ร่างเพรียวในชุดสูทสีเทาอ่อนนั่งหน้าบูดบึ้ง ถอนหายใจถี่ด้วยความอึดอัดเพราะไม่เคยใส่ชุดสูทเนื้อดี ผูกเนกไทติดคอแบบนี้ มันทั้งร้อนทั้งหายใจลำบากจนเบต้าอยู่ไม่เป็นสุข
“อยู่นิ่งๆ หน่อย ขยับไปขยับมาไม่เหนื่อยหรือไง” เสียงทุ้มดุคนที่นั่งข้างๆ พร้อมเหลือบสายตามามอง
“ก็มันอึดอัดนี่ครับ คนรวยเขาชอบทรมานตัวเองแบบนี้กันทุกคนเลยหรือเปล่าครับ” ว่าพร้อมขยับเนกไทลงพอให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น ช่วงขาสั้นเหยียดตรงพร้อมนั่งค้อมหลังตามที่สบายตัว จนนายท่านหันมาเห็นเข้าก็เปล่งเสียงดุทันที
“จะขยับมันทำไมอีกไม่นานก็จะถึงงานแล้ว ทนให้ได้เหมือนที่โดนทำร้ายหน่อยสิ”
“นายท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ ขาดออกซิเจนตายเร็วกว่าโดนกระทืบอีกครับ” เบต้าว่าอย่างไม่สนใจ
เอย์จิส่ายหน้าหน่ายก่อนจะเอื้อมสองมือหนาจับไหล่แคบทั้งสองข้างหันมาหาตน “อยู่นิ่งๆ ห้ามขยับ”
“ผมทำเองได้-”
“ปากน่ะ หัดอยู่เงียบๆ บ้าง เดี๋ยวบ่นนู้นบ่นนี่เหมือนคนแก่ ไม่เหนื่อยบ้างหรือไง” ปากก็ว่า มือก็ขยับจัดเนกไทและปกเสื้อให้เข้าที่เข้าทาง ราวกับพ่อกำลังเช็กเสื้อผ้าหน้าผมให้ลูกชายที่กำลังออกจากบ้านไปโรงเรียน
หยดเทียนกลอกตามองบน ศีรษะก็พยักหงึกหงักทำทีเข้าใจ แต่เอย์จิรู้ดีว่ามันคือท่าทางประชดประชัน ทว่ากลับแค่ถอนหายใจแล้วปล่อยผ่าน
เมื่อมาถึงงานร่างสูงสันทัดหน้าซีดเผือดเดินตามหลังเจ้านายไปต้อยๆ ด้วยความประหม่าจนขาสั่นผิดกับท่าทางห้าวเป้งเมื่อครู่ลิบลับ ก้าวขาสั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปหลบอยู่แผ่นหลังกว้างของเอย์จิ เจ้าของชุดสูทสีน้ำเงินเข้มขับผิวขาวสว่าง เดินกระจายออร่าเข้าไปในงานด้วยความมั่นใจ
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ยังไงคนพวกนั้นก็สนใจแค่ท่านประธานเท่านั้น รับรองว่าจะไม่มีใครมายุ่มย่ามกับคุณแน่นอน” ยูกิเจ้าของรอยยิ้มพราวเสน่ห์ ดำรงตำแหน่งมือซ้ายคนสนิทของเอย์จิ ผู้ดูแลธุรกิจทุกประเภทที่อยู่ในการครอบครองของทายาทตระกูลอิวามุโระ และครองตำแหน่งรองประธานบริษัทอีนิกซ์ เขาเข้าร่วมงานนี้ในฐานะตัวแทนบริษัทส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ยูกิรับผิดชอบ
“..ครับ” ร่างเล็กกว่าพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มเจื่อนให้ หยดเทียนรู้อยู่แล้วว่าคงไม่มีนักข่าวคนไหนหันกล้องมาสนใจคนไร้ราศีอย่างเขาหรอก แต่กระนั้นกลับอดตื่นเต้นจนหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมงานในฐานะแขกคนหนึ่ง ไม่ใช่บริกรรับจ๊อบชั่วคราว
ทันทีที่สองหนุ่มอัลฟ่าร่างสูง หน้าตาหล่อเหลาโดดเด่นเดินเข้าไปในงาน สายตาของเหล่าผู้ลากมากดีและนักข่าวมากมายต่างจับจ้องมา ณ ที่เดียวกันโดยมิต้องนัดหมาย ทำให้หยดเทียนผู้ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างชายตัวสูงทั้งสองคนตัวเล็กลี๊บลีบเป็นก้างปลาตัวนิดเดียว
ใบหน้าซีดเผือดของผู้ช่วยฝืนยิ้มเจื่อนจนน่าตลก ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองทนยืนอยู่ในสถานการณ์อึดอัดเช่นนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว จึงค่อยๆ ขยับตัวอันลีบแบนเข้ามาหลบอยู่ด้านหลังของเจ้านายเช่นเดิม
‘สว่างปานกลางวันขนาดนี้ยังใช้แฟลชอีก แสบตาฉิบหาย’ หยดเทียนคิดในใจพร้อมยกมือขยี้ตาจนน้ำตาเล็ด
“ไม่ต้องกลัว เทียนไม่ต้องทำอะไรแค่อย่าห่างจากฉันก็พอ” ร่างหนาเจ้าของที่กำบังเอ่ยบอกร่างเล็กเบาๆ ในขณะที่ใบหน้ายังคงจดจ้องกล้องของนักข่าวอยู่
ประโยคปลอบใจแผ่ซ่านความอุ่นเข้ามาในอก หยดเทียนเงยหน้ามองเจ้านายที่เห็นเพียงท้ายทอยแล้วกระซิบขอบคุณเบาๆ
ยืนอวดความหล่อหน้ากล้องได้ไม่นาน เอย์จิก็พาหยดเทียนเดินเข้ามาหลบอยู่มุมมุมหนึ่งของห้องโถง เพื่อหวังให้ลูกน้องได้พักหายใจหายคอบ้าง ส่วนยูกิมือซ้ายเจ้าสำราญก็เดินหายไปในฝูงชน เพื่อหาโอเมก้าชนแก้วตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้
“นายท่านทนกับสายตาพวกนั้นได้ยังไงครับ ขนาดผมที่หลบอยู่ด้านหลังยังอึดอัดแทบตายเลย หันมานี่หน่อยครับคุณเอย์จิ! หันมาทางนี่สิครับ!” เขาว่าพลางขยับเนกไทที่คอให้อากาศถ่ายเทร่างกายมากขึ้น แล้วสำแดงฤทธิ์ของคนพูดมากล้อเลียนเสียงของพวกนักข่าว
เอย์จิยิ้มขำก่อนจะตอบ “ฉันก็รู้สึกเหมือนเทียนนั่นแหละ แต่ฉันโตแล้วเลยต้องอดทน”
“นายท่านว่าผมยังเป็นเด็กหรอครับ” เรียวคิ้วขมวดเล็กน้อยพร้อมเงยหน้ามุ่ยแก้มพองอย่างแฮมสเตอร์ขี้เหวี่ยงขึ้นสบตากับเจ้านาย
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย”
“ก็เห็นๆ อยู่ว่านายท่านหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ”
เอย์จิยกมือครอบปากก่อนเสียงหัวเราะจะดังออกมาเบาๆ ทำให้แฮมสเตอร์หน้ามึนท้วงขึ้น “หัวเราะอะไรครับ”
“หัวเราะแฮมสเตอร์แก้มพอง”
“แก้มพองที่ไหนครับ ซูบอย่างกับคนไม่มีจะแด- ผมหมายถึงไม่มีจะกินอยู่แล้ว” ใบหน้าบึ้งตึงใส่เจ้านายพร้อมแย้งด้วยเสียงเบาเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา
“ยิ่งโกรธก็ยิ่งเหมือน” ชายหนุ่มยิ้มไม่หุบและไม่ถือสาคำหลุดปาก เพราะกำลังสนใจแก้มใสที่ยิ่งแกล้งยิ่งล้อมากเท่าไหร่ ก็เหมือนว่ามันยิ่งจะพองขึ้นๆ มากไปเท่านั้น
แต่ในขณะที่กำลังหยอกเย้าเจ้าหนูเตี้ยอย่างสำราญก็ดันมีคนเข้ามาขัดบรรยากาศเสียก่อน
“สวัสดีครับคุณเอย์จิ” เสียงทุ้มแหบของชายวัยใกล้ชราดังทักทายอัลฟ่าร่างสูงที่ยืนหันหลังให้ เอย์จิขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะมีคนมาขัดอารมณ์ขัน แต่กระนั้นก็รู้จักและจดจำน้ำเสียงได้เป็นอย่างดีว่า เจ้าของเสียงนั้นคือใคร จึงจำเป็นต้องหันมาทักทายกลับตามมารยาท
“สวัสดีครับคุณวิศนัย” ว่าพร้อมสร้างรอยยิ้มเสแสร้งให้ชายเจ้าของงานเลี้ยง
“แหม ผมนึกว่าคุณจะไม่มาตามคำเชิญเสียอีก” เขาเอ่ยปนขำ
“ต้องมาสิครับ งานเลี้ยงฉลองของคุณวิศนัยทั้งที” เจ้าของงานยิ้มหน้าบานก่อนจะกล่าวขอบคุณไป
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นไม่ติดขัด แม้ประโยคเกินครึ่งของการสนทนาจะค่อนไปทางยกยอตัวเองให้แขกในงานฟังก็ตาม แต่กระนั้นเอย์จิก็รับมือได้เป็นอย่างดี
จนกระทั่งสองสามีภรรยาและลูกชายคนเล็ก ตั้งท่ามาแต่ไกลว่าจะเดินเข้ามาร่วมวงสนทนาของเจ้าของงานและนายท่านบ้านสกุลวัฒนา หยดเทียนผู้เป็นนกเหยี่ยวตาไวสังเกตเห็นคนคุ้นเคยก่อนใครก็รีบหาทางหลบหน้า
เขารีบสะกิดชายสูทของเจ้านายแล้วกวักมือไวๆ สื่อให้เจ้านายก้มตัวลงมา เอย์จิจึงเอียงศีรษะทำตามอย่างไม่คิดแล้วตั้งใจฟังประโยคที่ร่างเล็กพูด
“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
“รู้ใช่ไหมว่าห้องน้ำไปทางไหน”
ผู้ถามยิ้มแหยพลางส่ายหน้า
“เดี๋ยวฉันพาไป”
“ไม่เป็นไรครับ นายท่านคุยกับคุณๆ พวกนี้เถอะครับ ผมไปเองได้” เขาว่าด้วยแววตามั่นใจเพราะอยากออกจากที่นี่ให้ไวก่อนที่คนพวกนั้นจะเดินมาถึง
“เดินตรงไปสุดทางแล้วเลี้ยวซ้าย รีบไปรับกลับมา” เอย์จิว่าด้วยความเป็นห่วง
“ครับ”
สิ้นเสียงตอบรับ เบต้าก็สาวฝีเท้าเร่งปลีกตัวไปทันทีซึ่งประจวบเหมาะกับที่ธนา เอมอรและภีมผู้เป็นลูกชายเดินมาถึงพอดี
ปรายตาของอัลฟ่าวัยกลางคนที่เดินมาถึงวงสนทนาเห็นร่างของแขกที่เพิ่งเดินออกไปปราดเดียว รูปร่างและส่วนสูงคล้ายกับคนรู้จักแต่เพราะเห็นเพียงด้านหลังอย่างฉิวเฉียดจึงไม่แน่ใจ
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ คนที่ใช้แรงงานแลกข้าวเช่นนั้นจะมายืนอยู่ในสถานที่ที่มีระดับเช่นเดียวกับเขาได้ยังไงกัน ธนาส่ายหน้าแล้วปัดความคิดดังกล่าวตกไปแล้วหันไปทักทายวิศนัยและเอย์จิแทน
เสียงดนตรีสากลเสนาะหูบรรเลงเคล้ากับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนที่เกาะกลุ่มกันเสวนา ไม่ว่าสายตากลัดกลุ้มจะเหลียวมองไปทางไหน ก็ล้วนแต่โดนออร่าของเครื่องประดับที่แต่งแต้มบนร่างกายแยงตา จนต้องเบนสายตาไปทางอื่น
เสียงถอนหายใจพร้อมแผ่นหลังบางเอนจรดกำแพงห้องในมุมอับมุมหนึ่ง ที่ผู้คนไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก เพราะนักสังคมที่มาร่วมงานสังสรรค์ มีจุดประสงค์เดียวกันคือการพบปะพูดคุยกัน จึงไม่มีใครทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ แสงสีและสนใจมุมห้องอันสลัวเท่าไหร่ จึงเป็นพื้นที่เหมาะแก่การหยุดพักหายใจให้โล่งปอด
แต่เหตุผลหลักของหยดเทียนไม่ใช่การหลบมาพักผ่อน แต่เขาปลีกตัวออกมาเพื่อหนีหน้าครอบครัวอดีตบิดา เพราะไม่อยากทะเลาะเบาะแว้งกันในงานให้เจ้านายอับอาย
หยดเทียนยืนก้มหน้าหลุบตามองรองเท้าที่นายท่านซื้อให้ ถอนหายใจแล้ว ถอนหายใจเล่าจนเวลาล่วงเลยไปจนเกือบครึ่งชั่วโมง ร่างเล็กก็ยังไม่มีท่าว่าจะไม่หยุดถอนหายใจ จนไปสะดุดตาอัลฟ่าคนหนึ่งเข้า ชายหนุ่มสังเกตใบหน้าและทีท่าของแขกที่ยืนหงอยอยู่นานจนมั่นใจว่า แขกคนนั้นคือคนที่ตนรู้จักแน่นอน จึงตัดสินใจเดินเข้ามาทักทาย
“หยดเทียนใช่ไหมครับ?” อัลฟ่าร่างสูงเดินเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับเสียงทักทายนุ่มทุ้ม ทำให้คนที่มีแต่ความเบื่อหน่าย เงยคอขึ้นมาตามเสียงเรียก
เบต้าเอียงศีรษะจ้องมองชายตรงหน้าตาปริบๆ คลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าชายคนนี้คือคนที่เคยรู้จักกัน แต่ทว่ากลับนึกไม่ออก
“พี่ภาม? ..หรือครับ” เสียงเปล่งออกมาอย่างไม่เต็มเพราะไม่มั่นใจว่าคนคนนี้ใช่คนเดียวกับที่เขาคิดหรือเปล่า
“นึกว่าจะจำพี่ไม่ได้ซะอีก” ภามเอ่ยพร้อมกับวาดยิ้มบนหน้า
“พี่ภามจริงๆ ด้วย” ร่างเตี้ยกว่ายิ้มตอบเมื่อเจอคนรู้จักในงาน ภามคือรุ่นพี่ที่รู้จักกันตอนเขาเข้าเรียนมหาลัย แต่หลังจากที่หยดเทียนลาออกมาทำงาน พวกเขาก็ขาดการติดต่อกันไปตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
“เป็นไงมาไงถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้เนี่ย”
“ผมมากับเจ้านายน่ะพี่ อย่างผมนะหรอจะชอบงานแบบนี้” เบต้ายิ้มแหย
“ยังเหมือนเดิมเลยนะ เมื่อก่อนพี่ก็ลากเราเข้ากิจกรรมประจำ มาตอนนี้ยังมีคนลากมาอีก”
“ก็มันวุ่นวายนี่ครับ ผมไม่ชอบ”
รอยยิ้มบนหน้าของภามบ่งบอกถึงความดีใจอย่างเห็นได้ชัด นานมาแล้วที่เขาไม่ได้ยิ้มอย่างเต็มปากกระทั่งมาเจอกับรุ่นน้องคนนี้
แม้ที่ผ่านมาภามอยากเจออยากมาหาแต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะความขัดแย้งภายในบ้านระหว่างภรรยาหลวงที่เป็นมารดาตน และภรรยาน้อยผู้เป็นมารดาของหยดเทียน ที่ยังเรื้อรังกันมานานนับสิบปี จึงเป็นเส้นกั้นทำให้เขาทั้งสองคนเจอกันได้ลำบาก
“แล้วช่วงนี้เราพอมีเวลาว่างไหม พี่ว่าจะชวนไปกินข้าว รื้อฟื้นความหลังกันหน่อย”
“ไปกินที่ไหนอะ ถ้าบ้านพี่ผมเข้าไปไม่ได้นา” คนอายุน้อยกว่าประชดหยอก แต่กระนั้นประโยคที่กล่าวออกมาล้วนเป็นความจริงทั้งหมด
“ใช่ที่ไหนล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มหม่นหนักใจ เพราะรู้ว่าถ้าพารุ่นน้องเหยียบเข้าบ้านเมื่อไหร่ มารดาคงจัดเวทีโต้คารมชุดใหญ่กับรุ่นน้องแน่นอน
และใช่แล้วภามคือลูกคนโตของเอมอรภรรยาหลวงของธนา มีศักดิ์เป็นพี่ชายที่นิสัยต่างกันสุดขั้วของภีม เขาเป็นลูกติดที่เกิดจากสามีเก่าของเอมอรต่างจากน้องชายที่เป็นลูกแท้ๆ อันเกิดจากพ่อเลี้ยงและมารดา
หลังจากหย่าร้างกับสามีเก่าได้ไม่นาน เธอก็ลงเอยกับธนาเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ ทว่าเมื่ออยู่ด้วยกันไปนานวันเข้าพวกเขาก็ตกหลุมรักกัน และเอมอรจึงวางใจพาภามมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
มีพ่อมีแม่และมีลูก
แต่กระนั้นภามกลับมีนิสัยตรงกันข้ามกับครอบครัว แม้จะไม่ได้เป็นคนดีเต็มร้อยแต่ก็ไม่เหยียดหยามหรือดูถูกคนอื่นเช่นที่ครอบครัวทำ
“แล้วตกลงเราว่างวันไหน พี่จะไปรับถึงที่เลย”
“อืม…ไม่รู้สิพี่ เจ้านายผมยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถึงจะเป็นวันหยุดก็คงยาก” หยดเทียนว่าด้วยความรู้สึกผิดที่โกหกรุ่นพี่ เพราะไม่ใช่ความเอาแน่เอานอนของเจ้านายไม่ได้ดังที่พูด แต่เพราะเขาไม่อยากเข้าใกล้ครอบครัวของธนาต่างหาก อย่างน้อยก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะและอยากต่างคนต่างอยู่มากกว่า จึงต้องพยายามเอาตัวออกห่างคนในครอบครัวนี้ทุกครั้งเท่าที่จะทำได้
“งั้นไม่เป็นไร เอานี่! เบอร์พี่ ว่างเมื่อไหร่โทรบอกพี่นะ” ภามว่าพลางล้วงเอานามบัตรในกระเป๋าเสื้อสูทด้านในแล้วถือวิสาสะยัดมันใส่ในมือของรุ่นน้องอย่างรวดเร็ว
“อา.. ครับ” หยดเทียนยิ้มเจื่อนแล้วเก็บนามบัตรไว้ในกระเป๋ากางเกงและหันมาสนทนากับรุ่นพี่ต่อ