ตอนที่ 23 หยดเทียนกับงานเลี้ยง (2)

2626 Words
​ “พี่ภามอยู่นี่นี่เอง! ภีมตามหาตั้งนานแหนะ” เสียงน้องชายสุดที่รักดังขึ้นจากด้านหลังก่อนที่ในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา ร่างน้อยจะวิ่งเข้ามากอดลำแขนแกร่งแน่นพร้อมยิ้มแฉ่งให้ดูน่าเอ็นดู ภามยิ้มตอบอย่างไม่เต็มปากเพราะตอนนี้คู่กัดสองบ้านมาประจันหน้ากันแล้ว โอเมก้าน้อยเงยหน้ามองพี่ชายแล้วผินหน้าไปทักทายแขกในงานที่ยืนคุยกับพี่ ทว่าเมื่อใบหน้ากลมหันตรงไปทางแขกผู้ทรงเกียรติ กลับเห็นเป็นเบต้าที่ไม่ชอบหน้ากันเสียอย่างนั้น ใบหน้าสดใสก็ผลัดเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวต่างจากเมื่อครู่ทันที ภีมถลึงตาเบะปากใส่คนตรงหน้า แล้วออกแรงดึงแขนพี่ชายร่างโตสุดกำลัง หวังจะลากตัวพาออกไปให้ไกลจากคนคนนี้ แต่ไม่เป็นผลเนื่องด้วยขนาดตัวที่แตกต่างกันเกินไป หยดเทียนเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน เขาเคร่งเครียดจนอารมณ์แสดงออกทางใบหน้า อุตส่าห์หนีมาหลบอยู่ในมุมอับของงานแล้วแท้ๆ ยังจะมีคนเข้ามาวุ่นวายกับเขาจนได้ “พี่ภาม เราไปกันได้แล้ว” ปากเล็กว่าขมุบขมิบก่อนเม้มแน่นเพราะออกแรงดึงแขนยักษ์ของพี่ อารมณ์อาลัยในใจบอกว่ายังไม่อยากจากรุ่นน้องไปฉายผ่านดวงตาคมสู่อีกหนึ่งดวงตา แต่ทว่าหยดเทียนไม่รู้สึกเช่นนั้น กลับกันเขายิ่งอยากให้สองพี่น้องรีบไปให้พ้นๆ เพราะเมื่อมีลูกไก่ยืนโลดโดดเด่นอยู่ตรงนี้ อีกไม่นานผู้ปกครองก็คงจะเดินตามมา และโชคร้ายก็ช่างเข้าข้าง... มันเป็นดั่งที่หยดเทียนคิด ‘ซวยแล้วไง’ ภาพของความบรรลัยผุดขึ้นในสมองพร้อมกับเสียงประกอบฉาก เมื่อสายตามองเห็นหญิงชายวัยกลางคนเดินใกล้เข้ามาทุกที ภามที่เหมือนจะสัมผัสเหตุการณ์สุดเลวร้ายที่จะเกิดในอนาคตอันใกล้นี้ได้ ก็บุ้ยสายตาให้รุ่นน้องรีบออกไปจากตรงนี้ ก่อนที่มารดาและพ่อเลี้ยงของตนจะเดินมาถึง “ไปได้แล้วพี่ภาม อย่ามัวมาเสียเวลากับคนอย่างมันเลย” เสียงขุ่นมาพร้อมกับสายตาเหยียดหยามของคุณหนูบ้านรวย ไม่ได้สร้างความหงุดหงิดหรือความไม่พอใจให้แก่หยดเทียนแม้แต่น้อย คิดเสียว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แล้วรีบๆ เดินหนีเพื่อเลี่ยงการปะทะกับชายหญิงคู่นั้นดีกว่า “คนต่ำๆ อย่างแกมาอยู่ในงานแบบนี้ได้ยังไง” ฉิบ.. เขาหนีไม่ทันเสียแล้วสิ “ว่าแล้ว มีลูกก็ต้องมีแม่ครบจบตามหลักสูตรของละครไทย” ฝีเท้าหยุดชะงักพร้อมบ่นกับตัวเองเบาๆ เมื่อเสียงแหลมของคุณนายเอมอรดังไล่หลังมาก่อนที่ตนจะหลบหนีไปที่อื่นพ้น เสียงพ่นลมหายใจออกทางริมฝีปากดังแผ่วเบาเพื่อระบายความร้อนออกมา พยายามทำจิตใจให้เย็นชื่นที่สุด ก่อนจะกลับหลังหันเผชิญหน้ากับครอบครัวบวรนิวิชญ์ด้วยความยิ้มแย้มผิดไปจากเดิม เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะให้มากที่สุด “อ้าว! สวัสดีครับคุณเอมอร คุณธนาแล้วก็น้องภีมด้วยนะครับ” ‘ไม่เจอกันนานยังปากหมาเหมือนเดิมเลย’ ประโยคที่คิดต่อในใจ เขาอยากจะเติมมันลงไปในบทสนทนาเมื่อสักครู่เสียเต็มประดา แต่จิตใต้สำนึกยังตระหนักถึงหน้านายท่านอยู่จึงหยุดประโยคไว้เพียงเท่านั้น “อย่ามาเรียกฉันอย่างนั้นนะ ฉันไม่ใช่น้องแกสักหน่อย” ภีมโต้ตอบอย่างไวตามนิสัย “ไม่ให้เรียกน้องได้ยังไงครับน้องภีม ก็เรามีพ่อคนเดียวกันนี่หน่า” แม้หยดเทียนจะเลิกนับถือธนาในฐานะบิดามาเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ในบทสนทนาครั้งนี้กลับหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด นั่นเพราะอยากจะปั่นประสาทให้เด็กโอเมก้าคนนี้หัวร้อนก็เพียงเท่านั้น ไม่คิดอยากกลับไปรักและเทิดทูนชายคนนั้นอีกแล้ว “คิดว่ามางานผู้ดีแล้วแสงสีจะกลบกลิ่นเหม็นสาบของแกได้หรือยังไง ถึงได้เสนอหน้ามางานนี้ได้อย่างหน้าไม่อาย” เอมอรรุกเข้ามาประชิดตัวเบต้าห่างกันเพียงสองคืบพลางเปล่งเสียงเบาอย่างไม่พอใจ เมื่อหยดเทียนเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุ่นทิพย์ ธนาและตัวเธอเองอย่างโจ่งแจ้ง หากมีใครได้ยินเข้า เธอคงเป็นที่อับอายในสังคมไฮโซ “เอ๊ะ! ผมก็ว่าผมฉีดน้ำหอมมาแล้วนะครับ ยังได้กลิ่นอยู่อีกหรือครับ แต่แน่ใจนะครับว่ากลิ่นมาจากผม” เบต้ายกแขนเสื้อขึ้นดมกลิ่นกายของตัวเอง ก่อนก้มสบตาร่างบอบบางที่เตี้ยกว่าอย่างประชดประชัน ทำให้ความรุ่มร้อนในอกของคุณหญิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว “หึ! ได้ใส่ชุดดีๆ ราคาแพงที่แกเอาเนื้อเอาตัวเข้าแลก แล้วคิดว่าตัวเองยืนอยู่ชั้นเดียวกับฉันแล้วงั้นหรอถึงได้กล้าต่อปากกับฉัน ไอ้ลูกหมาปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” หยดเทียนยิ้มขัดกับอารมณ์แล้วกอดอกมองอีกฝ่าย “ผมไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะครับ ทั้งคุณทั้งผมทั้งคนอื่นๆ ในงานก็เห็นๆ อยู่ว่าใครอยู่สูงใครอยู่ต่ำ! กว่ากัน” ดวงตาหยันหลุบมองต่ำแล้วไล่ตาขึ้นมองเส้นผมจรดนิ้วเท้าของหญิงกลางคน ที่ทั้งตัวเล็กและเตี้ยกว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวของตน แม้เธอจะสวมรองเท้าส้นสูงมาแล้วก็ตาม “กะ แก! ไอ้เทียน!” เอมอรว่าพลางขยับเข้ามาประชิดตัวหวังสั่งสอน จนลูกชายคนโตของเธอรีบดึงแขนปราม “คุณแม่ครับ เราอยู่ในงานกันอยู่นะครับ” ร่างผอมบางถูกภามหยุดเอาไว้จนไม่สามารถขยับได้ตามใจหวัง นั่นยิ่งทำให้เธอโมโหเข้าไปอีก แต่ลูกชายของเธอพูดถูก ตอนนี้ทั้งเธอและไอ้เด็กสามหาวกำลังยืนอยู่ในห้องโถงที่เต็มไปด้วยผู้ดีจากหลายตระกูลและนักข่าวช่องน้อยใหญ่หลายสำนัก เธอจึงต้องระมัดระวังน้ำพูดแล้วจัดการอารมณ์กรุ่นโกรธที่ขุ่นอยู่ในอกเอาไว้ก่อน “อวดดีเข้าไปเถอะ คิดว่าเข้ามาในนี้แล้วจะไม่มีใครรู้จักกำพืดของแกหรือยังไง ทั้งที่หากินตามข้างทางตามซ่องก็เหมาะดีอยู่แล้ว ยังจะกล้าเสนอหน้ามาหายใจรดที่นี่ให้อากาศเป็นพิษอีก คิดจะอัพค่าตัวเกาะแขกที่นี่หรือยังไง หน้าไม่อายนังลูกเมียน้อย” ‘เมียน้อย.. อีกแล้ว’ แม้จะได้ยินบ่อยแต่เขากลับไม่ชินมันเสียที ริมฝีปากอวบอิ่มหุบยิ้มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม บริเวณข้างแก้มเริ่มมีรอยนูนขึ้นเป็นสันเพราะด้านในโพรงปากกำลังขบกรามเข้าหากันข่มอารมณ์โกรธเคือง แต่ทว่าหยดเทียนไม่สามารถรุกเข้าไปประชิดตัวแล้วหยิกอีกฝ่ายจนเนื้อเขียวได้ ไม่สามารถต่อยตีหรือหยิบน้ำมาสาดใส่ได้ เพราะสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่มีทางทำให้เจ้านายเดือดร้อนเด็ดขาด หยดเทียนจะจำต้องหยุดมือไม้ที่คันระยิบในเนื้อเอาไว้ แต่ก็ใช่ว่าจะยืนนิ่งเฉยไม่ตอบโต้ “นี่คุณนายครับ ที่คุณพูดมันแรงเกินไปแล้วนะ ถึงผมไม่ได้เป็นผู้ดีอย่างคุณก็จริง แต่สันดานผมก็ไม่ได้เสียขนาดนี้นะครับ ทำตัวให้สมกับถูกเชิญมางานหน่อยสิ ..ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะด่าพ่อล้อแม่ใคร ไว้โอกาสหน้าถ้ายังไม่หายคันปาก เราค่อยหาสถานที่ที่เหมาะสมกว่านี้เถอะครับ” ว่าจบหยดเทียนก็กระตุกมุมปากแล้วสะบัดหน้าเดินหนี แต่ทันใดนั้นมือขาวก็รีบเอื้อมคว้าแขนเสื้อสูทเอาไว้ เบต้าจึงต้องหยุดฝีเท้าเพราะกลัวเสื้อของเจ้านายจะยับและเสียหาย แล้วหันมามองเธอด้วยสายตาโกรธ “ปล่อยแขนผมเดี๋ยวนี้ครับ” “ฉันยังไม่อนุญาตให้แกออกไป อย่าสะเออะเดินหนีฉัน!” เหตุการณ์คุกรุ่นที่เกิดขึ้นในมุมอับของห้องโถง เริ่มมีผู้คนหันมาสนใจมากขึ้น เพราะเสียงเอะอะของหญิงและชายที่สอดประสานกันไปมาไม่รู้จบ พลางหันไปซุบซิบยกมือป้องปากถามกันอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ส่งผลให้หยดเทียนเริ่มกลับมาอึดอัดอีกครั้ง แต่ยังดีที่ไม่ได้มีแค่โชคร้ายที่เข้าข้าง เพราะในระยะสายตา หยดเทียนเห็นเอย์จิและอาโอะเดินเคียงคู่กันมาพร้อมกับยูกิและจุนที่เดินตามหลังมุ่งหน้ามาทางนี้พอดี เมื่อเจอหนทางรอดก็ตะโกนบอกขอบคุณพระเจ้าในใจ แล้วสะบัดแขนสุดแรงจนมือของหญิงกลางคนหลุดจากเสื้อจึงเป็นอิสระ รีบสับขาเดินไปหาเจ้านายอย่างเร็ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า” เอย์จิขมวดคิ้วถามพร้อมเอื้อมมือจับแขนบางด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นลูกน้องที่ปล่อยให้เดินเล่นอยู่นานวิ่งกลับมาหาด้วยใบหน้าตื่นผิดปกติ “ไม่มีอะไรครับ คุณผู้หญิงคนนั้นเขาจะล้มน่ะครับเลยคว้าแขนผมไว้ ..เราไปกันเถอะครับ” แม้จะพยายามพูดให้เจ้านายเชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่มันช่างสวนกับใบหน้ายิ้มแย้มอย่างผิดวิสัย ดวงตากลมโตที่มีสีก่ำเริ่มอ่อนลงเหมือนกับเพิ่งผ่านอารมณ์โกรธไม่ก็โมโหมา ล้วนขัดกับคำพูดของหยดเทียนทั้งนั้น นัยน์ตาสีดำถอนสายตาจากลูกน้องสลับไปมองกลุ่มคนที่คาดว่าน่าจะเป็นคู่กรณี แล้วเดินไปหาคุณหญิงและคุณชายกลุ่มนั้นที่เพิ่งจากกันได้ถึงชั่วโมง “ขออภัยด้วยนะครับคุณเอมอร พอดีผู้ช่วยของผมคงจะกลัวโดนต่อว่าที่หายตัวไปนาน เลยรีบสะบัดมือคุณหญิงออกกะทันหัน ต้องขออภัยจริงๆ ครับ” รอยยิ้มที่ดูผิวเผินเหมือนรอยยิ้มธรรมดาของมิตรสหาย แต่หากลองจ้องมองลึกไปนานๆ กลับรู้สึกขนลุกเสียอย่างนั้น “ผู้ช่วยหรือคะ?” เอมอรเอ่ยด้วยความเคลือบแคลงจนแสดงออกมาทางน้ำเสียง เธอฟังผิดหรือเปล่า? เด็กที่ไม่มีคุณสมบัติอะไรดีสักอย่าง คือผู้ช่วยของนักธุรกิจหนุ่มอัลฟ่าผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมากมาย อีกทั้งยังมียศศักดิ์เป็นนายน้อยของตระกูลใหญ่ในญี่ปุ่น ชายคนนี้ล้อเธอเล่นอยู่หรือเปล่า? “ใช่ครับ เทียนคือผู้ช่วยคนสนิทของผมเองครับ ถ้าลูกน้องผมทำอะไรให้คุณเอมอรเคืองใจ ผมต้องขออภัยแทนด้วยนะครับ” “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับ แค่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ น่ะครับ” เป็นธนาที่ตอบโต้แทนภรรยาที่ยืนอ้ำอึ้งอยู่ “เช่นนั้น ผมต้องขอตัวก่อนนะครับงานจะเริ่มแล้ว” “ครับ เชิญครับ” ธนายิ้มส่งอย่างยินดีก่อนที่เอย์จิและอาโอะพร้อมลูกน้องจะเดินตามหลังกันไปเป็นขบวน เมื่อพิธีเป่าเค้กจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้ ส่วนผู้คนที่ยืนค้างดูก็ต่างแยกย้ายกันไปเช่นเดียวกัน เสียงถอนหายใจดังขึ้นระลอกใหญ่ พร้อมกับเรียวนิ้วยกนวดหัวตาอย่างปวดไมเกรน เมื่อภรรยาและลูกชายเกือบจะทำให้ไมตรีระหว่างตนและท่านประธานของบริษัทที่หวังจะจับมือพังทลายลง ทั้งที่เพิ่งจะเริ่มได้เพียงเล็กน้อย ชายกลางคนเอี้ยวตัวไปมองภรรยาด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายแล้วเอ่ยกับลูกชาย ก่อนจะเดินนำหน้าเข้าไปในงานก่อน “พาแม่แกเข้ามาในงานได้แล้ว” “ครับ” ภามและภีมตอบรับพร้อมกัน แต่เนื่องด้วยเอมอรไม่ได้เป็นอะไรมากเพียงแค่หัวใจเจ็บช้ำเมื่อเห็นคนที่ตนดูถูกได้ดี เธอสะบัดมือของลูกๆ ที่จะเข้ามาพยุงออกแล้วรีบจัดการความรู้สึก เดินหน้ายิ้มเข้าไปในงานเช่นเดิมอย่างคนห่วงภาพลักษณ์ เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม พิธิกรหนุ่มสาวก็ก้าวเท้าเดินขึ้นมาบนเวทีเพื่อประกาศเริ่มงานอย่างเป็นทางการ พวกเขากล่าวต้อนรับพลางพูดหยอกล้อเอ็นเตอร์เทนเต็มที่ ถ่วงเวลาให้แขกในงานสนุกสนานไม่รู้สึกเบื่อไปก่อนที่พิธีสำคัญจะเริ่ม เมื่อการเตรียมความอลังการของพิธีเสร็จสรรพเรียบร้อยดี ลูกน้องที่ค่อยประกบอยู่ด้านข้างวิศนัยก็ส่งสัญญาณบอกให้พิธีกรที่ยืนอยู่บนเวทีเริ่มขั้นตอนต่อไป “และตอนนี้ก็มาถึงช่วงสำคัญของวันนี้แล้ว ขอเชิญทุกท่านพบกับคุณวิศนัยเจ้าของงานเลี้ยงในวันนี้ค่ะ!” เสียงประกาศดังกึกก้องเชิญให้เจ้าของงานขึ้นมาบนเวที แล้วส่งไมค์ต่อให้ชายวัยใกล้ชราได้เอ่ยความตื้นตันใจที่มีต่อแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีในวันคล้ายวันเกิด ทั้งที่ตนเป็นคนส่งการ์ดเชิญชวนไปถึงหน้าบ้าน และเพราะอำนาจในมือแท้ๆ จึงทำให้พวกเขายอมเข้ามาร่วมงาน แต่กระนั้นกลับกล่าวได้เต็มปากเหมือนว่าเหล่าคุณคุณที่มาร่วมงานแสดงความยินดีจากใจจริงอย่างนั้นแหละ ทันทีที่เสียงแหบแห้งเงียบลง ดวงไฟทั้งหมดในงานก็ดับพรึบลงพร้อมกัน ทำให้ทั่วทั้งบริเวณห้องโถงมืดสนิทเหมือนมีคนเอาผ้ามาปิดตาไว้ แสงสว่างมอดลงได้ไม่นาน ลำแสงสเตจไลท์บนเวทีก็ปรากฏขึ้นพลางฉายสูงขึ้นไปบนฝ้าเพดานต้องกับเค้กสีทองสะท้อนจ้าก้อนใหญ่ที่ค่อยๆ ลอยลงมาโดยมีสลิงคอยรองรับฐานไว้อย่างสมดุล แขกในงานต่างพากันฮือฮาไม่คิดว่าวิศนัยจะเล่นอะไรอลังการเท่านี้มาก่อน กระทั่งเค้กลงมาส่งถึงพื้น เสียงร้องเพลงงานวันเกิดสากลก็ดังขึ้นพร้อมกับคนในงานที่พากันร้องและปรบมือตามท่วงทำนองเพลง ราวกับกำลังแสดงความยินดีให้กับเด็กวัยสิบขวบ ไม่นานหลังจากนั้นเสียงขับร้องก็สิ้นสุดลง วิศนัยจึงได้ทำการอธิษฐานและเป่าเทียนที่ปักอยู่บนเค้ก ต่อด้วยการหยิบมีดตัดเค้ก ปาดชั้นแป้งขนาดพอดีให้พอเป็นพิธี แล้วหันมาเฮฉลองกับแขกในงาน ส่วนเอย์จิและอาโอะที่ทนนั่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์อันน่าเบื่อจนจบก็ได้เวลากลับบ้านไปพักผ่อน พวกเขาเดินเข้าไปแสดงความยินดีกับเจ้าของงานที่กำลังกระดกไวน์รสดีลงท้องอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน โดยอ้างว่ากลับไปเคลียร์งานที่ค้างไว้ หากมีเวลามากกว่านี้ก็อยากจะร่วมกินเค้กอยู่จนจบงาน “จะให้ผมไปส่งไหม?” “ไม่เป็นไรฉันเอารถมา เธอกลับบ้านดีๆล่ะ” อาโอะว่าพร้อมรอยยิ้ม แล้วเปิดประตูรถขึ้นไปแล้วขับออกจากหน้าโรงแรมหรู สุดท้ายจึงเหลือเพียงเขาและลูกน้องทั้งสองเท่านั้นที่ยังยืนมองหน้ากันอยู่ที่เดิม “ส่วนผมคงต้องขอตัวกลับไปพักผ่อนเหมือนกันครับ นั่งฟังอะไรก็ไม่รู้อยู่ตั้งนาน” ยูกิเอ่ยด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะเดินออกไปหลังจากที่ได้รับการตอบรับจากเจ้านาย “เดินทางปลอดภัยนะครับคุณยูกิ” หยดเทียนเอ่ยพร้อมก้มศีรษะลงส่งคนสนิทของเจ้านาย ชายคนนั้นหันหน้ามายิ้มให้แล้วเดินจากไปขึ้นรถของตัวเอง “กลับเลยไหม” เอ่ยถามลูกน้องพร้อมบุ้ยสายตาไปที่รถคันหรู “กลับครับ” “งั้นก็ขึ้นรถ” ชายหนุ่มว่าแล้วเผยรอยยิ้มหวานเต็มปากทำให้เบต้ายิ้มตอบอย่างไม่เสแสร้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD