เสียงซู่ซ่าของน้ำมันร้อนยามต้องกับวัตถุดิบหลายชนิดที่ถูกใส่รวมกันเข้าไปในกระทะ คว้าตวัดตะหลิวในมือคนให้เข้ากันอย่างชำนาญ ก่อนที่อาโอะผู้รับบทเป็นพ่อครัวในเช้านี้จะพักอาหารที่อยู่ในกระทะไว้ แล้วเอื้อมมือเปิดฝาหม้อเพื่อเช็กดูข้าวต้มกุ้งว่าสุกได้ที่หรือยัง
ไอความร้อนหอบความหอมลอยคลุ้งส่งกลิ่นกรุ่นชวนน้ำลายส่อไปทั่วทั้งห้องครัว ขนาดที่พ่อบ้านผู้เชี่ยวชาญงานครัวยังชมฝีมือของโอเมก้าหนุ่มอย่างไม่ขาดปาก
“หืม~ หอมจัง” ร่างสูงสันทัดผิวสีน้ำผึ้งที่เพิ่งเดินมาถึงประตูหลังห้องครัว ยังไม่ทันที่จะเปิดประตูเข้าไปด้วยซ้ำ กลิ่นหอมของอาหารยามเช้าก็ลอยตามลมมาต้องจมูกจนท้องร้องโครกคราก
เบต้าลูบท้องที่ส่งเสียงครวญครางไวๆ ซึ่งผิดปกติของคนไม่กินอาหารเช้า เขาเม้มปากสงสัยว่าอาหารด้านในจะเป็นอะไรทำไมส่งกลิ่นฟุ้งทั่วแบบนี้ จึงรีบเปิดประตูเข้าไปอย่างไวอย่างที่ทำเป็นประจำ
“พ่อบ้านทำอะไรหรอ-” เสียงใสขาดห้วงเมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วกลับพบว่าโอเมก้าหนุ่มที่ตนเพิ่งเจอเมื่อวานนี้กำลังยืนคล้องผ้ากันเปื้อนคนข้าวต้มอยู่ หาใช่พ่อบ้านที่ยืนทำความสะอาดจานอยู่ด้านหลังไม่ หยดเทียนตาตื่นเพราะตนทำตัวเสียมารยาทพรวดพราดเข้ามา แต่กระนั้นอาโอะกลับไม่ได้ใส่ใจแล้วเอี้ยวหน้ามาทักทายยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตร
“สวัสดีครับ”
“สะ สวัสดีครับ” หยดเทียนตอบตะกุกตะกักแล้วรีบวิ่งไปหาพ่อบ้าน ก่อนจะกระซิบถามเสียงเบา
“คุณคนนั้นเป็นใครหรือครับ”
ฮันยิ้มบางกับคำถามที่ได้ยิน ขณะสายตายังคงจดจ้องผ้าในมือที่บรรจงเช็ดจานให้แห้งอยู่อย่างระมัดระวัง “คุณอาโอะเป็นเพื่อนของนายท่านครับ”
เบต้าพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมตวัดสายตามองคนที่ยืนหันหลังทำอาหารให้อย่างไม่วางตา
นิ้วเรียวกดปิดเตาแม่เหล็กไฟฟ้า อาโอะถกแขนเสื้อขึ้นเผยผิวขาวเนียน แล้วหยิบถุงมือกันความร้อนขึ้นมาใส่ จากนั้นจึงยกหม้อข้าวต้มหมูสับมาวางไว้บนผ้ารองก้นหม้อที่พ่อบ้านเตรียมไว้ให้บนโต๊ะ
“ช่วยเอาไปให้คุณอาโอะทีครับ” หยดเทียนผงกหัวรับคำสั่งก่อนจะหยิบถ้วยใบสีขาวพร้อมจานรองก้นนำไปให้โอเมก้าร่างเพรียวด้วยท่าทีประหม่า
เบต้าผู้ได้รับคำสั่งถือชุดถ้วยจานในมือแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ซึ่งอีกฝั่งหนึ่งมีเพื่อนของเจ้านายยืนถอดถุงมืออยู่ เขาไม่รู้จะสรรหาประโยคใดมาเอ่ยทักจึงได้แต่ยืนปากแข็งถือถ้วยในมือ กระทั่งอาโอะที่ปรายตาเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเงยหน้ายิ้มให้อีกครั้งพร้อมกับกล่าวบอก
“วางไว้บนโต๊ะเลยครับ” เสียงหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ
“เมื่อวานนี้เราเจอกันแล้วใช่ไหมครับ” ในขณะที่เอ่ยถามสายตาก็ยังคงจดจ่ออยู่กับการตักข้าวต้มลงบนถ้วยที่คนสวนเตรียมมาให้
“ครับ นึกว่าคุณจะจำผมไม่ได้ซะอีก” ว่าพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคุณอาโอะจะจำหน้าคนใช้อย่างเขาได้ด้วย
“ได้สิครับ ขอโทษนะครับที่ไม่ได้ทักทาย”
“มะ ไม่เป็นไรเลยครับ ผมเป็นแค่คนใช้ ไม่ได้สำคัญขนาดต้องให้เจ้านายมาขอโทษหรอกครับ” คำขอโทษคุณอาโอะทำให้หยดเทียนมีท่าทีกระโตกกระตากยกมือขึ้นโบกปัดป่ายเชิงว่าไม่เป็นไร จนอาโอะยิ้มขำ
“ฉันไม่ใช่เจ้านายเทียนเสียหน่อย”
“หืม? รู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ”
“ฉันถามเอย์จิมาน่ะ แล้ว...เทียนเป็นคนสวนของที่นี่ใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“เก่งจังเลยเนอะ สวนในบ้านนี้ออกจะใหญ่โตขนาดนี้ เทียนยังดูแลมันได้ด้วยตัวคนเดียว”
หยดเทียนยิ้มตาหยีเมื่อมีคนชม “ผมไม่ได้เก่งอะไรหรอกครับ บางครั้งก็ต้องให้คนอื่นมาช่วยเหมือนกัน”
“แต่ยังไงเทียนก็เก่งอยู่ดี” ร่างสีผึ้งไม่ได้ตอบกลับอะไรเพียงแต่ยิ้มเขินให้ด้วยความเกรงใจเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้ก็เข้ามายกถ้วยข้าวต้มและอาหารจานอื่นๆ ไปตั้งโต๊ะรอนายท่านของคฤหาสน์ลงมารับประทานอาหารเช้า พวกเขาจึงได้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง
หยดเทียนเดินแกว่งแขนอารมณ์ดีเข้ามาในสวนพร้อมกับคิดในหัวว่า เมื่อรดน้ำต้นไม้เสร็จแล้ว จะทำอะไรต่อดี ทว่าเมื่อเดินผ่านตัวอาคารบ้านที่บดบังสวนหลังบ้านไว้ สายตาไวก็ดันเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ เด็ดดอกไม้ที่ยังโตไม่เต็มที่ขึ้นมาสูดดมกลิ่นแล้วยิ้มตาหุบ
“คุณทำอะไรน่ะครับ” เบต้าว่าพลางกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปดูดอกไม้ที่ตนปลูก
จุนนำดอกไม้ขึ้นทัดหูแล้วยิ้มจนตาปิด ก่อนจะหุบยิ้มเพราะมีเสียงใครบางคนดังขัดมาจากด้านหลัง
คนสวนร้องอ๋อในใจ เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กคนนี้ชัดๆ เขาคือคนที่ทำตาเขียวหน้ายักษ์ใส่ตนตั้งแต่วันแรกที่พบกันนี่เอง
“ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังนั่งดูดอกไม้อยู่”
“แล้วบนหูล่ะครับ”
โอเมก้าน้อยชะงักชั่วครู่เมื่อตนแอบเด็ดดอกไม้จากต้นโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าของสวนก่อน เขารีบหยิบดอกไม้สีชมพูอ่อนออกจากก้านหูแล้วนำมาถือไว้ไม่ปล่อย ก่อนจะกลับมาแสดงท่าทางทะนงตัวเช่นเดิม
“ก็ดอกไม้ไง ทำไม? ก็ฉันชอบมันหนิ”
“แต่มันยังไม่โตเต็มที่เลยนะครับ เพิ่งจะออกดอกเมื่อไม่กี่วันนี่เอง”
โอเมก้าหนุ่มเบะปากพลางหยักไหล่ขึ้นเบาๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สา “แล้วยังไง จะเด็ดตอนนี้หรือตอนไหน ยังไงมันก็โดนฉันเด็ดอยู่ดีนั่นแหละ จะหวงทำไม..เธอไม่ใช่เจ้าของสวนซะหน่อย”
‘เอ้า! ไอ้เด็กคนนี้หนิ!’ เขาอุทานในใจเมื่อเห็นท่าทางถือตัวของจุน เห็นทีเรื่องเช่นนี้และคนแบบนี้จะวนเวียนเข้ามาในชีวิตเขาบ่อยเกินไปแล้วนะ
“แต่ผมมีหน้าที่ดูแลดอกไม้ดอกนี้รวมถึงดอกไม้ทุกดอกในบ้านหลังนี้ครับ ถึงจะเด็ดได้แต่ควรรอให้บานสวยกว่านี้จะดีกว่ามากเลยครับ อีกอย่างนะครับ นายท่านชอบดอกไม้พันธุ์นี้มาก ท่านสั่งว่าเมื่อมันบานเต็มที่แล้วให้เก็บไว้ปักแจกัน แต่คุณก็ดันมาเด็ดมันไปซะก่อน และที่สำคัญสิ่งของทุกอย่างมีเจ้าของควรขอก่อนจะเอาไปนะครับ”
อันที่จริงก็ไม่เชิงว่าเขาหวงดอกไม้ไว้ปักแจกันให้เจ้านายซะทีเดียวหรอก เพียงแต่เขาเฝ้าดูแลประคบประหงมมันมานาน จึงหวังเพียงได้มีโอกาสเห็นมันออกดอกบานสะพรั่งละลานตาก็เท่านั้น ถึงแม้จะไม่สามารถเด็ดนำมาเป็นเจ้าของได้ก็เถอะ
แต่ช่างน่าเสียดายนักที่ดอกไม้ดอกแรกของสวน ดันโดนโฉบเอาความงามไปตั้งแต่ผีเสื้อยังไม่ได้ตอม
ใบหน้าอวดดีอ่อนลงเมื่อได้ยินว่า ดอกไม้ดอกนี้คือสิ่งที่ชายเสมือนพี่ชื่นชอบและต้องการมัน เขารู้สึกผิดขึ้นมาด้วยความเกรงใจคละเกรงกลัว แม้จะไม่เคยโดนตวาดหรือโดนทำหน้ายักษ์ใส่ แต่จุนก็รู้ดีว่าเอย์จิหวงของมากแต่ไหนกระทั่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่เว้น แต่กระนั้นก็คงไม่ใจไม้ไส้ระกำถึงขั้นต่อว่าน้องชาย เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอกกระมัง
เด็กหนุ่มสองจิตสองใจทว่าเพราะไม่อยากเสียหน้าจึงถือดีอวดท่าทีต่อ
“ละ แล้วยังไง ถ้ากลัวโดนพี่เอย์จิต่อว่านัก ฉันจะไปบอกพี่เขาให้ก็ได้ ไม่เห็นต้องโวยวายเลยกับอีแค่ดอกไม้ดอกเดียว”
หยดเทียนถอนหายใจหน่ายที่ต้องยืนต่อล้อต่อเถียงกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เขาจึงพูดปัดๆ ไป
“ช่างเถอะครับ ยังไงคุณก็ยังเด็กแล้วก็ไม่รู้กฎในบ้านหลังนี้ เอาเป็นว่าผมจะบอกนายท่านให้ก็แล้วกันครับ” คนอายุมากกว่าว่าจบแล้วเดินไปเปิดก๊อกน้ำและหยิบสายยางขึ้นมารดน้ำต้นไม้และดอกไม้ตามหน้าที่
“นะ นี่!” จุนฉุนเฉียวขึ้นมาทันควัน เมื่อมีคนมาว่าตนยังเป็นเด็กแล้วเดินหนีไปหน้าตาเฉย เขาไม่ใช่เด็กแล้วนะ!! อายุ 18 แล้ว!!
“หลบจากตรงนั้นด้วยครับถ้าไม่อยากเปียก” คนสวนว่าแล้วหันไปสนใจพืชพันธุ์ตวัดสายยางรดน้ำต่อ โดยไม่แลสนใจเด็กหนุ่มที่ยืนขบริมฝีปากล่างอย่างโมโห
“ฉันฟ้องพี่เอย์จิแน่! ละ แล้วฉันไม่ใช่เด็กนะ!” จุนที่ทั้งโกรธทั้งไม่พอใจเบต้าที่อายุมากกว่า แต่ก็ทำอะไรคนสวนคนนั้นไม่ได้ จึงตะโกนต่อว่าอย่างเด็กน้อยแล้วเดินตึงตังเข้าบ้านไป
หยดเทียนถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าไปด้วย “คนที่โดนตามใจมาตั้งแต่เด็กนี่น่ากลัวจริงๆ”
ตะวันสายบ่ายคล้อย คนงานที่นั่งรับประทานอาหารเสร็จจนเริ่มย่อย ต่างแยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่ของใครของมันต่อ เช่นเดียวกับหยดเทียนที่ยืนขาแข็งตัดกิ่งไม้ที่ชี้โผล่พ้นออกมานอกพุ่มกลม ทำให้ดูไม่สวยงาม คนสวนเช่นเขาจึงต้องรีบจัดการ
“ฉับ! ฉับ! ฉับ!” เสียงของมีคมตัดกิ่งไม้ดังคละกับเสียงลมอ่อนที่พัดไว มือสากจับขากรรไกรอย่างละข้าง แล้วขยับเข้าออกตามจังหวะทั่วทั้งพุ่มไม้ที่สูงเลยเอว แต่ในขณะที่สองฝ่ามือกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น สองดวงตาและสองใบหูก็ทำหน้าที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือการคอยเงี่ยฟังสิ่งที่เจ้านายและสหายคนสนิทสนทนากันอย่างอยากรู้ แทนที่จะคอยระวังของมีคมที่ตัดฉับอยู่ในมือ
เสียงเจื้อยเคล้ามากับลมอย่างบางเบาให้พอได้ยินได้รู้ว่าคุณทั้งสองกำลังเสวนากันอย่างสนุกสนาน ไม่เพียงเท่านั้นสายตายาวแจ่มแจ้งราวกับกล้องส่องทางไกล กำลังจดจ้องการกระทำของนายท่านอย่างสนอกสนใจ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“สวนหลังบ้านของเธอนี่สวยจัง การตกแต่งก็ดูเข้ากันไปหมดเลย” โอเมก้าหนุ่มกล่าวพลางยกน้ำชารสดีขึ้นจิบ
“ผมได้เทียนมาดูแลน่ะเลยเป็นอย่างที่เห็น”
อาโอะพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับวางแก้วน้ำชาลงบนจานรองแล้วเอย์จิจึงเอ่ยต่อ “แล้วธุระด่วนของคุณเป็นยังไงบ้าง มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่รีบถ่อจากญี่ปุ่นมาร่วมงานวันเกิดคนแก่แทนคุณพ่อน่ะ เธอก็ต้องไปด้วยหนิ”
“โชคร้ายที่ผมเลี่ยงไม่ได้ต่างหากละ” ชายหนุ่มว่าพร้อมยกมุมปากแล้วส่ายหน้าด้วยความรู้สึกระอากับชายมักมากในชื่อเสียงและชื่นชอบความอลังการ ประพฤติตัวเยี่ยงคนวัยหนุ่มมากสาว ซ้ำนิสัยใจคอยังจู้จี้จุกจิกยิ่งกว่าแม่ลูกอ่อน แต่กระนั้นกลับมีฐานะทางสังคม เป็นนักการเมืองมากอำนาจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ใครๆ ก็ต่างอยากเข้าใกล้ เพื่อหวังฉุดตัวเองขึ้นที่สูงโดยใช้บารมีของชายมากตัณหายกยอตัวเองขึ้นไป
แม้เอย์จิไม่ใคร่อยากจะสานสัมพันธไมตรีด้วย แต่สถานการณ์กลับสร้างความจำเป็นชี้ให้เห็นว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงชายคนนี้ได้ เพราะแม้ไม่ได้อยากทำความรู้จัก แต่ก็ไม่ได้อยากขัดแย้งเป็นอริกันในสังคมนักการเมือง ซ้ำหากมองลงลึกถึงเหตุผลจึงตระหนักได้ว่า ความสามารถและหน้าตาทางสังคมนั้นเป็นผลดีต่อบริษัทของเขาอยู่ไม่น้อย หากจะหลอกใช้ก็คงไม่เสียเวลาเปล่า
“สันดานต่ำกลับมีคนมาสรรเสริญ โลกนี้ชักจะอยู่ยากขึ้นแล้วสิ” อาโอะส่ายหน้าอย่างระอาใจในความอยากเด่นอยากดังของใครหลายๆ คน กระทั่งความผิดยังหลับหูหลับตาเมิน
“ก็ไม่แปลกหรอก ใครๆ ก็อยากนอนเตียงนุ่มๆ กันทั้งนั้น”
“แต่นานวันเข้าขาเตียงที่ปีนป่ายก็จะพรุนแล้วท้ายที่สุดก็หัก พาตัวเองกลับมานอนบนดินเช่นเดิมนะสิ”
โอเมก้าหยุดครู่หนึ่งเพื่อเอนหลังพิงเก้าอี้ให้สบายแล้วพูดต่อ “คนที่ไหวตัวทันก็รีบลุกซื้อขาเตียงใหม่และเลือกอันที่แข็งแรงกว่า กลับกันคนที่รู้อยู่แก่ใจว่าขาเตียงร้าวแต่กลับยังนอนนิ่งเฉยเพราะคิดว่ายังไงมันก็ไม่มีวันหักเนี่ยสิ เมื่อถึงเวลาร่างกายตกกระแทกพื้นคงเจ็บน่าดู”
“แต่ก็นะ ฉันกับเธอไม่มีสิทธิจะพูดอะไรแบบนี้หรอก” อาโอะว่าพลางยิ้มแล้วยกชาขึ้นจิบ สถานการณ์ของตนเองก็ไม่ต่างจากกลุ่มคนพวกนั้นมากเท่าไหร่ ผิดแต่ขาเตียงที่ว่ายังดูเสี่ยงตายน้อยเกินไป หากเทียบกับสิ่งที่พวกเขาทั้งสองต้องแบกรับไว้บนบ่า เพราะเพียงแค่ขาเตียงหักอย่างมากก็แค่เจ็บหลัง แต่หากเป็นคานค้ำตึกแล้วละก็ ผู้ที่แบกมันอยู่คงโดนซากปรักหักพังทับจนตาย
“เอาเถอะ คุยเรื่องพวกนี้ไปก็อารมณ์เสียกันเปล่าๆ ..เอาเป็นว่าเจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน ส่วนวันนี้ฉันคงต้องพาเจ้าเด็กแก้มยุ้ยกลับก่อน เห็นนั่งหน้ามุ่ยตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” ร่างบางว่าพลางบุ้ยสายตามองจุนที่นั่งทำหน้าตึงตังอยู่ด้านในผ่านกระจกใสที่กั้นอยู่
“แล้วเจอกันครับ” เอย์จิยิ้มส่งอย่างเป็นมิตร
“เอ๊ะ! กลับไปตั้งแต่ตอนไหนกัน” หยดเทียนขมวดคิ้วแล้วชะเง้อคอหาร่างของโอเมก้าหน้าสวยที่นั่งอยู่กับเจ้านายในตอนแรก เขาเพียงแค่ก้มหน้าตั้งใจตัดกิ่งไม้บริเวณที่ต้องใช้ความประณีตมากกว่าปกติเพียงครู่เดียว ร่างเพรียวก็หายไปไหนเสียแล้ว เหลือเพียงนายท่านที่ยังคงนั่งจิบชาชมนกชมไม้อยู่คนเดียว
ทันใดนั้นสายตาคมเฉี่ยวก็ปรายมองคนสวน โดยไม่มีเวลาให้คนสอดรู้ตั้งตัวทัน เขารีบก้มหน้าลง ทำทีตัดแต่งพุ่มไม้ ทั้งที่ตอนนี้กรรไกรตัดกิ่งหล่นลงไปอยู่บนพื้นตั้งแต่ตอนหลบสายตาของนายท่านแล้ว
“เห็นหรือเปล่าวะ!?” เบต้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองตรวจดูว่าตอนนี้เจ้านายลุกหนีไปที่อื่นแล้วหรือยัง
ใบหน้าทรงสวยเงยอย่างเชื่องช้า ดวงตาค่อยๆ หรี่ขึ้นเพื่อมองดูโดยพยายามไม่ให้อีกฝ่ายรู้หากเขายังนั่งอยู่ที่เดิม
แต่เพราะอัลฟ่านั้นสายตาไวจึงรู้ว่าเบต้าที่เพิ่งลอบมองตนกำลังก้มหน้าลงแล้วจะถอยหลังเดินหนี เขายกยิ้มพลางขำในลำคอ ก่อนจะส่งเสียงเรียกแล้วกวักมือสื่อให้คนสวนเดินมาหา “เดี๋ยวสิ!”
“นั่นไง” เบต้าสบถกับตัวเองเบาๆ เมื่อสิ่งที่อยากให้เป็นกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง
ร่างสันทัดเดินหน้ามุ่ยพร้อมกับถอดถุงมือสีขาวฟึดฟัด แล้วหยุดยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าอัลฟ่าผู้เป็นนายอย่างไม่เต็มใจ
“ต้องนั่งไหมครับ” เสียงที่ไม่ปกติค่อนไปทางฝืนใจเอ่ยขึ้น
“ตามใจ”
“งั้นผมขอนั่งนะครับ ดูท่าคงจะยาว”
เอย์จิมองร่างเพรียวยกเก้าอี้ที่ชิดติดกับขอบโต๊ะออกแล้วนั่งก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง ท่าทีขี้เหวี่ยงแต่ต่อว่าเจ้านายไม่ได้ จึงแสดงออกมาทางสีหน้าแทนทั้งที่พยายามข่มมันไว้แล้ว
“พรุ่งนี้ไปธุระกับฉันนะ”
“ปฏิเสธได้ไหมล่ะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นเทียนก็ไปกับฉัน ฉันจะให้พ่อบ้านวัดขนาดตัวแล้วเตรียมชุดสูทไว้ให้”
คิ้วทรงสวยขมวดหากันแล้วเอียงศีรษะด้วยความสงสัย เหตุใดไปทำธุระจึงต้องใส่ชุดสูทให้ดูดีด้วย ไอ้ธุระที่ว่าคงจะไม่ใช่งานเลี้ยงของพวกผู้ดีหรอกนะ
“ทำไมต้องใส่ด้วยล่ะครับ ของแพงๆ พวกนั้นผมไม่ใส่หรอก แล้วอีกอย่างถ้านายท่านคิดจะลากผมไปงานที่มีแต่พวกไฮโซ ผมขอปฏิเสธนะครับ”
เหตุผลก็ไม่ใช่อันอื่นอันใด
หนึ่งคือเขากลัวว่านายท่านจะหักเงินเดือนตนเพื่อนำไปตัดชุดราคาแพงมาให้เขาใส่
เหตุผลที่สอง สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้ดีมีสตางค์มีหน้ามีตาในสังคมเช่นนั้น ไม่เหมาะกับคนหาเช้ากินค่ำอย่างเขาเลยสักนิด
และเหตุผลสุดท้ายก็คือ เสียเวลา
“ฉันไม่อนุญาตให้ปฏิเสธเพราะฉันวางทุกอย่างเอาไว้แล้ว ฉันต้องการให้เทียนไปกับฉันในฐานะผู้ช่วยไม่ใช่ฐานะคนสวน ฉะนั้นเสื้อผ้าหน้าผมก็ต้องดูดีให้สมกับที่ยืนเคียงข้างฉัน”
หยดเทียนขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นกว่าเดิม นึกแล้วนึกอีกก็ไม่เข้าใจว่า นายท่านคิดอย่างไรถึงต้องการผู้ช่วยที่นอกจากความสามารถในการดูแลสวนและใช้กำลังแล้วก็ไม่มีความสามารถอื่นใดที่นำไปใช้กับงานจำพวกนี้ได้เลย
“ผู้ช่วย? ผู้ช่วยอะไรครับ”
เอย์จิอ้ำอึ้งเมื่อได้ยินคำถาม เขาก็สงสัยในตัวเองอยู่เหมือนกัน ว่าเหตุใดจึงต้องการให้หยดเทียนติดสอยห้อยตามไปด้วย ทั้งๆ ที่ความสามารถด้านการเข้าสังคมก็ติดลบ ภาษาและท่วงท่าในการพูดคุยเจรจาก็ดิ่งลงเหว ไม่มีข้อไหนเลยที่ชี้ให้เข้าใจว่า หยดเทียนคือคนที่เหมาะสมสำหรับพกใส่กระเป๋าไปด้วยสักข้อ
“ไปคุ้มกันฉันระยะประชิดไง เตะต่อยเก่งนักไม่ใช่เหรอ” แถไปจนสีข้างถลอก แก้ต่างให้ตัวเองดูดี ก่อนจะยกน้ำชาอันเย็นชืดขึ้นจิบแก้สถานการณ์
“แต่ว่าผมไม่-”
“ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้”
“ครับ?” หยดเทียนหูผึ่งทันทีเมื่อประโยคที่นายท่านเอ่ยออกมานั้นเกี่ยวกับเงินกับทอง
“ถ้าเทียนยอมไป ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้ ค่าชุดฉันก็จะไม่หักเอาสักบาท”
จากเสียงในหัวใจที่อย่างไรก็ปฏิเสธหัวชนฝา แต่เมื่อได้กลิ่นเงินหอมลอยมา กลับมีสติมีเหตุผลขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“รีบตัดสินก่อนฉันจะเปลี่ยนใจ” เสียงเข้มดังแทรกทำให้จิตใจที่นั่งโต้แย้งกันมีท่าทีว่าฝั่งโลภจะชนะและเร็วกว่าก่อนกำหนด
“ผะ ผมว่าไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ บ้างก็ดีนะครับ”
“ตกลงไปใช่ไหม”
“ไปครับ” ว่าพลางเกาแก้มเขินอาย เมื่อครู่ยังเถียงฉอดๆ กลัวโดนบังคับ แต่พอมาตอนนี้กลับตอบรับเต็มใจอย่างไร้ข้อกังขาเสียอย่างนั้น
หวั่นนักหวั่นหนาว่าจะโดนตีตราเป็นพวกหน้าเงิน แต่มันก็ช่วยไม่ได้หนิ ใครบอกให้เงินมันกลิ่นหอมขนาดนี้กันล่ะ!