บรรยากาศหน้าร้านสะดวกซื้อตกอยู่ในความเงียบงันไร้การสนทนา มีเพียงเสียงระบำสาดส่ายสายฝนเปล่งคลอฟ้าคำรนร้องขับไล่รังสีกดดันจากชายข้างๆ ที่เผลอปล่อยออกมาอย่างไม่รู้ตัว ทำให้โอเมก้าน้อยหายใจเข้าออกเฮือกแรงหวังเป่าบรรเทาอาการอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นในใจอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อเริ่มคุ้นชินกับสถานการณ์ขึ้นบ้าง ความกังวลและความหวาดระแวงก็ทุเลาลงมาก จึงทำให้สายตาซุกซนเริ่มพิจารณาสิ่งรอบข้างโดยเฉพาะอัลฟ่าเจ้าของปลาสเตอร์ที่แปะอยู่บนหน้าผาก ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอย่างที่ตนยำกลัว
สายตาใสไร้หยดน้ำลอบมองกายหนาในชุดสูทสีเข้มเป็นระยะด้วยอยากทำความรู้จัก แต่ทว่ายามตัดสินใจจะเปล่งวาจาทักทายกลับต้องหยุดชะงักเก็บเสียงลงคอเพราะอาการเก้อเขินอยู่ทุกครั้ง จนยูกินั่นเริ่มสังเกตได้
ชายหนุ่มจึงนึกอยากแกล้งเลยเอี้ยวหน้ามาสบสายตากับเด็กน้อยที่เหลือบมองตนบ้าง ซึ่งก็เป็นไปตามคาดเพราะร่างบางหันหนีอย่างไว ช่างเป็นปฏิกิริยาตอบโต้ที่น่าขันเสียจริงๆ
“อยากพูดอะไรกับฉันหรือเปล่า” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นพร้อมอมยิ้มในหน้าหลังจากที่โอเมก้าหันหน้ากลับไปนั่งอมลมแสดงท่าทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ปะ เปล่าครับแค่จะขอบคุณ..” เสียงแผ่วเบาตอบอย่างอายๆ ไม่กล้ามองหน้าตรงๆ
“เธอขอบคุณไปแล้ว”
“อ๊ะ! งั้นขอโทษครับ..” ใบหน้าตื่นตระหนกเบิกตาขึ้นสู้หน้าชายที่นั่งข้างๆ อย่างจริงจังไม่หลบหลีก ก่อนจะกล่าวขอโทษจากใจแม้จะวาดรอยยิ้มเจื่อนให้ แล้วกลับไปนั่งขบปากทำตัวไม่ถูกเช่นเดิม
อัลฟ่าในชุดสูทยิ้มอย่างนึกเอ็นดูเด็กคนนี้เป็นพิเศษ อาจเพราะยูกิเพ้อฝันอยากมีน้องชายตัวเล็กๆ น่ารักน่าแกล้งให้หยอกเล่นบ้าง แต่ทว่าในความเป็นจริงกลับมีเพียงแฝดพี่หน้าตายที่บึ้งตึงใส่กันทุกครั้งที่เจอหน้า
“ไปยังไงมายังไงถึงได้มาอยู่ตรงนี้คนเดียว เพื่อนไปไหนหมด” หากจะไม่พูดอะไรต่อก็เกรงว่าร่างน้อยจะนั่งเหงาหงอยคนเดียว
เอาเป็นว่าในระหว่างที่กำลังรอรถคันใหม่ ยูกิจะนั่งคุยกับเด็กคนนี้แก้เหงาไปก่อนแล้วกัน
ใบหน้าใสแก้มติ่งมองตรงออกไปด้านนอกหันหาต้นเสียงก่อนดวงตาจะเริ่มหม่นสี “น้ำเพิ่งเลิกเรียนครับ แล้วฝนก็ตกพอดีเลยเข้ามาหลบฝนที่นี่”
ยูกิยิ้มอ่อนเมื่อเห็นความหมองในหน้าเด็กน้อยที่เพิ่งหัดโกหก “อย่างงั้นก็ไม่ได้โดนเพื่อนแกล้งสินะ”
“ไม่ได้โดนครับ..” ประโยคดังกล่าวเบาบางกระทั่งเสียงย่ำเท้าลงบนพื้นแฉะยังกลบมิด เพราะไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องนี้ กลัวคนอื่นจะเห็นตนเป็นคนอ่อนแอที่ไม่สามารถจัดการปัญหาเองได้ คอยแต่จะอ้าปากฟ้องคนอื่น
เสียงแผ่วเบาแทบหายไปกับอากาศเดินทางไปไม่ถึงโสตประสาทของอีกฝ่ายที่นั่งอยู่อีกฝั่งของม้านั่ง แต่กระนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าเข้าใจจากการใช้ทักษะการอ่านปาก
“ไม่แปลกหรอกที่เธอจะโดน” ว่าก่อนจะเขวี้ยงก้นบุหรี่สั้นออกไปด้านนอกหลังคาร้านให้หยาดฝนชำระล้างไฟที่ไหม้ลามบุหรี่จนมอด
“ทิ้งแบบนั้นไม่ดีนะครับ” หยดน้ำมองหน้าเจ้าของขยะอันตรายสลับกับก้นบุหรี่ที่นอนอาบฝนแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปว่าเสียงดุใส่อัลฟ่าที่ตนเพิ่งสั่นกลัวไปหมาดๆ
“ทิ้งที่ไหนกัน ฉันดับไฟของมันต่างหาก” ยูกิยกมุมปากหน้าตาเฉย
“แบบนั้นก็เรียกทิ้งอยู่ดี..” เด็กน้อยบู้ปากเถียงเสียงเบากลัวว่าจะโดนอีกฝ่ายดุหากเขาได้ยิน
ยามที่ทำหน้าตามู่ทู่ แก้มกลมก็พลอยย้วยย่นลงตามแรงเบ้ปากไหลมากองอยู่ที่เดียวกันเป็นก้อนจ้ำม่ำน่าบีบ ทำให้ชายผู้มากอายุกว่าลอบขันในลำคอเบาๆ อย่างเอ็นดู
เด็กหนอเด็กปิดบังความรู้สึกตัวเองไม่เก่งจริงๆ
“แล้วเมื่อกี้นี้ลุงจะพูดอะไรหรอจ๊ะ” ใบหน้านวลเงยขึ้นสบตาแล้วเอ่ยถามหลุดพูดจ๊ะจ๋าอย่างไม่รู้ตัว และเพราะไม่ทราบชื่อเสียงเรียงนามเด็กน้อยเลยกะประมาณอายุของคนข้างๆ เอาเอง
ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาเริ่มมีตอหนวดผุดขึ้นตามสันกราม ทั้งขอบตาดำเป็นเพื่อนแพนด้าที่อดหลับอดนอนจากการทำงาน และไหนจะตีนกาแลรอยย่นบริเวณหน้าผากและหางตาเล็กๆ น้อยๆ แทบมองไม่เห็นหากไม่สังเกต ทำให้หยดน้ำเสียมารยาทคิดเอาเองเลยว่า อายุอานามของคุณลุงอัลฟ่าคนนี้น่าจะปาไปหลักสามสิบปีเข้าไปแล้ว แม้ว่าความจริงจะแค่ 20 ปีปลายๆ เองก็ตาม
“ห๊ะ!? ละ ลุงหรอ!?” ดวงตาคมเหม่อมองปลายฝนอย่างเพลินจิตหันขวับมาหาเด็กน้อยอย่างตกใจคอแทบหักพร้อมขยับตัวเข้ามาใกล้ให้โอเมก้าเด็กสำรวจหน้าตนใหม่
หัวคิ้วขมวดหนาเมื่อคนข้างๆ ทำหน้างงต่อว่าตัวเองทำผิดอะไร ซึ่งนั่นยิ่งทำให้หยดน้ำเห็นรอยตีนกาของใบหน้าที่ขาดการบำรุงแล้วโหมงานหนัก เด็กน้อยยิ่งมั่นใจว่าตนไม่ได้พูดอะไรผิดไปแน่นอน
“หืม? คุณลุงมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ น้ำพูดผิดหรอ?” หน้าตาใสซื่อเอียงศีรษะถามคุณลุงที่มีใบหน้าแปลกไปอย่างฉงนทั้งที่ตนก็ไม่ได้พูดอะไรผิดไปนะ..
ยูกินิ่งค้างไปชั่วขณะพร้อมเกาศีรษะตัวเองไวๆ ไร้คำตอบ
นี่เขาทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำจนปล่อยปละละเลยให้ใบหน้าตัวเองย่ำแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ เจ้าเด็กตาใสแป๋วจึงได้ทักท้วงกันให้เจ็บช้ำใจขนาดนี้ จะให้ดุให้ด่าก็ไม่ได้เพราะขนาดที่ลองสัมผัสผิวหน้าตัวเองยังรู้สึกถึงความแห้งสากอยู่เลย
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มว่าพลางหลับตาถอนหายใจแล้วเซหน้าหนี
“งั้นลุงก็รีบพูดมาสิจ๊ะ ลุงพูดว่าอะไรนะ..อืม...” เรียวคิ้วสวยมุ่นเข้าหากันอย่างนึกไม่ออก ทำให้ชายที่โดนหาว่าแก่ผุดยิ้ม เผลอปัดความกังวลเกี่ยวกับผิวหน้าออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่แปลกที่เธอจะโดนแกล้ง”
“อ๊ะ! ใช่จ้ะ! มันหมายความว่าอะไรจ๊ะ? น้ำนิสัยไม่ดีจนสมควรโดนแกล้งหรอ..” ทั้งที่เมื่อครู่ตนเพิ่งตอบคุณลุงไปเองว่าไม่ได้โดนแกล้ง แต่มาบัดนี้ดวงตากลับหม่นสีลงอย่างทุกข์ใจ ทำให้อัลฟ่าต้องรีบเอ่ยแก้สถานการณ์
“ใช่ที่ไหนล่ะ ไม่มีใครสมควรโดนแกล้งหรอก ..เพียงแต่คนหน้าตาดีมักจะโดนแกล้ง”
“งั้นแปลว่าน้ำหน้าตาดีหรือจ๊ะ” ลำตัวบางหันมาคุยกับอัลฟ่าอย่างไม่หลบหลีกหรือหมุนไปทางอื่น
ยูกิพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนกายแขนหนาลงบนพนักพิงม้านั่งพร้อมเหยียดลำตัวแลเรียวขาอันใหญ่ยาวออกไปด้านหน้าอย่างสบายใจ
“น้ำก็หน้าตาดีเหมือนพี่เทียนหรอเนี่ย..” เด็กหนุ่มประกบมือสองข้างลงบนแก้มนุ่มดั่งก้อนซาลาเปาอย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะเมื่อส่องกระจกเห็นภาพสะท้อนของตัวเองคราใดก็ไม่เคยคิดว่าตนเองหน้าตาดีเลยสักครั้ง หยดน้ำคิดเสมอว่าหน้าตาตัวเองนั้นออกจะธรรมดาสามัญจะตายไป
แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ยูกิบอกเมื่อครู่เป็นเพียงคำโกหกปลอบใจเด็กเท่านั้น เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหน้าตาแต่ขึ้นอยู่กับสันดานคนต่างหาก
ครืน… รถหรูคันสีดำสนิทเคลื่อนเข้าจอดเลาะขอบถนนและดับเครื่องลง เมื่อเห็นเจ้านายที่ตนตามหานั่งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ
ชายชุดดำตัวใหญ่โตหรือที่เรียกกันว่าบอดี้การ์ดนายหนึ่ง รีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งฝ่าสายฝนพรำออกมาพร้อมร่มสีดำทึบในมือ ก่อนเขาจะหยุดนิ่งยืนไพล่พลางก้มศีรษะเคารพมือซ้ายของนายท่าน ในขณะที่อัลฟ่าคนนั้นกำลังนั่งเสวนากับเด็กหนุ่มโอเมก้าอย่างเพลิดเพลิน
หยดน้ำที่กำลังยิ้มเขินหันมองเห็นพี่ชายตัวโตพอดีจึงปิดปากชะงักกึก แล้วแสดงใบหน้าหวาดหวั่นทันที
“นายครับ” เสียงทุ้มเรียบเอ่ยขึ้นเพียงสั้นๆ เพื่อบอกให้เจ้านายรับรู้ว่าตนมาถึงแล้ว
ยูกิปรายตามองเพียงหางตาก่อนจะหันมาร่ำลาหยดน้ำเมื่อถึงเวลาที่ตนต้องไปแล้ว “ฉันต้องไปแล้วล่ะ” ว่าจบร่างสูงโปร่งก็ยันตัวลุกขึ้น
“จะกลับแล้วหรอจ๊ะ ฝนยังไม่หยุดเลย” น้ำเสียงเอื้อนเศร้าเมื่ออีกฝ่ายกล่าวร่ำลา เพราะยังอยากให้คุณลุงอยู่คุยต่อ จึงแอบหน่วงๆ ในใจ
ชายหนุ่มยกยิ้มอย่างเอ็นดูใบหน้าน้อยหม่นเศร้าเพียงเพราะกลัวเหงาไม่มีเพื่อนคุย “เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก”
เสียงทุ้มว่าจบก็หันหลังเดินออกจากตรงนั้นพร้อมลูกน้องที่ยกร่มกางให้
ใบหน้าน้อยหันตามแผ่นหลังของคนที่ไม่รู้จักชื่อไปอย่างเศร้าสร้อยเพราะยังไม่อยากจาก แต่ตัวเองก็ไม่มีอำนาจสั่งห้ามคุณลุงไว้ได้
“ละ แล้วเจอกันอีกนะครับ!” หยดน้ำพูดกึ่งตะโกนตะกุกตะกักไล่หลังคุณลุงไปทั้งที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกดั่งที่ว่า
เสียงใสไหวสั่นทำเขาหยุดชะงักจนลูกน้องที่เดินตามมาขมวดคิ้วแล้วถามว่ามีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่า? มีคนลอบทำร้ายหรือ?
ยูกิเงียบสนิทไม่อ้าปากตอบแต่กระชากร่มสีดำในมือลูกน้องแทน แล้วหันหลังเดินกลับมาหาคนที่นั่งสงสัยว่าคุณลุงกลับมาอีกทำไม
“เธอชื่ออะไร” แม้จะรู้คร่าวๆ แล้วว่าเด็กคนนี้ชื่อน้ำ จากการใช้เรียกตัวเองเวลาคุยกับตน แต่กระนั้นยูกิก็ถามเผื่อว่าเด็กหนุ่มมีชื่อเต็ม
ร่างบางเอียงศีรษะเล็กน้อย คิดว่าคุณลุงกลับมาเพื่อมาถามชื่อเขาแค่นี้หรือ? “หยดน้ำจ้ะ”
“หยดน้ำ.. งั้นหยดน้ำกลับบ้านดีๆ นะ” ไม่ว่าเปล่าเขายื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้ด้วยความหวังดีพร้อมรอยยิ้มหวานทิ้งท้าย
“ตอบแทนฉันด้วยการเก็บก้นบุหรี่ไปทิ้งแล้วกันนะ”
“ขอบคุณจ้ะ” สีแดงงอมผุดขึ้นบนใบหน้าก่อนเอื้อมหยิบร่มคันทึบในมือ ไม่ลืมคลี่ยิ้มสวยส่งคนที่ฝ่าสายฝนออกไป
เมื่อรถคันหรูเคลื่อนออกไปไกล หยดน้ำจึงกดสายตามองร่มคันเปียกในมือ นั่งนิ่งหยุดฟังเสียงก้อนเนื้อภายในเต้นกระหน่ำระบำไม่พักเพราะความรู้สึกที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนแล้วหุบยิ้มไม่ได้
“คุณลุงเท่จัง”
ผ่านไปไม่นานนัก สายฝนเอ่อแรงก็เริ่มซาลงหลงเหลือเพียงรั่วรินปริบปรอย หยดน้ำจึงใช้โอกาสนี้รีบกางร่มที่ได้มาแล้วเดินกลับบ้านพร้อมความรู้สึกเป็นกังวลอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเมื่อกลับถึงห้อง ตนจะบอกพี่ชายว่ายังไงดีเกี่ยวกับแผลที่ใบหน้าและเรื่องราวในวันวานที่พยายามหลีกเลี่ยง หยดน้ำคิดพลันแสดงใบหน้าอมทุกข์ออกมาอีกแล้ว
แกร๊ก.. เสียงเปิดประตูดังขึ้น ทำให้ร่างสันทัดที่ผุดลุกผุดนั่งกระวนกระวายมานานนับชั่วโมงรีบหันมองอย่างหน้าตื่นก่อนจะตบอกโล่งใจ เมื่อเห็นว่าน้องชายกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ได้มีอันตรายเช่นที่ตนพะวง
ร่างเล็กยิ้มเจื่อนกำร่มสีทึบในมืออย่างเลิ่กลั่ก เมื่อเห็นว่าพี่ชายกำลังเดินมาทางนี้
หยดน้ำไม่พลาดแน่เพราะสมองใสเตรียมประโยคโกหกไว้ตลอดการเดินทางกลับ แต่ก็ไม่รู้ว่าปากจะเล่าอย่างแนบเนียนหรือเปล่า เกรงว่าหากเผลอพูดตะกุกตะกักหรือพูดติดขัดเข้าแล้วโดนจับได้ขึ้นมา คงพาลเดือดร้อนกันไปใหญ่แน่ๆ
“เปียกหมดเลยเจ้าลูกหมา” หยดเทียนรีบเดินเข้าไปหาน้องชายที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ก่อนส่งมือชอนไชผมเปียกและลูบไล้ผิวเปียก
“น้ำติดฝนน่ะจ้ะเลยกลับช้า” หยดน้ำหลับตาหยีให้พี่ชายลูบผมลูบหน้าราวกับลูกหมาโดนเจ้าของจับผ้าซับตัว
หยดเทียนยังคงลูบมือไปมาพลางสำรวจร่างกาย เขาเกือบจะละมือปล่อยให้น้องชายไปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้าแล้ว หากดวงตาเฉียบคมมองไม่เห็นรอยขาดริ้วที่แขนเสื้อและบริเวณชายเสื้อนักเรียนเสียก่อน ทั้งยังเมื่อเพ่งตามองดีๆ ก็เห็นว่าที่หน้าผากมีแผลและกาวจากปลาสเตอร์ที่ถูกดึงออก สิ่งผิดปกติเหล่านี้ทำให้หยดเทียนขมวดคิ้วเกิดความสงสัย เกรงว่าน้องชายจะโดนกลั่นแกล้ง
“ไปโดนอะไรมา” เสียงนุ่มเคล้าเข้มดุเอ่ยถามทำให้ผู้ตอบสายตาเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก
“..น้ำไปช่วยงานตัดกระดาษครูมาจ้ะ ละ แล้วเผลอตัดเสื้อตัวเองไปด้วย ส่วนแผลที่หน้าผาก..เพราะน้ำรีบวิ่งหลบฝนเลยลื่นล้มน่ะจ้ะ” มือนุ่มกำร่มในมือแทบจะบี้แบน ริมฝีปากล่างถูกคมเขี้ยวขบกัดตามนิสัยเมื่อโดนสิ่งใดสิ่งหนึ่งกดดันเข้ามากๆ เขี้ยวแหลมก็มักจะทำหน้าที่นี้เป็นประจำ
“งั้นน้ำรีบอาบน้ำเถอะเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา เสร็จแล้วเรามาทานข้าวกัน” แม้ไม่หายสงสัยแต่จะปล่อยให้น้องชายอยู่ในสภาพนี้นานๆ ไม่ได้
“ได้จ้ะ!” รอยยิ้มเผยออกมาแทนสีหน้ากังวลเมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ เพราะตนเองก็ไม่ได้อยากโกหกพี่ชายไปมากกว่านี้เหมือนกัน
ร่างเตี้ยเดินเตาะแตะเข้าห้องพร้อมกับถือร่มสีทึบไม่ปล่อยมือ หวังจะนำไปผึ่งตากไว้หลังระเบียงห้องของตัวเอง
สายตากังวลหันมองแผ่นหลังเล็กอย่างไม่สบายใจ เกรงว่าน้องชายจะมีเรื่องทุกข์ร้อนในใจแล้วเก็บไว้กับตัวเองไม่ยอมบอกให้เขารู้ เห็นทีว่าต่อจากนี้ต้องจับเข่ามานั่งถามอย่างจริงจังเสียแล้ว