นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เอย์จิก็เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องทำงานทั้งวันทั้งคืนจนไม่มีเวลาออกมารับแสงแดดด้านนอกหรือพบปะผู้ใด นั่นเพราะวันพรุ่งเขาต้องบินกลับถิ่นฐานบ้านเกิด จึงจำเป็นต้องเร่งสะสางงานทั้งหมดให้เสร็จลุล่วง เมื่อไปถึงญี่ปุ่นจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังจนทำงานฝั่งนั้นได้ไม่เต็มที่
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูบอกคนที่นั่งหน้าเคร่งอยู่ด้านในว่ากำลังมีคนเข้าไป ก่อนวินาทีต่อมาบานประตูใหญ่จะถูกเปิดออก
ร่างเพรียวผิวสีน้ำผึ้งที่คุ้นเคยเดินมาพร้อมกับถาดชาแดงโชยกลิ่นหอมกรุ่นมาแต่ไกล ทว่ากลับไม่ได้รับความสนใจมากเท่ากับผู้ที่ถือมันเข้ามา
เพียงแค่เหลือบตามองครู่เดียวจิตใจอันห่อเหี่ยวและร่างกายอันอ่อนล้า เริ่มผันกลับมากระชุ่มกระชวยขึ้นหลายส่วนราวกับต้นไม้กำลังตายได้รับการรดน้ำพรวนดิน หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้าคนที่ห้วงลึกจิตโหยหามานานหลายวัน
เอย์จิลอบมองดูคนสวนที่ค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาจากถาดวางลงบนมุมโต๊ะทำงานไม่ให้เกะกะมือของตนอย่างระมัดระวังแล้วยิ้มกริ่มมุมปากชุ่มใจ ก่อนจะหันกลับลงมาสะสางงานตรงหน้าต่อ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับหยดเทียนหันหน้าขึ้นมาหลังจากยกถ้วยชาลงบนโต๊ะเสร็จพอดี จึงเห็นภาพเจ้านายนั่งก้มหน้าทำงานอยู่อย่างไม่สนใจใคร
‘ไม่คิดจะเงยหน้ามามองกันหน่อยหรือไง’ บ่นอุบอิบในความคิดด้วยความรู้สึกหม่นใจแม้แต่เจ้าตัวยังอธิบายไม่ถูก รู้อยู่หรอกว่ารีบร้อนอยากเคลียร์งานให้เสร็จ แต่ก็ไม่นึกว่าจะตั้งใจจนไม่คิดหันมาใส่ใจคนที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่เศษเสี้ยวความคิดหนึ่งกลับผุดขึ้นมาโต้กลับให้เริ่มสงสัยในตัวเองว่า ‘แล้วเราจะน้อยใจไปทำไม? ’
หยดเทียนทึ้งหัวสลัดสิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ในสมองให้หลุดออกไปพ้นๆ แล้วก้มหยิบถาดกอดชิดอก ก่อนหันหลังขบริมฝีปากล่างก้าวขาจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน!” เสียงทุ้มเปล่งดังเรียกรั้งคนสวนเอาไว้กลัวว่าหยดเทียนจะออกไปเสียก่อน พร้อมตวัดนิ้วเซ็นลายมือลงบนกระดาษแผ่นสุดท้ายของแฟ้มแล้วปิดพับลงอย่างเร่งรีบเป็นอันเสร็จสิ้นงานทั้งหมดที่ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหลายวัน
“มีอะไรจะใช้ผมหรือเปล่าครับ” แม้จะหยุดและหันมาตอบรับคำของเจ้านายอย่างลูกน้องที่ไม่สามารถเลี่ยงคำสั่งเจ้านายได้ แต่ทว่าในใจกลับเต้นโลดที่นายท่านไม่ได้เมินตนอย่างที่คิดในใจ
“เปล่า นั่งคุยกันก่อนสิ”
“ให้ผมนั่งตรงนี้หรอครับ” หยดเทียนยืนกอดถาดถามพลางชี้ลงที่โซฟานิ่มด้วยความไม่เข้าใจ จะดูแปลกเกินไปหากลูกน้องนั่งตนเสมอนายจ้าง และที่สำคัญเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้นั่งมันเลยสักครั้ง หรือเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยขอกันนะ
“หรือจะนั่งบนพื้นล่ะ” แม้มีความเหนื่อยล้าอยู่ในหน้าแต่ก็ไม่อาจลบล้างความกวนของเจ้านายผู้นี้ได้จริงๆ เมื่อเอย์จิปล่อยวาจากวนเล็กๆ น้อยๆ ให้พอเป็นยาใจแล้วจึงเดินมาทิ้งกายหนาลงบนโซฟา
หยดเทียนบู้ปากใส่ก่อนจะวางถาดลงบนโต๊ะ แล้วเดินมาเอานิ้วจิ้มทดสอบพื้นโซฟาอย่างเก้งก้างไม่คุ้นชิน แต่กระนั้นก็ค่อยๆ หย่อนก้นนิ่มลงบนโซฟาอีกฝั่งบ้าง
ดวงตากลมประกายแวววาวพร้อมกับริมฝีปากที่ยกวาดเป็นตัวโอเล็กๆ เมื่อรู้ว่าโซฟาราคาแพงนี่มันช่างนุ่มนิ่มก้นดีนักแตกต่างจากโซฟาทั่วไปที่เคยนั่ง แม้จะลองขยับโยกตัวไปมาหรือว่าลองลุกและทิ้งก้นลงใหม่อีกครั้ง มันก็ยังเด้งดึงสู้เนื้อก้นไม่บุบสลายหรือยุบลงไปง่ายๆ สมกับเป็นของดีมีราคาจริงๆ!
รอยยิ้มอ่อนผุดขึ้นเหนือริมฝีปากแม้จะแทบไม่เหลือแรงให้ขยับ ก่อนจะหุบลงแลเปลี่ยนมาเป็นขมวดคิ้วใส่ เหตุใดจึงต้องนั่งไกลกันปานนั้น
“มานั่งตรงนี้” เอย์จิไม่ว่าเปล่าพลางตบแปะๆ ลงบนโซฟาบริเวณพื้นที่ข้างตน
“จะดีหรือครับ” หยดเทียนเม้มปากเข้าหากันแน่นพร้อมมองหน้าเอย์จิด้วยนัยน์ตาสั่นระริก ไม่กล้าเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ ผู้เป็นเจ้านาย หาใช่เพราะความกลัว เพียงแต่ก้อนเนื้อหัวใจมันเต้นไม่รู้จังหวะจนไม่กล้าเงยสบตาหรือมองหน้านายท่านตรงๆ หากให้เขาลุกไปนั่งข้างๆ หัวใจคงจะไม่วายไปเลยหรือ
“ฉันเพิ่มโบนัสให้สองพัน”
ใบหูเล็กกางราวกับปีกเตรียมบินเมื่อเรื่องเงินๆ ทองๆ ลอยเข้ามาในหู ร่างเล็กเบิกตากลมโตพลันกระเด้งตัวลุกอย่างไว สองขาวิ่งสับดุ๊กดิ๊กสายหางราวกับแมวน้อยวิ่งหาขนม ก่อนกระโดดทิ้งตัวลงบนโซฟาในตำแหน่งที่เจ้านายว่าแล้วหันมายิ้มแฉ่งตาประกาย ชวนให้อยากเกาคางเป็นรางวัลยิ่งนัก
“จะเพิ่มให้จริงๆ หรอครับ” แม้ถามราวกับไม่เชื่อแต่ทว่ากลับเดินมานั่งตามคำสั่งอย่างว่าง่ายเสียแล้ว ไหนจะท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูที่แทบไม่ค่อยแสดงให้เห็นนี่อีก หากเป็นเช่นนี้บ่อยๆ เจ้านายอย่างเอย์จิคงเผลอเพิ่มเงินโบนัสให้คนสวนหลายพันบาทต่อเดือนเป็นแน่
“ทำไมคิดว่าฉันจะไม่ให้ล่ะ เจ้านายต้องพูดคำไหนคำนั้นสิ” เรียวคิ้วเข้มเลิกขึ้นอย่างหยอกเย้าก่อนแขนแกร่งจะตั้งศอกค้ำโซฟาแล้ววางขมับลงบนหลังมือ
บัดนี้ร่างต่างขนาดหันมาสนทนากันอย่างไม่หลบหลีกหรือเอี้ยวตัวไปทางอื่น ต่างคนต่างสนใจฝ่ายตรงข้าม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าร่างกายแสนซื่อตอบสนองเช่นนี้เพราะเหตุใด พวกเขารู้เพียงว่าตนแค่เกิดความรู้สึกสนใจอีกฝ่ายจนไม่อยากละสายตาออกไปไหนก็เท่านั้น
“แหม ก็ต้องดักไว้ก่อนสิครับ ถ้าเกิดนายท่านเบี้ยวผมขึ้นมาผมก็เสียเปรียบสิ แล้วอีกอย่าง...ผมบันทึกหลักฐานเก็บเสียงของนายท่านไว้ในสมองเรียบร้อยแล้วด้วย เพราะฉะนั้นห้ามลืมเพิ่มเงินโบนัสให้ผมนะครับ” ใบหน้าทรงงามขยับสอดคล้องกับท่าทางการช่างพูดช่างคิด ทำให้อัลฟ่าชายผู้ค้ำหน้ามองอย่างเพลิดเพลินอมยิ้มในปาก จดจ้องอีกฝ่ายดวงตาเคลิบเคลิ้ม
เอย์จิขยับร่างกายเข้าใกล้อีกนิดก่อนจะเอ่ยตอบ “แล้วเทียนอยากได้กี่บาทล่ะ”
“ละ แล้วให้ได้เต็มที่เท่าไหร่ครับ” ริมฝีปากเผยออายพร้อมร่างกายที่บิดไปบิดมาอย่างเกรงอกเกรงใจ กล้าถามแบบนี้ออกมาได้ยังไง ไม่รู้หรืออย่างไรว่าคนสวนคนนี้ยิ่งเป็นคนโลภมากอยู่
“เต็มที่สองพัน”
ลมหายใจถูกถอนออกมาอย่างผิดหวัง นึกว่าจะได้สักสามสี่พันเสียอีก “โธ่ ก็เท่าเดิมนี่ครับ”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าละห้อยน่าตลกชวนขบขัน ก่อนสมองจะฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้
“แล้ว..ถ้าฉันเบี้ยวเทียนขึ้นมาจริงๆ เทียนจะงอนฉันอีกหรือเปล่า” เสียงแหบพร่าดังอ้อยอิ่งหยอกเย้าหมายอยากเห็นปฏิกิริยาเก้อเขินอีกครั้ง ไม่นึกเลยว่าตัวเองจะมีความรู้สึกแปลกๆ แบบนี้ในใจด้วย
“ไม่ใช่สักหน่อย..” และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหยดเทียนรีบก้มหน้างุดหนีสายตาอันลุ่มลึกชวนให้ขนแขนลุกตั้ง ริมฝีปากอวบน้ำเม้มเป็นเส้นตรงดั่งความเคยชินยามเขินอายหรือหวาดหวั่นไร้ทางออก อยากจะทำใจดีสู้แหงนหน้ามองเจ้านายดูบ้าง แต่เจ้าเสียงโครมครามในอกกลับตะโกนแย้งว่าไม่กล้าพอ จนต้องซ่อนใบหน้าสีระเรื่อไว้ใต้แสงไฟเช่นเดิม
“หืม ก็ฉันเคยได้ยินเทียนพูดว่างอนนี่ หรือฉันหูฝาดไปเอง” สายตาเรียวปลายก้มช้อนมองหน้าอีกฝ่ายเพื่อเย้าต่ออย่างบันเทิง ไม่สงสารคนโดนแกล้งสักนิด
คนสวนเงียบไม่เปิดปากเอ่ยหรือแสดงท่าทีใดๆ เพราะกลัวโดนจับได้ว่าตนเขินจนทั้งตัวแดงอยู่ แต่ช่างไม่รู้เลยว่าท่าทางของตัวเองปรากฏสู่สายตาของเจ้านายอย่างชัดเจนทุกอย่าง จนอัลฟ่ายิ้มแล้วยิ้มอีกจนเมื่อยกรามต้องพยายามฝืนหุบอยู่ตลอด
“เอาเถอะฉันไม่แกล้งเทียนแล้ว” ว่าจบเอย์จิก็ยืดตัวขึ้นและถอนสายตาที่จดจ้องดูความสำเร็จของตัวเองออกไปเมื่อสุขสมใจ ทำให้ร่างบางลอบถอนหายใจเบาๆ
แต่ทว่ากลับต้องสะดุ้งเฮือกดวงตาเบิกโตกว่าครั้งแรก แล้วรีบยกมือรับศีรษะของนายท่านที่กำลังวางลงมาบนตักของตนเองอย่างไวด้วยความตกใจ ทำให้บัดนี้ฝ่ามือสากทั้งสองข้างของหยดเทียนรองรับศีรษะของนายท่านที่ลอยอยู่ในอากาศไว้
“ทำอะไรน่ะครับ!”
“ถามมาได้ ก็นอนน่ะสิ ไม่เห็นขอบตาฉันหรือไง” ปากขยับทว่าดวงตากลับปิดสนิทให้เห็นว่าตนง่วงงุนและเหนื่อยล้ามากแค่ไหน แต่กระนั้นหยดเทียนก็ไม่ได้ยินยอมให้เจ้านายใช้หน้าตักของตัวเองเป็นหมอนแต่อย่างใดและโจมศีรษะไว้ทั้งอย่างนั้น
“เดี๋ยวผมจะไปเอาหมอนให้ครับ”
“ไม่ต้อง ช้าเกินไปกว่าเทียนจะไปหามาให้ฉัน” เสียงเข้มร้องปรามพร้อมหาเหตุผลมากล่าวอ้าง ซึ่งฟังไม่ขึ้นเท่าไหร่นัก
“งั้นจะไม่หนุนหมอนหรอครับ”
“ไม่”
“งั้นผมวาง-”
“นั่นก็ไม่”
คิ้วเป็นทรงขมวดงุนงง ช่างเป็นคนเอาใจยากจริงๆ หมอนหนุนก็ไม่ต้องการแล้วพอจะวางลงพื้นก็ไม่พอใจอีก จะให้เขาโจมแบบนี้ไว้ตลอดจนกว่าจะตื่นเลยหรือยังไงถึงจะพอใจ
เสียงเงียบเพื่อครุ่นคิดทำให้ชายที่นอนอยู่ลืมตาขึ้นมามองหนึ่งข้าง ก่อนจะเห็นใบหน้าอันเต็มไปด้วยความสงสัยผุดขึ้นมา จึงหลับตาลงแล้วเอ่ยบอกใบ้ให้
“ทำสิ่งที่มันง่ายๆ โดยไม่ต้องลุกไปไหนไกล”
“ง่ายๆ? อะไรง่ายครับ” หัวคิ้วขมวดหากันมากกว่าเดิมร้อยเท่า เมื่ออยู่ๆ เจ้านายก็พูดอะไรออกมาไม่รู้ ชวนให้เข้าใจยากกว่าเดิมอีก
เอย์จิถอนหายใจเพลียจิต ทำไมคนสวนของเขาต้องเข้าใจอะไรยากนักนะ
“จะเอามือรองหัวฉันแบบนี้ไปตลอดจนกว่าฉันจะตื่นหรือจะวางมันลงบนตักก็เลือกเอา”
ตั้งคำถามเอง ใบ้เองและสุดท้ายก็ตอบเอง..
หยดเทียนนั่งค้างขณะที่มือยังคงโจมศีรษะของเจ้านายเอาไว้อย่างนั้น ทำให้รับรู้ถึงน้ำหนักที่หนักไม่ใช่เล่นๆ สายตากลมก้มลงมองแล้วชั่งใจ จะยอมให้ใช้ตักเป็นหมอนสักสองสามชั่วโมงดีหรือไม่ เพราะหน้าตาของนายท่านก็ช่างซีดเซียวซ้ำแถมขอบตายังดำราวกับมีเพื่อนเป็นแพนด้า ทว่าในใจก็ยังคงลังเลกลัวความรู้สึกอุ่นวาบที่แอบแทรกแซงเข้ามาในใจ จะละลายเส้นกั้นความผิดชอบจนเผลอรู้สึกลึกไปมากกว่านี้ แต่กระนั้นกลับทำใจปล่อยวางศีรษะลงไม่ได้
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ” ว่าจบรอยยิ้มมุมปากหยักก็ยกขึ้นเล็กน้อยก่อนศีรษะจะค่อยๆ ถูกวางลงบนตักนิ่มอย่างนุ่มนวลและระมัดระวังเป็นอย่างดี
ดวงตาคมลืมตาจดจ้องใบหน้าดวงงามของหยดเทียนไม่ละไปไหน จนทำให้เจ้าตัวกลับมามีอาการเก้อเขินและแก้มแดงปลั่งอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จะก้มหน้าหนีเช่นเดิมก็ไม่ได้จึงได้แต่เชิดหน้าหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ก้อนกลมๆ จะขยับหนุนตักให้เต็มศีรษะจนอีกร่างตกใจรีบก้มลงมาดู แล้วจึงมีบางอย่างหล่นลงมาตาม
!!
“อ๊ะ! ขอโทษครับ!”
ดอกกันเกราสีเหลืองอ่อนร่วงหล่นลงมาจากกลุ่มผมลื่นกระทบเข้ากับสันจมูกคมของคนที่นอนอยู่ด้านใต้ ทำให้ดวงตาคมเข้มหลับพริ้มลงอัตโนมัติสร้างความแตกตื่นให้คนสวน
หยดเทียนรีบยกมือหมายจะหยิบดอกไม้ที่แน่นิ่งอยู่ระหว่างสันจมูกและดวงตาของเจ้านายออก ทว่ากลับโดนฝ่ามือใหญ่รวบข้อมือหยุดไว้ แล้วใช้มือประดับเส้นเลือดอีกข้างหยิบดอกไม้ขึ้นไปถือไว้ในมือ
“ไม่เป็นไร”
“...” เมื่อเห็นว่าเจ้านายไม่ได้ติว่าอะไร หยดเทียนจึงเสสายตาไปมองทางอื่นครู่หนึ่งและนั่งเงียบ
“..พรุ่งนี้อย่าลืมเอาดอกไม้มาเปลี่ยนให้ฉันนะ” ดวงตาจดจ้องดอกกันเกราอย่างหลงใหลพลางเปล่งเสียงแหบเบา ก่อนจะสลับสายตาขึ้นมาสอดประสานกันกับดวงตาอีกคู่อย่างประจวบเหมาะ ทำให้ดวงตาของคนทั้งสองมองลึกถึงความรู้สึกของแต่ละฝ่าย
“ไม่เอาหรอกครับ เสียของ”
“..การที่ดอกไม้ของเทียนถูกเด็ดตามความต้องการของฉัน มันทำให้เสียของขนาดนั้นเลยหรอ”
ดวงตาวาวสั่นไหวจ้องมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของชายผู้หนุนนอนอยู่บนตักอย่างคาดเดาความรู้สึกใดๆ ไม่ได้ บางคราวรู้สึกอบอุ่นนักแต่บางคราวกลับรู้สึกเศร้าสร้อยเป็นทุกข์
“ไม่ใช่ของผมซะหน่อย อีกอย่างผมจะคิดแบบนั้นกับเจ้านายได้ยังไงกันครับ ผมแค่..”
ประโยคถูกตัดไปชั่วครู่ก่อนจะถูกเปล่งออกมาอีกหน “ผมแค่เสียดาย.. วันพรุ่งนี้นายท่านก็จะไปที่นู่นแล้ว คงนานหลายวันกว่านายท่านจะกลับมา เมื่อถึงตอนนั้นดอกไม้ในแจกันก็เหี่ยวเฉาหมดพอดี”
สิ้นประโยครอยยิ้มสวยก็ถูกแสดงออกมาบดบังความรู้สึก ทำให้ชั่ววูบหนึ่งเอย์จิแอบเจ็บแปล๊บที่หน้าอก
“ฉันไปไม่นาน อีกไม่กี่วันฉันก็กลับมา”
“แหม.. อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ยิ่งอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันอยู่ด้วย”
เอย์จิเผยรอยยิ้มที่มีความรู้สึกที่ไม่ต่างกันออกมา พลางหลุบตามองดอกไม้อย่างคาดการณ์ความรู้สึกไม่ได้อีกเช่นเคย
“ไม่หรอก มันจะไม่เป็นอย่างที่เทียนว่า”
บรรยากาศเย็นสงบถูกความสงัดเข้ากลืนกิน มีเพียงเสียงลมพัดจากเครื่องปรับอากาศดังคลอมาใกล้หูเบาๆ ส่งกลิ่นกายหอมอ่อนของร่างน้อยบรรเทาความล้า บีบนวดจิตใจให้ผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้มดั่งโดนอีกฝ่ายตบหลังกล่อมให้นอนพักผ่อนเสีย
ดวงตาคมแสนล้าถูกเปลือกตาประดับขนตายาวปิดทับเคลื่อนไหวหลุกหลิกไปมาราวกับว่ากำลังนึกคิดเรื่องราวสารพัดทั้งที่ยังหลับสนิท ไม่ทิ้งคราบนักธุรกิจแม้กระทั่งเวลาพักผ่อน
แววตาไหวจดจ้องมองใบหน้าครามคมแล้วเผลอยิ้มออกมา อดคิดไม่ได้เลยว่าตัวเองจะได้เห็นมุมแบบนี้ของนายท่านด้วยช่างเหมือนเด็กน้อยจริงๆ จึงลอบบรรจงมืองบนกลุ่มผมที่กระจัดกระจายอยู่บนตัก รับรู้ได้ถึงความนุ่มลื่นของผมด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน
“อดนอนกี่วันเนี่ยถึงได้ดูเหนื่อยขนาดนี้” เสียงใสเอ่ยออกมาเบาๆ กลัวว่าอัลฟ่าที่แปลงร่างเป็นเด็กน้อยในตอนนี้จะตื่น
“เร่งทำงานขนาดนี้ กลัวจะไปไม่ทันงานหมั้นขนาดนั้นเลยหรอครับ” แววตาหม่นลงแม้รอยยิ้มจะยังคงประดับอยู่บนริมฝีปาก ในเวลาอีกไม่นานนับแต่นี้เขาจะได้มีนายหญิงของบ้านให้รับใช้อีกหนึ่งคนแล้ว แม้จะเสแสร้งโกหกความรู้สึกตนเองว่าตนยินดี แต่ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจหลีกหนีความเป็นจริงที่ประสบความจริงว่าตนเป็นทุกข์อยู่ด้านในได้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ผ่านไปราวสองชั่วโมงเสียงประตูดังขึ้นเป็นครั้งที่สองของวัน ทำให้หยดเทียนที่กำลังสะลึมสะลือจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่สะดุ้งตัวโยนจนศีรษะที่อยู่บนตักขยับไปมา
“ขออนุญาตครับนาย” เสียงริวกะทักขึ้นเมื่อไม่ได้ยินคำสั่งให้เปิดประตูของเจ้านาย
“ฉิบหายแล้ว” หยดเทียนลนลานกระวนกระวายใจอย่างหนัก กลัวนักว่าคุณริวกะจะเปิดประตูเข้ามาแล้วเห็นนายท่านและคนสวนอย่างเขาอยู่ในสภาพนี้แล้วจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่
ท้ายที่สุดหยดเทียนจึงตัดสินใจค่อยๆ พยุงศีรษะของนายท่านออกจากหน้าตักแล้วก็ค่อยๆ ขยับยกตัวออกจากโซฟาอย่างเชื่องช้าไม่ให้เกิดเสียงดังจนทำให้เจ้านายรู้สึกตัว แล้วเอื้อมหยิบเอาหมอนรองหลังที่ประกบคู่มากับโซฟาวางไว้ให้เจ้านายหนุนนอนแทน
หยดเทียนรีบจัดระเบียบเสื้อผ้าหน้าผมให้เป็นปกติและไม่ลืมหยิบถาดออกมาด้วย ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปเปิดประตูให้คุณริวกะเข้ามา ส่วนตนก็จะได้ออกไป
“นายท่านหลับอยู่ครับ” เสียงเบากระซิบกระซาบทำให้ผู้ที่กำลังขมวดคิ้วดุคลายปมเหนือแพขนตาออก ก่อนเบต้าจะยิ้มอ่อนให้แล้วค้อมตัวเดินผ่านร่างสูงออกไป
สายตาคมดุมองตามแผ่นหลังเล็กไปจนเกือบสุดทางแล้วรีบสับขาเดินเข้ามาหาเจ้านาย ริวกะนึกแปลกใจว่าเหตุใดนายท่านที่มีประสาทสัมผัสดีถึงไม่ตื่น ไม่รู้ว่าหลับลึกหรือโดนวางยา จึงยื่นนิ้วเข้าใกล้จมูกเพื่อตรวจสอบลมหายใจว่าเจ้านายยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
เหตุที่ริวกะทำแบบนี้เพราะเขาเองก็ไม่ได้ไว้วางใจหยดเทียนเต็มร้อยแม้จะผ่านการทดสอบมาได้ และเขาไม่ได้ถูกสอนมาให้เชื่อใจคนง่ายๆ จึงต้องคิดเผื่อเอาไว้ ซ้ำยังเห็นนายท่านนอนหมดสติไม่รู้สึกตัวแม้ว่าเขาจะเดินเข้ามานั่นยิ่งทำให้ตระหนกไปกันใหญ่ สุดท้ายใครจะคิดเล่าว่านายท่านแค่หลับลึกกว่าปกติเท่านั้นเอง