องรอให้คุณกลับมาคะ คุยกันตอนนี้ตรงนี้ให้มันจบๆ จะเป็นอะไรไป” เรียวคิ้วสวยเป็นทรงขมวดแน่น ดวงตาแข็งเหลือบมองสามีสลับกับมองโอเมก้าน้อยผิวขาวอย่างรุ่มร้อนใจ
“เธอมาทำอะไรที่นี่ ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่หนิ ทำไมถึงไม่กลับบ้าน”
“...” ใบหน้าถอดสีพะอืดพะอมไม่กล้าตอบคำถามของภรรยาหลวง แม้แต่จะเงยหน้ามองก็ยังไม่มีความกล้ากลัวว่าตนจะโดนทำร้าย
“ไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหมคะ” เส้นเสียงแหลมส่ายเมื่อไม่ได้รับคำตอบอย่างกระจ่างจากปากของคนแปลกหน้าและสามีที่ยืนนิ่งไร้เสียงราวกับไม่อยากให้รู้ถึงความสัมพันธ์ เธอจึงเตลิดไปต่างๆ นานาว่าสามีแอบเล่นชู้กับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
“ตอบฉันมาสิคะคุณธนา มันไม่ใช่ใช่ไหมคะ” ดวงตากลมโตสั่นไหวเพราะเริ่มหวั่นใจกลัวสามีไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยอีกจริงๆ แต่ก็เป็นเช่นเคยสามีของเธอปิดปากเงียบ
“เธอเป็นอะไรกับสามีฉันห้ะ!” เมื่ออีกคนเฉยชานิ่งเงียบใส่ไม่อธิบายให้เข้าใจ เธอจึงพุ่งตัวเข้าไปคว้าแขนข้างหนึ่งของโอเมก้าแปลกหน้าแล้วบีบเค้นเอาคำตอบ มือขาวประดับรอยย่นออกแรงบีบและจิกเล็บยาวปลายแหลมลงบนผิวเนื้อขาวจนมีเลือดซิบออกมา
“ปะ ปล่อยนะจ๊ะ น้ำเจ็บ!” เสียงร้องขอความเมตตาจากหญิงตรงหน้าดังออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรดแก้ม ทำให้ธนาที่ยืนค้างรีบเข้ามากระชากแขนของภรรยาออกจากเรียวแขนขาวเสียแรง จนมือเธอสะบัดไปอีกทาง แล้วรีบสำรวจแผลบนร่างกายของหยดน้ำด้วยความเป็นห่วงต่อหน้าลูกชายอีกคน
“น้ำ..” เอมอรชะงักค้างครู่หนึ่ง ทั้งเจ็บใจที่โดนสามีทำร้ายจิตใจ ทั้งตะลึงงันในคำพูดที่หลุดออกจากปากเด็กน้อยก่อนหน้านี้ สับสนไปหมดว่าเด็กมอปลายคนนี้คือใครกันแน่ มันไม่ใช่ลูกนังแพศยาอย่างที่เธอคิดใช่ไหม
“หยดน้ำ.. แกชื่อหยดน้ำใช่ไหม..” ดวงตาเรียวเริ่มมีน้ำตาผุดขึ้นมาเตรียมไหล หันไปมองใบหน้าใสอันคล้ายหญิงที่เธอชังน้ำหน้า แล้วเหลือบไปมองสามีอย่างน้อยใจที่ประคบประหงมเอาใจลูกเมียน้อยดีนัก ขนาดลูกชายของเธออยู่ตรงนี้ยังทำกันได้ลง
“ฮึก..” หยดน้ำกลัวเกือบขาดใจในที่สุดหญิงกลางคนตรงหน้าก็ได้รู้ความจริงทั้งหมด รองเท้านักเรียนสีดำเริ่มขยับถอยหลังทีละนิดตามสัญชาตญาณของร่างกาย เมื่อรับรู้ถึงความอันตรายที่กำลังพุ่งเข้ามาในอีกไม่ช้า
“พาแม่ขึ้นห้องเดี๋ยวนี้เดี๋ยวพ่อกลับมา” ธนาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงรีบออกคำสั่งให้ภีมที่ยืนดูเหตุการณ์อย่างไม่เข้าใจให้รีบพาภรรยาขึ้นไปข้างบน แล้วตนจะรีบพาหยดน้ำกลับไปส่งที่บ้าน เพื่อเลี่ยงการปะทะอันแสนบ้าบิ่นจนลืมผิดชอบชั่วดีของเอมอร
ภีมรีบพยักหน้าตอบรับคำสั่งอย่างไม่กล้าเลี่ยง เขากลืนน้ำลายอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะไม่เคยเห็นมารดาโมโหมากขนาดนี้มาก่อน
“แม่ครับ ระ เราขึ้นไปบนห้องกันก่อนเถอะครับ” ฝ่ามือนุ่มประกบลงบนลำแขนของแม่เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เธอยอมขึ้นไปสงบสติอารมณ์บนห้อง แต่ทว่ามือของภีมกลับโดนเอมอรสะบัดออกจนหลุดลอยไปตามแรงทำให้เด็กน้อยหวาดกลัวอย่างมาก เพราะที่ผ่านมามารดาไม่เคยปฏิบัติเช่นนี้กับเขาเลย
“มะ แม่ครับ”
“อย่ามาห้ามแม่นะ! แกไม่รู้หรือไงว่ามันคือลูกเมียน้อยของพ่อแก คนที่ควรออกไปคือมันไม่ใช่แม่!” เสียงตวาดดังทำให้ลูกชายของเธอรีบถอยหลังออกมาแล้วยืนสะอื้นมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ เช่นเดียวกับคนรับใช้คนอื่น ที่ต่างหลบซ่อนอยู่ในซอกในมุมเพื่อแอบดูเหตุการณ์สุดมาคุระหว่างคุณนายและเด็กหนุ่มที่ได้ยินว่าเป็นลูกของเมียน้อย
“อรผมขอเถอะนะ ขึ้นไปตั้งสติแล้วสงบอารมณ์ก่อน” ธนาเท้าเอวมองไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อยก่อนจะข่มอารมณ์บอกกับภรรยาไปดีๆ
“คนที่ควรตั้งสติคือคุณต่างหากธนา คุณไม่คิดบ้างหรอว่าการที่คุณทำแบบนี้ มันทำร้ายฉันทำร้ายลูกมากแค่ไหน ที่ผ่านมาฉันยอมอยู่นิ่งๆ ไม่เคยเข้าไปยุ่งไปรังควานบ้านเล็กบ้านน้อยตามที่คุณขอมาตลอด แต่วันนี้คุณกลับพามันมาที่นี่! มาเหยียบหน้าฉันถึงบ้านหลังนี้! แล้วตอนนี้คุณยังจะให้ฉันอยู่เฉยๆ อีกหรอ! คุณรู้จักฉันน้อยไปธนา..”
ฝ่ามือทั้งสองข้างกำแน่นจนผิวขาวขึ้นสีแดง ดวงตาเรียวถลึงโตจนเห็นเส้นเลือดฝอยที่บ่งบอกถึงความโกรธขึ้งของหญิงผู้เป็นภรรยาหลวง เธอเพ่งตาจดจ้องเด็กหนุ่มที่ยืนก้มหน้าสั่นไม่กล้าสู้หน้าอย่างเคียดแค้น ก่อนสลับมามองสามีที่ยังดูนิ่งเรียบไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรสักอย่าง มันยิ่งเสียดแทงหัวใจของเธอจนต้องตัดพ้อระบายในอก
“หึ สุดท้ายคุณก็ไม่เข้าใจความรู้สึกฉันเลยสักนิด” มุมปากยกยิ้มอย่างประชดหาได้เป็นสุข ทั้งที่เธอพูดบรรยายความอัดอั้นไปตั้งมากมาย หวังเพียงสามีจะเข้าใจหัวอกคนเป็นภรรยาและแม่คนบ้าง แต่จิตใจของธนากลับหยาบช้ามากเกินกว่าจะบรรลุสิ่งเหล่านี้ได้ เธอจึงต้องถอยกลับมารักษาความรู้สึกของตัวเองใหม่ และไม่ไยดีกับสิ่งอื่นอีกแล้ว
“สา! เอาน้ำมา!” เสียงแหลมตะโกนสั่งสาวใช้ที่แอบเกาะประตูห้องครัวดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้อย่างเมามันราวกับเชียร์มวย ทำให้ทันทีที่สาได้รับคำสั่ง เธอสะดุ้งเตลิด ขานรับคำสั่งของคุณนายอย่างเร่งรีบ
สาวใช้สับขาวิ่งเข้าไปในห้องครัว สายตากระวนกระวายมองหาภาชนะใส่น้ำแต่เพราะกริ่งเกรงว่าคุณนายจะยำคอหากยังมัวชักช้าจึงหยิบเอาขวดน้ำมันที่ว่างอยู่ใกล้มือออกมาแทน แล้ววิ่งสุดแรงเกิดนำมันใส่ไว้ในมือคุณนายที่กำลังโดนไฟโทสะสุมจนรุกร้อน
“อย่านะอร” ชายอัลฟ่าใจไม่ดีเมื่อเห็นภรรยาค่อยๆ เปิดฝาขวดออก เกรงว่าภรรยาจะราดน้ำมันใส่หยดน้ำจึงรีบเอาตัวเข้ามากำบังลูกชายเอาไว้
“หลบไป! คุณอย่าคิดว่าฉันไม่กล้านะ!” มือหนึ่งถือขวดน้ำมันส่วนอีกมือก็เขวี้ยงฝาของมันทิ้งไปไกลจนไม่รู้ว่าไปตกอยู่ส่วนไหนของบ้าน เธอแผดเสียงร้องเตือนสามีให้หลบไปให้พ้นทางด้วยความหวังดี
“คุณรักมันมากกว่าลูกของเรางั้นหรือคะ คุณลืมไปแล้วหรอว่าภีมคือลูกชายที่คุณรักมากที่สุด มากกว่าใครทั้งนั้น ฮึก..คุณก็รู้นี่คะว่าฉันอยากให้ครอบครัวเราสมบูรณ์แบบจนพวกคุณนายพวกนั้นอิจฉา ..แต่ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ล่ะคะ ตอบฉันมาสิคะธนา..” มือสั่นง้างเตรียมจะเขวี้ยงขวดน้ำมันที่กำแน่นในมือใส่เด็กน้อยพร้อมรำพันถึงความรักของครอบครัวสมบูรณ์แบบดั่งที่เธอวาดฝัน ของเหลวมันเหลื่อมไหลรดตามแขนจนเหนอะหนะ แต่เอมอรในอารมณ์เกรี้ยวกราดหาได้สนใจหรือขยะแขยงมันไม่
ในเวลาเพียงเสี้ยววิในขณะที่ดวงตาลุกโชนเลื่อนลอย ข้อมือเล็กชุ่มหยาดน้ำมันก็โดนฝ่ามือใหญ่หยุดการเคลื่อนไหวเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามดิ้นเท่าไหร่ก็สู้แรงอัลฟ่าไม่ไหว
“ปล่อยฉันนะ!” เอมอรแผดเสียงแสบแก้วหู พยายามตะเกียกตะกายให้หลุดออกจากอาณัติขอสามี เพื่อจะเข้ามาทำร้ายเด็กที่เกิดจากเมียอีกหนึ่งคนให้ได้
สถานการณ์คุกรุ่นเริ่มเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนหยดน้ำที่ซ่อนอยู่ด้านหลังยืนสั่นร้องไห้ทำตัวไม่ถูก ในตอนนี้เขาคิดได้อย่างเดียวเท่านั้นคือต้องพาตัวเองหนีออกไปจากที่นี่ แม้คิดได้แต่กลับทำไม่ได้เพราะเจ้ากล้ามเนื้อขากลับไม่ยอมขยับไปไหนตามใจสั่ง
“ยืนโง่อยู่ทำไม! รีบออกไปจากบ้านฉันสิ! แม่แกทำครอบครัวฉันเป็นแบบนี้ยังไม่พออีกหรอ! ออกไป! ออกไปให้พ้น!!” เสียงสั่นเครือร้องตะโกนของโอเมก้าที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ สีหน้าเอ่อล้นน้ำตาไม่ต่างจากหยดน้ำตะโกนสุดเสียงไล่เขาออกไปด้วยความโกรธและสับสน แม้จะอยากเข้าไปตบตีอีกฝ่ายเช่นที่มารดาทำ หากแต่พ่อและแม่ที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่เบื้องหน้านั้นสำคัญกว่าคนนอก ภีมจึงจำเป็นต้องไล่ตัวปัญหาออกไปก่อนที่ครอบครัวจะแตกหักไปมากกว่านี้
“ฮึก..” เสียงสะอื้นดังเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่เด็กน้อยจะหอบกระเป๋าวิ่งหลับหูหลับตาออกไปจากบ้านหลังนี้อย่างไม่กล้าเหลียวหางตามาแลเป็นครั้งสุดท้าย
“ฉันเกลียดแกไอ้หยดน้ำ! ฉันเกลียดพวกแก!!” เสียงเคียดแค้นเข่นออกจากหัวใจร้องตะโกนตามหลัง เธอกรีดร้องแผดเสียงราบกับคนบ้าอย่างเจ็บใจท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของลูกชายทั้งสองคนที่ต่างสถานะกัน
มันไม่มีใครเจ็บปวดเท่าเด็กทั้งสองคนนี้อีกแล้ว
ร่างไร้วิญญาณเดินซึมไปตามไหล่ทางราวกับคนไร้จุดหมาย ไร้วี่แววผู้คนบนถนน ไร้วี่แววคนเป็นพ่อที่วิ่งออกมาตามเพราะคงมัวแต่ห้ามไม่ให้เธอออกมาตามและอีกไม่นานคงปรับความเข้าใจกัน
ตรืด ตรืด ตรืด
เสียงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังเป็นระยะๆ ตั้งแต่เขาวิ่งออกมาจากบ้านบวรนิวิชญ์แล้ว แต่กระนั้นหยดน้ำกลับเลือกที่จะไม่รับแม้จะรู้ว่าปลายสายคงหนีไม่พ้นพี่ชาย แต่เพราะหยดน้ำรู้สึกผิด ผิดที่ดื้อรั้นไม่ฟังคำเตือนจนสุดท้ายต้องมาเสียใจกับสิ่งที่คนเป็นพ่อตอบแทน มันช่างเจ็บปวดนักสำหรับเด็กน้อยวัย 18 ปี หยดน้ำจึงไม่กล้าแม้จะพูดและร้องไห้ให้พี่ชายรู้ว่าตนเองกำลังเจ็บปวดแค่ไหน
แต่สุดท้ายเขาก็ไปไหนไม่ได้นอกจากกลับไปซบอกพี่ที่ปานนี้คงเป็นห่วงและเฝ้ารอเขากลับบ้าน เด็กหนุ่มจึงรีบยกมือลูบเช็ดหยาดน้ำตา แล้วบอกกับตัวเองว่าต้องแข็งแกร่งขึ้นเหมือนพี่เทียนให้ได้
ในระหว่างหนทางอันว้าเหว่นั้นก็มีแท็กซี่ขับสวนมาพอดี หยดน้ำจึงตัดสินใจโบกรถยนต์โดยสารอย่างไม่มีทางเลือก แล้วดันโชคดีที่คนขับแท็กซี่คันนี้เป็นเบต้านั่นจึงพอให้หยดน้ำโล่งใจได้บ้าง