หยดเทียนยืนรดน้ำต้นไม้อันเป็นหน้าที่ประจำที่ต้องทำทุกเช้าอย่างเหม่อลอย คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ อยากจะควักสมองออกมาถามดูนักว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดเช่นนั้นออกมาให้ตัวเองอับอาย ไม่รู้ว่าป่านนี้นายท่านจะเข้าใจผิดคิดไปอย่างอื่นหรือเปล่า
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ” เราจะรู้สึกแบบนั้นได้ยังไงกัน.. สมองคิดต่อหลังจากเสียงถอนหายใจดังออกมาราวกับมีก้อนกลมๆ จุกแน่นขึ้นมาในอกเมื่อรู้ว่าชายที่ตนกำลังรู้สึกไปไกลคือคู่หมั้นคนอื่น แล้วพึมพำกับตัวเองอยู่คนเดียว
หลังจากเมื่อวานที่โดนสั่งให้ออกมาก่อน เนื่องจากนายท่านและคุณริวกะมีธุระกัน เป็นผลให้หยดเทียนต้องลงมานั่งหน้าแดงซ่านเป็นลูกชมพู่สุกอย่างเขินอาย สลับกับถอนหายใจใบหน้าเหี่ยวเฉาภายใต้เงาต้นล่ำซำที่เป็นจุดประจำ ก่อนที่ในอีกไม่กี่นาทีถัดมา เด็กหนุ่มอัลฟ่าจะเดินหน้าหงอยเข้ามานั่งลงข้างๆ เพราะโดนพ่อบ้านตำหนิมา
หยดเทียนนั่งตริตรองมองท้องฟ้าไปเรื่อยเปื่อยจึงพบว่า มีคำถามค้างคาใจในเรื่องที่แอบได้ยินมาอยู่มากมาย แต่ทว่ากลับมีหนึ่งคำถามที่ผุดเด่นท่ามกลางความเคลือบแคลงทั้งหมด นั่นคือเรื่องงานหมั้นที่ตนยังไม่ได้สารภาพกับเจ้านาย
ด้วยความคาใจที่แก้อย่างไรก็ไม่หายหากไม่รู้ความจริง หยดเทียนจึงตัดสินใจถามเรย์เพราะคิดว่าเด็กหนุ่มอยู่กับนายท่านมานานกว่าตนเองคงต้องรู้มากกว่าที่เขารู้แน่นอน
ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ไม่ผิดไปจากที่สันนิษฐานมากนัก เพราะเรย์นั้นเล่าว่า นายท่านและคุณอาโอะคือว่าที่คู่หมั้นกันซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาของผู้นำรุ่นก่อนของทั้งสองตระกูล เพื่อกระชับความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนานให้แน่นแฟ้นมากขึ้น
เด็กหนุ่มเล่าเพียงเท่านั้นเพราะตนเองก็รู้รายละเอียดไม่มาก เพราะยังเป็นเด็กไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ลงลึกมากกว่านี้ได้เฉกเช่นผู้ใหญ่ผู้เป็นบุคคลสำคัญในตระกูล
‘ไม่น่าล่ะดูสนิทกันจัง’ สมองย้อนคิดถึงเรื่องที่ได้ยินจากเรย์แล้วพึมพำในใจ พลางเหลือบมองระเบียงห้องทำงานของเจ้านายด้วยความรู้สึกคิดถึงแปลกๆ เพราะปกติเวลานี้นายท่านมักจะมานั่งทานกาแฟยามเช้าและบ่นกระปอดกระแปดราวคนแก่ให้คนรดน้ำต้นไม้ฟังจนแสบแก้วหูทุกวัน ผิดกับวันนี้ที่เงียบสนิทไม่เห็นแม้แต่เงาผม
ป่านนี้คงนั่งหลังขดหลังแข็งสะสางงานให้เสร็จก่อนงานหมั้นจะมาถึงกระมัง จึงไม่มีเวลามานั่งใส่ใจเรื่องไร้สาระพรรคนี้
เมื่อทำหน้าที่ของคนสวนเสร็จ หยดเทียนก็รีบเก็บกวาดอุปกรณ์รดน้ำและทำงานสวนอีกเล็กๆ น้อยๆ จนเสร็จเรียบร้อย จึงเอาเวลายามว่างไปนั่งพูดคุยแก้เหงากับกลุ่มบอดี้การ์ดกลุ่มเดิมที่มักจะมานั่งเล่นด้วยประจำ
“ไงเทียนวันนี้งานเสร็จเร็วหรอ” เรชินเอ่ยทักเมื่อเห็นคนสวนร่างเพรียวเดินเข้ามา
“ครับ วันนี้ไม่มีอะไรให้ทำเยอะ เลยเสร็จเร็วกว่าปกติน่ะครับ” เบต้าทิ้งก้นลงบนพื้นหินอ่อนข้างชายผู้กล่าวทักทายพร้อมกวาดตามองรอบๆ โต๊ะอย่างแปลกใจเมื่อบนโต๊ะกลมมีเพียงเรชิน ซากุและโทโมยูกิเท่านั้นซึ่งนับว่าน้อยกว่าปกติ
อีกทั้งบรรยากาศยังดูอึมครึมทั้งที่แสงแดดแผ่จ้าบนหัว นั่นเพราะอัลฟ่าร่างน้อยกว่าใครอย่างซากุนั่งหน้าหม่นไม่รับแขกตั้งแต่หัววัน ทั้งที่ปกติมักยิ้มแย้มพลอยให้รอบข้างดูสดใสอยู่ตลอดเวลา
“แล้วนี่ไปไหนกันหมดครับ ทำไมวันนี้คนน้อยจัง แล้ว..ทำไมคุณซากุหน้าตาเป็นอย่างนั้นล่ะครับ” ประโยคสุดท้ายเบต้าเอี้ยวตัวกระซิบถามเรชินเบาๆ
ชายเบต้าอีกคนถอนหายใจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักอก และไม่ได้กระซิบกระซาบตอบอย่างที่ผู้ถามทำ “โดนพี่ใหญ่สั่งห้ามไม่ให้ตามไปด้วยน่ะครับ หน้าเลยออกมาเป็นอย่างนั้น”
“หืม? ไปไหนหรอครับ”
“เหมือนว่าจะตามนายท่านไปทำงานนะครับ”
หยดเทียนพยักหน้าเข้าใจ ถึงว่าไม่เห็นนายท่านออกมาทานกาแฟเพราะต้องรีบไปทำงานนี่เอง
“เอ่อ..ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวคุณคาซามก็กลับมาแล้ว” หยดเทียนเอ่ยปลอบใจแต่ดูเหมือนว่าร่างน้อยจะยิ่งส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจแถมยังเบะปากจะร้องไห้อย่างแง่งอนทำให้ผู้ปลอบไปต่อไม่เป็น
“ปล่อยเขาไว้อย่างนั้นเถอะครับ อีกเดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง” เรชินว่าพลางส่ายหัวแล้วมองคนสวนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ สลับกับมองพี่ใหญ่ที่นั่งเงียบอย่างเหนื่อยใจไม่แพ้กัน
อัลฟ่าหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าทะนงเดินวางท่าเข้ามาในบริษัทอีนิกซ์ตามเวลาที่นัดหมาย พร้อมเลขาและบอดี้การ์ดสามนายที่คอยอารักขาดูแลความปลอดภัยของเจ้านายอย่างไม่ห่างตัว
ไกรกฤต ชายหนุ่มมาดเท่ผู้นั่งในตำแหน่งประธานบริษัทเซลนีวา ผู้นำเข้าเคมีภัณฑ์ทั่วโลก ซึ่งได้ถือว่าเป็นบริษัทที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียงในตลาดไม่ด้อยไปกว่าอีนิกซ์ ทั้งยังโด่งดังในวงการบันเทิงไม่แพ้ดาราเพราะมีหน้าตาหล่อเหลาที่แม้ไม่ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากบิดา ก็สามารถเป็นนักแสดงนำระดับประเทศได้ง่ายๆ
ไกรกฤตและเอย์จิมีโอกาสได้ทำความรู้จักกันเพียงผิวเผิน เมื่อตอนเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันเกิดของนักการเมืองอย่างว่าวิศนัย และหลังจากนั้นไม่นานเกินสองเดือนบริษัทที่มีชื่อเสียงในเครืออุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์อย่างเซลนีวา ก็ยื่นข้อเสนอขอเจรจาร่วมธุรกิจกับอีนิกซ์ที่เป็นบริษัทส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้ามา
ในครั้งแรกเรื่องนี้ถูกท่านประธานของอีนิกซ์ปัดตกไป เพราะถึงแม้ว่าเซลนีวาจะเป็นบริษัทอันดับต้นๆ ในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ และจะเป็นผลดียิ่งหากข่าวการร่วมมือระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่แพร่กระจายว่อนทั่วโซเชียลและช่องข่าวหลากช่อง
แต่กระนั้นข่าวฉาวอันดำมืดของผู้นำบริษัทเซลนีวาคนใหม่ที่กระจายอยู่ในแวดวงนักการเมืองก็มีอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน จึงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นักหากเอย์จิจะพาบริษัทเข้าไปติดร่างแหสีดำให้บ่อนทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมาให้หมองไปเสียเปล่าๆ
แต่ทว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน มีสายรายงานมาว่าหนึ่งในตระกูลย่อยของอิวามุโระกำลังเจรจาธุรกิจลับกับผู้มากอำนาจของประเทศนี้ ประจวบเหมาะกับข่าวสีเทาที่ติดป้ายตัวใหญ่อยู่บนหน้าของไกรกฤต ทำให้เขาเข้าข่ายเป็นหนึ่งในอีกหลายคนที่เอย์จิสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าควรลากไกรกฤตให้มาอยู่ใกล้ตัวมากที่สุด ดีกว่าปล่อยให้ห่างไกลตัวแล้วจับตามองลำบาก
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! แกร๊ก…
เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากรองประธานที่เคาะบอกเจ้านายผู้นั่งรออยู่ด้านในว่าตอนนี้แขกมาถึงแล้ว เอย์จิปิดแฟ้มเอกสารลงแล้วจัดระเบียบร่างกายและวางท่าให้สมกับเป็นผู้นำ ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก
“คุณผู้ช่วยชุดดำกรุณารอข้างนอกนะครับ” ยูกิเอ่ยด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรแม้สร้างด้วยเสแสร้ง แต่ชายร่างกำยำทั้งสามก็หาได้ฟังไม่ พวกเขาเดินผ่านหน้ายูกิและยังบุ่มบ่ามจะตามเจ้านายเข้าไปอีกต่างหาก ทำให้เนื้อข้างตากระตุกอย่างไม่พอใจอยู่เนืองๆ กระทั่งไกรกฤตต้องยกมือออกคำสั่งให้ทำตัวตามที่ท่านรองประธานบอก พวกเขาจึงยอมหยุดแล้วโน้มตัวเคารพเดินออกไปรออยู่ด้านนอก
ประตูทึบกันเสียงถูกปิดลงพร้อมด้วยท่านประธานบริษัทเซลนีวาและเลขาคนสนิท เดินเข้ามานั่งโซฟาที่ถูกจัดต้อนรับแขก และยูกิเองก็เดินมายืนอยู่ด้านหลังคอยอารักขาและเป็นที่ปรึกษาให้ท่านประธานของตัวเอง
“สวัสดีครับคุณเอย์จิ ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ” เพียงนั่งลงได้ไม่นาน น้ำเสียงทุ้มผยองก็เอ่ยขึ้นก่อนยกแก้วน้ำที่ถูกจัดไว้ให้ดื่มอย่างไม่ค่อยรักษามารยาท แต่กระนั้นออร่าความเป็นผู้นำที่จับประดับก็ถือว่าไม่เลว
มุมปากหยักยกขึ้นเล็กน้อยให้กับความโอหังตั้งแต่แรกเริ่มของคู่ค้าก่อนที่คำเอ่ยเปิดสนทนาจะเริ่มขึ้น
“สวัสดีครับคุณไกรกฤต” รอยยิ้มประดิษฐ์ของนักธุรกิจหนุ่มกำลังคลี่ยิ้มอย่างเสแสร้งให้อีกหนึ่งบริษัทที่ต้องเฝ้าสังเกตการณ์
“ไม่ต้องมากพิธีหรอกครับ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า” ว่าจบลาดไหล่กว้างก็เอนพิงโซฟาอย่างสบายตัวอย่างไม่เขินอายทั้งที่ประโยคเมื่อครู่น่าจะเป็นฝ่ายของผู้บริหารอีนิกซ์แท้ๆ จนเลขาหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบยกมือกุมขมับหน่ายใจในพฤติกรรมของเจ้านาย
นัยน์ตาสีดำขลับขยายใหญ่ขึ้นอย่างสนใจพร้อมกับขาหน้าใหญ่ที่พลิกขึ้นไขว่ห้างบ้างอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน
“อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าบริษัทของเรานำเข้าเคมีภัณฑ์ทั่วโลก มีโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายที่และบริษัทหลายบริษัทที่เป็นคู่ค้ากันมานาน แทบจะไม่ต้องโฆษณาอะไรมาก เซลนีวาก็เป็นที่รู้จักกันในแวดวงอุตสาหกรรมประเภทนี้อยู่แล้ว และผมเชื่อว่าคุณเองก็คงเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง” เสียงทุ้มห้าวหาญร่ายความยิ่งใหญ่และโด่งดังของบริษัทตัวเองด้วยความมั่นใจในดวงตาว่าเซลนีวาก็ไม่เป็นสองรองใคร
เอย์จิยกยิ้มแล้วตอบ “แน่นอนอยู่แล้วครับ”
บทสนทนาระหว่างท่านประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสอง ดำเนินไปโดยมีเลขาและรองประธานที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเอ่ยแทรกและออกความคิดเห็นขัดเป็นบางครั้ง ผลัดกันถามผลัดกันตอบอย่างไม่มีท่าว่าจะอ่อนข้อให้กันง่ายๆ แม้จะรู้ว่าอย่างไรเสียในอนาคตอันใกล้ บริษัทของตนและของคู่เจรจาก็ได้ร่วมงานกันอยู่แล้ว
กระทั่งเวลาผ่านมานานราวเกือบสองชั่วโมง การเจรจาข้อตกลงจึงเดินทางมาถึงจุดสุดท้าย
ไกรกฤตที่ผายกายนั่งอย่างสบายใจในช่วงแรก บัดนี้กลับนั่งวางมือประสานกันบนหน้าขาด้วยดวงตาที่จริงจังผิดกับตอนแรก เมื่อเห็นว่าผ่านมาขนาดนี้แล้ว คู่สนทนายังคงนั่งยิ้มไม่แสดงท่าทีสนอกสนใจในข้อเสนอของตัวเองราวกับไม่ได้แยแสสักนิด หากการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ
“ผมขอพูดตรงๆ เลยแล้วกันครับ คุณลองคิดดูสิครับว่าถ้าบริษัทของเราร่วมมือกันแล้วจะตีตลาดคู่แข่งได้ขนาดไหน บริษัทอีนิกซ์ได้บริษัทชื่อดังอันดับต้นๆ ของประเทศและขึ้นชื่อเรื่องใจบุญสุนทานที่บริจาคการกุศลหลายล้านบาทต่อปี ..คุณเอย์จิไม่คิดว่าด้านนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทของคุณหรือครับ แล้วผมก็กล้าเอาชื่อเสียงของเซลนีวาเป็นเครื่องประกันเลยว่าหากเราร่วมงานกัน คนตั้งครึ่งประเทศ ไม่สิ..ทั้งประเทศต้องให้ความสนใจกับข่าวนี้อย่างแน่นอน” ข้อเสนอที่แฝงความหลงตัวและความทะนงในความยิ่งใหญ่ลงไป ทำให้อัลฟ่าหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าบริษัทอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างไร
แต่เขาลืมไป..เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังของคนคนนี้คือพ่อผู้เป็นมาเฟียนี่นะ ก็คงไม่แปลก
“แน่นอนครับว่ามันคงสร้างความตกใจให้คนในประเทศและต่างประเทศอยู่ไม่น้อย แต่คุณมั่นใจได้ยังไงครับว่าบริษัทของผมจะได้ผลประโยชน์มากพอกับความเสี่ยงครั้งนี้ หากให้พูดกันตรงๆ บริษัทของคุณก็ใช่ว่าจะมีชื่อเสียงด้านดีไปเสียทั้งหมด คงจะไม่คุ้มกระมังครับ..หากผมพาบริษัทที่กำลังไปได้ดีไปตกหล่มเข้า”
ไกรกฤตยกยิ้มกลบอารมณ์ขุ่นมัวเพราะอีกฝ่ายช่างสรรหาคำถามมาจี้ข้อด้อยของเขาได้เจ็บแสบดีจริงๆ “ก็ไม่ผิดหรอกครับที่คุณจะกังวล แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวงขนาดนั้นครับ เพราะถึงยังไงบริษัทของเราก็ทำความดีช่วยเหลือกองทุนสำหรับผู้ยากไร้และมูลนิธิอยู่ค่อนข้างมาก มากกว่าด้านไม่ดีเสียอีกครับ อย่าลืมสิครับ เราต้องโฟกัสคนที่หวังดีไม่ใช่ไปสนใจคนที่จ้องแต่จะปาโคลนใส่ แล้วคนสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะสนใจเรื่องของคนอื่นมากมายขนาดนั้นครับ แล้วอีกอย่าง...บริษัทของเราก็เตรียมบุคลากรจัดการแก้ปัญหาเรื่องนี้เอาไว้โดยเฉพาะ ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกครับ”
บุคลากรที่เตรียมเอาไว้เพื่อจัดการปัญหาด้านนี้โดยเฉพาะ? คงไม่ใช่การส่งคนไปฆ่าแกงกันหรือหาทางให้ผู้นั้นล้มละลายจนไม่แม้แต่เศษสลึงหรอกกระมัง
ยูกิแสนจะไม่พอใจคู่สนธนาของเจ้านายแทบอยากจะเดินเข้าไปกระทืบสั่งสอน ช่างกล้าวางท่าใหญ่โตใส่นายเหนือหัวอย่างโอหัง ต้องมีสักวันที่เขาต้องได้กระโดดเตะก้านคอมันสักครั้ง
ผิดกับเอย์จิที่นั่งชมอย่างชอบใจในทักษะการพูดเอาดีเข้าตัวของไกรกฤต แม้จะรู้ว่าชายผู้มีสกุลอิวามุโระคือใครก็ยังไม่หัดเกรงใจแลเอ่ยวาจาห้าวหาญใส่ดั่งผู้ไม่เคยเรียนรู้มารยาท ซ้ำบางคำยังเหน็บแนมอย่างไม่กลัวตาย เขาอยากรู้นักว่าหากชายคนนี้ไร้คนหนุนหลังอย่างบิดาแล้ว มันจะดิ้นรนหาหนทางใดไปต่อ
“ตกลงครับ”
ทันทีที่ประโยคตอบรับดังออกมาจากปากของท่านประธานของอีนิกซ์ ไกรกฤตก็ยกมุมปากขึ้นพร้อมเลิกคิ้วอย่างพอใจ
“ยินดีที่ได้ร่วมงานนะครับ”
“เช่นกันครับ”
จบบทสนทนาการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ครอบครองกิจการอันใหญ่โตที่โลดแล่นอยู่ในแวดวงสังคมไทย ไกรกฤตหุบรอยยิ้ม ฉายแววตาจริงจังมากกว่าแต่ก่อนและหันมองหน้าเลขาข้างกาย ก่อนจะสะบัดส่ายศีรษะหมายให้ออกไปรอข้างนอก
ยูกิเองที่เห็นท่าทีของอีกฝ่ายเช่นนั้นจึงโน้มตัวกระซิบบอกเจ้านาย แล้วเดินตามเลขาของไกรกฤตออกไป ปล่อยให้เจ้านายนั่งเจรจาธุรกิจในที่มืดอย่างรู้งาน
“ตอนนี้เหลือแค่เราแล้วนะครับ คุณไกรกฤตคงไม่ได้มาหาผมเพียงเพราะคุยธุรกิจในที่โล่งเพียงแค่เรื่องเดียวใช่ไหมครับ” เอย์จิกล่าวอย่างรู้เท่าทันเพราะหากพิจารณาให้ดีๆ ถี่ถ้วนแล้ว ไม่มีทางที่ไกรกฤตจะกระตือรือร้นมาว่าธุรกิจกันก่อนถึงวันกำหนดตกตามที่คณะบริหารทั้งสองบริษัทตกลงกันไว้ หากแต่มีเรื่องลึกลับซับซ้อนในมุมมืดที่ไม่สามารถเสวนากันในที่สว่างอย่างโจ่งแจ้งได้
“ปิดผู้นำคนต่อไปของอิวามุโระไม่ได้เลยสินะครับ” ไกรกฤตว่าด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ใบหน้าหล่อเหลายังคงยกยิ้มตามเคยจึงยากที่จะคาดเดาว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ก่อนที่ร่างนั้นจะลุกจากโซฟาเผยความสูงทะนงทรงสง่า แล้วเดินไพล่หลังอย่างสุขุมหยุดยืนทอดดวงตาดูทิวทัศน์นอกกระจก
“ว่ามาเถอะครับ”
ไกรกฤตยกอกถอนหายใจยิ้มอย่างเคืองๆ เพราะแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงวาจายโสหรือเสียดสีมากเท่าใด แต่การกระทำกลับแสดงออกว่าเอย์จิหาได้ให้ความเคารพตนไม่ มีหรือใครที่ไหนจะกล้าหันหน้าหนีเมื่อประธานบริษัทใหญ่โตสนใจจะสนทนาด้วย แต่ก็หาใช่ว่าไกรกฤตจะสามารถโวยวายได้เหมือนกับที่อื่น เพราะอย่างไรเสีย ชายคนนี้ก็ได้รับศักดิ์เป็นผู้นั่งเก้าอี้ผู้บริหารบริษัทใหญ่โตคับประเทศจึงไม่ผิดแปลกนักหากจะมีท่าทีหยิ่งยโสกันบ้าง
“ผมพึ่งเปิดกิจการใหม่เมื่อเร็วๆ นี้เลยนึกอยากโฆษณาให้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากโดยเฉพาะในต่างประเทศ ผมคิดว่า...หากได้ตระกูลของคุณอิวามุโระมาร่วมมือกันพวกเราคงไปได้สวย” เรียกสกุลกันเช่นนี้เห็นทีคงไม่ใช่แค่อยากให้ตัวเขาช่วยแล้วกระมัง
ชายหนุ่มขยับข้อมือที่ถือแก้วน้ำวนไปมาพลางจ้องมองของเหลวในแก้ววนเป็นวงรอคำตอบ
“บริษัท? บริษัทอะไรล่ะครับ” ใบหน้าซีกงามเอี้ยวหาคู่สนทนาพร้อมชายหางตาแลท่าทีของคู่สนธนาว่าจะเป็นเช่นไรต่อ
ไกรกฤตยิ้มอย่างมีเลสนัยด้วยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงรู้เรื่องตนมาบ้างแล้วซ้ำอาจจะรู้ลึกยิ่งกว่าที่คาดการเอาไว้เสียอีก ว่านอกจากที่ทำธุรกิจสีขาวแล้วตนยังมีธุรกิจสีใดอยู่บ้าง
“การขนส่งสินค้าน่ะครับ มีทั้งบนบกทั้งทางน้ำ ทางอากาศ...และทางใต้ดิน รับรองว่าส่งของอย่างรวดเร็วทันใจแน่นอนครับ” ชายหนุ่มยันตัวลุกจากโซฟาแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ คู่ค้าอย่างเอย์จิซึ่งพอดีกับคำพูดสุดท้ายจบลง
“ผมคิดว่าถ้าได้ผู้มากประสบการณ์เข้ามาช่วยแนะนำ ธุรกิจของผมน่าจะพัฒนาขึ้นไปอีกหลายขั้น เลยอยากได้คนชำนาจชำนาญอย่างตระกูลคุณมาช่วยชี้แนะ”
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยประโยคอะไรออกมาก็ยิ่งเสริมข้อมูลเก่าให้เอย์จิมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่า ชายคนนี้นี่แหละคือหนึ่งในคู่ค้าธุรกิจมืดของคนชั่วที่บังอาจป้ายสีใส่ตระกูลอิวามุโระ
“เสียดายจริงๆ ครับที่ตระกูลเราไม่ได้ทำธุรกิจอย่างที่คุณไกรกฤตว่า ไม่อย่างนั้นคงให้คำแนะนำอย่างเต็มที่ไปแล้วล่ะครับ”
“เอาน่า ไม่ต้องปิดบังกันหรอกครับ คุณเองก็มีเหรียญในมือเหมือนกัน พลิกด้านหลังขึ้นมาบ้างจะเป็นไรไป ถือซะว่าคุณเอย์จิช่วยผมส่วนผมก็ช่วยคุณ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วครับ แต่เอ้.. จะว่าไปทางนู้นก็กำลังวุ่นวายอยู่นี่ครับ ให้ผมเข้าไปช่วยประคับประคองหน่อยก็ดีนะครับ” ไกรกฤตเลิกคิ้วพร้อมยกมุมปากคิดว่าตนอยู่เหนือกว่าเพราะรู้ข้อมูลและความเป็นไปของอิวามุโระจากเส้นสาย ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้ข้อมูลนี้มาจากผู้ใด ไกรกฤตจึงผยองตัวอวดความเขลาอย่างไม่เกรงกลัว
‘ข่าวไวจังเลยนะ’ ดวงตาคมฉายแววพอใจพลางหันมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มที่น่าขันในความเบาปัญญาของประธานบริษัทเซลนีวานัก
“เช่นนั้นผมจะรับไว้พิจารณาแล้วกันครับ”
“หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกงานเร็วๆ นี้นะครับ” ไกรกฤตว่าพลางยื่นมือขวาออกมาหวังจะสานสัมพันธ์ลับกับคู่ค้ารายใหญ่
“เช่นกันครับ” ว่าจบ มือประดับเส้นเลือดปูดโปนของทั้งสองฝ่ายก็ประกบกัน แต่งเติมรอยยิ้มเสแสร้งที่ต่างคนต่างแสดงออกมาราวนักมายากลร้อยหน้ากาก ก่อนที่ไกรกฤตจะกล่าวร่ำลาและเดินวางท่าออกไปในที่สุด
“เป็นยังไงบ้างครับนาย” ยูกิรีบเดินเข้ามาหลังจากที่คู่ค้าเดินออกไปได้ไม่นานพร้อมเอ่ยถามเจ้านายถึงเรื่องทั้งหมด
“เป็นไปตามที่คิด” รอยยิ้มน่าขนลุกปรากฏออกมาจากริมฝีปากของท่านประธานอีนิกซ์ ช่างเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจนักที่อยู่ๆ หนูตัวใหญ่ก็วิ่งเข้ามาติดกับดักที่พร้อมจะหนีบคอให้สิ้นใจในคราเดียวได้ง่ายๆ หากประมาทแม้เพียงเล็กน้อย