ตอนที่ 29 นายท่านกลับบ้านเกิด

3442 Words
ดวงจันทร์ลอยเด่นเหนือน่านฟ้าสยายแสงเจิดจ้า ฝ่าความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุดมาตกต้องดวงตา ละอองเกสรไม้หอมปลิวสะบัดคละเคล้าเล่นลมอ่อนก่อนพัดกระทบผิวขาวสะท้อนแสง ปรากฏเค้าร่างชายสูงที่ยืนรับอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืนนอกระเบียง เชยชมดวงดาวพราวระยิบและสูดกลิ่นกรุ่นดอกมาลาอย่างเคลิบเคลิ้มพลอยให้หวนคำนึงถึงคนอีกผู้ แววตาลุ่มลึกทอดมองแปลงดอกไม้บานสะพรั่งแข่งกับดวงจันทร์อย่างพินิศคิดถึงคนปลูก ก่อนขมวดเรียวคิ้วเข้มเมื่อรู้ตัวว่าสมองและก้อนเนื้อข้างซ้ายมันทำงานแปลกๆ ผิดไปจากเดิมอีกแล้ว เหตุเพราะมันเอาแต่ฉายภาพของเบต้าในปกครองรบกวนสมองอยู่ซ้ำๆ จนบางครั้งเจ้าของร่างต้องทึ้งหัวสลัดความสับสนแต่กลับไม่เป็นผล ราวกับมันยึดเกาะและฝังรากแก้วลงในเซลล์สมองของเขาไปเรียบร้อยแล้ว และพอยิ่งคิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน เจ้าหัวใจก็ยิ่งเต้นตึกตักเสียงดังจนต้องเอามือกอบกุมไว้แล้วแอบยิ้ม ช่างเหมือนเด็กชายวัยแรกแย้มที่เพิ่งหัดมีความรักอย่างไรอย่างนั้น เฮ้อ.. ละอองลมหายใจถูกพ่นขึ้นบนฟ้าสลายไปกับธาตุอากาศ ดวงตาเงยชมจันทร์สีหม่นด้วยความอ่อนล้าบ้างก็หนักใจ ด้วยมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้คิดนับสิบเรื่อง ตีกันจนอลหม่านเสียจนสมองยุ่งเหยิง ไม่รู้จะเรียบเรียงเอาเรื่องไหนขึ้นมาคิดก่อน แต่กระนั้นก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับตอนนี้ ที่คิดว่าตนควรกลับไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าได้แล้ว เอกลิ่นสาบจิจึงทึ้งขมับพยายามสลัดเรื่องทั้งหมดทิ้งแม้รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ได้ผล ก่อนจะสาวเท้ากลับเข้าไปด้านในห้อง เฮ้อ.. แต่กลับหาใช่เอย์จิคนเดียวเสียที่ไหนกันที่กำลังเผชิญหน้ากับความรู้สึกสับสนหัวใจ เพราะเจ้าตัวกลมดิ๊กที่คุดคู้อยู่ในกองผ้าห่มก็ถอดถอนหายใจอย่างไม่เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองเช่นกัน ร่างเพรียวพลิกตัวนอนหงายพร้อมเอามือยกก่ายหน้าผากอย่างคิดหนัก เพราะหยดเทียนตระหนักรู้ชัดถึงความจริงในจิตใจที่กำลังเผชิญอยู่ ทว่ากลับไม่อยากยอมรับความจริงว่าท้ายที่สุด เขาดันแอบคิดกับนายท่านไปไกลเกินกว่าคำว่าเจ้านายจนได้ ทั้งที่คล้องโซ่หัวใจเอาไว้ดีแล้วแท้ๆ หยดเทียนตรึกตรองวนไปวนมาอยู่ซ้ำๆ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เปลี่ยนแปลงจึงแอบน้ำตารื้นเพราะรู้ว่าเรื่องที่คิดไม่มีสิทธิเป็นไปได้แม้เพียงเสี้ยวเดียว หากแม้โชคดีสวรรค์เห็นใจมอบหยกประทานพรให้คนอย่างไอ้หยดเทียนได้มีโอกาสเคียงกายกับนายท่าน ก็เห็นทีจะเป็นเรื่องน่าขำขันเพราะมันคงเป็นได้เพียงน้อยเคียงคู่ชายผู้มีภรรยา หยดเทียนลอบคิดในใจแล้วยิ้มเย้ยหยันเวทนาตัวเองนัก เวลาล่วงเลยมาจนถึงช่วงเช้าราวแปดนาฬิกา เบต้าผู้ตาคล้ำหมองราวกับเมื่อคืนไม่ได้หลับนอนกำลังยืนทำหน้าที่ประจำในทุกๆ เช้านั่นคือการรดน้ำดอกไม้และต้นไม้ในสวนทั้งหลังบ้านและนอกบ้าน มือสากกำสายยางฉีดค้างแปลงดอกไม้แปลงเดิมอย่างเลื่อนลอย จนน้ำเอ่อท่วมแปลงดอกไม้ไหลทะลักออกไปด้านข้าง ไม่แน่ว่าวิญญาณอาจลอบเกาะกระเป๋าของเจ้านาย ตามขึ้นเครื่องบินไปญี่ปุ่นแล้วก็เป็นได้ “เทียนดูซึมๆ เนอะ นอนไม่อิ่มหรือเปล่า?” ซากุชายอัลฟ่าที่นั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นล่ำซำถัดออกไปไม่ไกลเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ กันอย่างสงสัยพลางสังเกตท่าทางของเบต้าไปด้วย เหตุที่ซากุได้มานั่งตัวติดหนึบเป็นฝาแฝดกับเรย์ทั้งที่ปกติมักจะตัวติดกับคาซามและพี่ๆ บอดี้การ์ดกลุ่มประจำ นั่นเพราะริวกะออกคำสั่งให้รองหัวหน้าซ้ายขวาและคนในกลุ่มติดตามเจ้านายกลับญี่ปุ่นไปด้วย เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยให้ครบด้าน แต่ทว่าเหมือนหัวหน้าอยากกลั่นแกล้งเลยเว้นชื่อของซากุไว้เพียงคนเดียวโดยให้เหตุผลว่าควรมีคนอยู่เฝ้าบ้าน ทั้งที่บอดี้การ์ดนายอื่นก็มีมากจนเกลื่อนบ้านอยู่แล้ว ซากุขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยไม่อยากยอมรับและอยากยกมือแย้งไม่เห็นด้วยใจจะขาด แต่เพราะริวกะขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าผู้มีความโหดร้ายอยู่เสมอกับความเก่งกาจจึงไม่อาจกล้าปริปากเถียง เลยได้แต่กัดปากสั่นรับคำสั่งอย่างน้ำตาตกใน สิ้นแผ่นหลังของหัวหน้า ซากุก็นั่งฟุบโต๊ะร้องไห้สะอึกสะอื้นยกใหญ่ พวกพี่ๆ เอาขนมมาปลอบมาล่อใจก็หายสะอื้นอยู่เพียงชั่วครู่แล้วกลับมานั่งน้ำตาเจิ่งนองเสียใจราวกับพวกเขาตาย จนคาซามทนความงอแงต่อไปไม่ได้จึงออกอุบายว่า หากตนกลับมาแล้วจะตามใจให้หนึ่งวัน ซากุได้ยินเช่นนั้นจึงยอมเงียบปากเช็ดน้ำหูน้ำตาป้อยๆ แล้วยิ้มได้ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมช่วงนี้ทุกคนในบ้านมักจะเห็นว่ามีปาท่องโก๋เดินได้ เดินเตร็ดเตร่ทั่วทั้งบ้าน “น่าจะฟ้าครึ้มแดดไม่ออกมั้งพี่ หัวหน้าดอกไม้ของนายท่านเลยสังเคราะห์แดดไม่ได้ เลยหงอยๆ ซึมๆ แบบนั้น” เรย์เอ่ยตอบขณะที่สายตาก็ยังคงจดจ้องหยดเทียนอยู่ไม่ห่างเช่นกัน ซากุขมวดคิ้วงงพลางหันมามองหน้ารุ่นน้องเขม็งก่อนจะเลิกคิ้วสูงและพยักหน้าเข้าใจ เมื่อคิดว่าเรย์อาจจะหมายความว่าคนดูแลสวนอย่างหยดเทียนอาจจะเศร้าซึม เมื่อเห็นดอกไม้และพืชพันธุ์สุดที่รักไม่ได้รับสารอาหารจากแดดก็เป็นได้ เลยรดน้ำจนท่วมแปลงเพื่อทดแทนแดดงั้นหรอ? อันนี้ซากุว่ามันแปลกๆ นะ ... เครื่องบินเจ็ทลำแพงค่อยๆ แลนด์ดิ้งลงบนรันเวย์ของท่าอากาศยานส่วนตัว ณ ดินแดนซากุระอย่างนุ่มนวลและปลอดภัยหลังจากที่ลอยลมอยู่บนน่านฟ้านานหลายชั่วโมง เสียงใบพัดหมุนติ้วด้วยความเร็วค่อยๆ เงียบลงก่อนจะหยุดแน่นิ่งแล้วจึงมีชายชุดดำร่างใหญ่ลุกขึ้นมาเปิดประตูบานหนาออก “เชิญครับนาย” เสียงนอบน้อมเงียบลง ร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีดำยาวถึงเข่าสวมทับเสื้อคอปีนพร้อมกับสวมแว่นดำปกปิดดวงตา สาวเท้าเดินนำลงมาด้วยท่าทีสุขุมไม่รีบร้อน ก่อนบอดี้การ์ดนับสิบคนที่ยืนไพล่หลังรอเจ้านายจะพุ่งเข้ามาประกบตัวเอย์จิระวังภัยให้รอบทิศ แม้ว่าเส้นทางจากเครื่องบินและรถยนต์ที่จอดรอรับจะไม่ห่างไกลกันเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อเดินมาถึงรถแวนคันสีดำขัดเงาที่ถูกเปิดประตูรอรับ ชายชุดดำผู้เป็นคนขับและบอดี้การ์ดประจำตระกูลอีกหลายนายรีบโน้มคำนับต่อท่านทายาทผู้นำและมือขวาที่เดินผ่านหน้าตนเข้าไป แล้วต่างฝ่ายต่างรีบเร่งเข้าประจำที่ของตัวเองและรถก็แล่นออกไป ใบหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์ให้คาดเดาทอดมองวิวรอบทางที่เต็มไปด้วยต้นซากุระผลิดอกสีสวยให้ได้ชมอยู่รอบข้าง ผู้คนต่างควงคู่กันมาเที่ยวชมและเก็บภาพกันอย่างหนาแน่นเต็มทั่วทุกพื้นที่ เอย์จินั่งเงียบก่อนดวงตาเฉี่ยวจะเปล่งประกายเล็กน้อย เมื่ออยู่ๆ ก็เผลอคิดว่าหากพาคนคนนั้นมาด้วย แววตาคงสว่างแวววับดั่งลูกแก้วอยู่ตลอดทางพลางซักถามไม่หยุดเป็นแน่ว่ามันสามารถนำกลับไปปลูกไว้หลังบ้านได้หรือเปล่า คิดแล้วก็กระตุกยิ้มคนเดียวจนมือขวาที่นั่งข้างๆ เอียงมุมคิ้วสงสัย ก่อนอีกไม่กี่นาทีถัดมาชายหนุ่มจะเอื้อมมือปิดม่านหน้าต่างลงบดบังแสงแดดอ่อนของฤดูใบไม้ผลิเพื่องีบหลับสักครู่ “ถึงแล้วครับนาย” ริวกะเอ่ยเสียงเรียบเช่นทุกครั้งปลุกเจ้านายที่เอนกายพิงเบาะนุ่มพักผ่อนให้รู้สึกตัว ทำให้เอย์จิลืมตาขึ้นมาฉายสีหน้าเหนื่อยล้าครู่หนึ่งก่อนเปลี่ยนมาเป็นปกติเช่นเดิม อัลฟ่าหนุ่มก้าวขาลงจากรถยืนประจันหน้ากับคฤหาสน์อิวามุโระหลังใหญ่ที่คงความงดงามแบบโบราณ เพื่อรักษากลิ่นอายเก่าแก่ของตระกูลอิวามุโระที่มีมานับร้อยปี แต่กระนั้นก็ไม่ได้เก่าแก่จนแลดูไม่ทันสมัย เพราะแม้จะเรียกว่าโบราณแต่วัสดุที่ใช้ต่อเติมหรือซ่อมบำรุงคฤหาสน์กลับเป็นวัสดุสมัยใหม่ที่คุณภาพดี เพียงแต่ยังคงรูปลักษณ์สมัยเก่าเอาไว้เพียงเท่านั้น เอย์จิยืนนิ่งเหลือบมองบ้านเกิดอยู่พักใหญ่ก่อนถอนหายใจเบา แม้เขาจะคิดถึงที่นี่แต่กลับไม่อยากย่างกรายเข้าไปเพราะรู้ดีว่าด้านในเต็มไปด้วยกลิ่นสาบของพวกชอบประจบเอาใจ เบื้องหน้าอีกอย่างและเบื้องหลังอีกอย่าง เขาขี้คร้านจะปั้นหน้าสู้ แต่แม้จะรู้สึกเช่นไรก็ต้องจำใจเดินนำคนสนิทเข้าไป เพื่อรายงานการกลับมากะทันหันต่อผู้นำตระกูลสูงสุด ทันทีที่ร่างสูงโปร่งทรงสง่าย่างเท้าเข้ามาภายในคฤหาสน์ เหล่าข้ารับใช้และผู้ใหญ่ในตระกูลที่แวะเวียนกันเข้ามาพบท่านผู้นำต่างตื่นตกใจ เพราะไม่มีรายงานมาล่วงหน้าว่าท่านทายาทจะกลับมา ต่างคนต่างละล่ำละลักรีบก้มหัวคารวะกันให้ว่อน เอย์จิตอบรับและทักทายกลับอย่างนอบน้อมด้วยความเสแสร้งแล้วเดินผ่านไป โชคดีที่วันนี้ไม่มีการประชุมกันภายในจึงไม่มีการรวมตัวเหล่าบุคคลสำคัญของตระกูลให้วุ่นวาย เขาจึงไม่จำเป็นต้องปั้นหน้ายิ้มรักษาภาพลักษณ์ทายาทผู้อ่อนน้อมอยู่ตลอดเวลาให้เมื่อยกล้ามเนื้อปาก เอย์จิเดินลัดเลาะผ่านห้องหับไปตามระเบียงทางเดินที่ทอดยาวล้อมรอบสวนสีเขียวชอุ่มทรงกลม พื้นสวนดังกล่าวถูกปกคลุมด้วยกลีบดอกไม้สีชมพูขาวอันร่วงโรยลงมาจากต้นซากุระร้อยปีที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมแทบจะทั่วทั้งสวนเปรียบเสมือนเป็นใจกลางของคฤหาสน์ เอย์จิเดินไปไม่นานนักก็ถึงห้องพักที่มีสาวใช้ในชุดกิโมโนสีขาวคาดโอบิสีเงินเหลื่อมลายเรียบ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวใช้ที่คอยนั่งประจำอยู่หน้าห้อง ทำหน้าที่คอยเปิดปิดประตูโชจิ[1]ให้แขกเหรื่อที่ต้องการเข้ามาพบท่านผู้นำ หรืออีกนัยหนึ่งก็เปรียบดั่งว่าหากเธอนั่งอยู่หน้าประตูบานใด นั่นก็แสดงว่าหลังประตูบานนั้นมีเชื้อสายของเจ้าของคฤหาสน์พักอยู่ “นายน้อย!” อามิ เอ่ยด้วยความชินปากพลางแสดงสีหน้าตื่นตระหนกปนดีใจ เมื่อเห็นนายน้อยของเธอเดินมาแต่ไกล ก่อนจะรีบก้มศีรษะเคารพรอนายท่านที่กำลังเดินมาถึง เอย์จิยกยิ้มอย่างเอ็นดู อามิเด็กสาวโอเมก้าหน้าตาน่ารักที่เขารับเลี้ยงเมื่อสิบปีที่แล้ว มาบัดนี้เติบใหญ่เป็นสาวพราวเสน่ห์จนได้รับเลือกให้เป็นนางรับใช้ข้างกายท่านผู้นำ คอยรายงานผู้ที่ต้องการเข้าพบและเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูล เพราะด้วยความสวยดั่งดอกไม้แรกแย้มของเธอทำให้แขกเหรื่อถูกใจไม่น้อย หน้าที่นางรับใช้เปิดปิดประตูจึงเป็นดั่งด่านแรกของการสร้างความประทับใจให้แขกผู้มาเยือน จึงถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้พ่ายเรื่องอื่น “ฉันแก่เกินกว่าให้เธอจะเรียกว่านายน้อยแล้ว” “ขออภัยค่ะนายท่าน พะ พอดีมันเป็นคำติดปากของฉันไปแล้วน่ะคะ” อามิเงยหน้าขึ้นและกลับมานั่งหลังตรงเช่นเดิมพร้อมยิ้มหวาน เมื่อผู้มีพระคุณกลับมาหลังจากที่ไม่เจอหน้ากันเป็นปี “รายงานท่านผู้นำทีว่ามีคนมาขอพบ” “ค่ะนายท่าน” ว่าจบเธอก็เอ่ยเสียงหวานรายงานนายท่านที่นั่งอยู่ด้านใน ก่อนจะเอื้อมเรียวมือขาวเลื่อนบานประตูไม้ลายดอกซากุระออกพอให้ชายร่างโตเดินเข้าไปได้ จากนั้นจึงปิดประตูไว้เช่นเดิม เอย์จิรุดเข้ามาภายในห้องพลางคุกเข่าลงบนเสื่อทาทามิ[2] มองแผ่นหลังชายกลางคนในชุดยูกาตะสีเทาเข้มนั่งจิบชาหอมชมการประลองของชายฉกรรจ์ที่อยู่ใต้บัญชาอย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่อิทสึกิจะกล่าวด้วยเสียงนุ่มน่าฟังตามฉบับภาษาของประเทศนี้ “มาเร็วกว่าที่คิดไว้อีกนะนายน้อย” ริมฝีปากบางขยับทว่าสายตายังคงจดจ้องไปที่ลานประลองอยู่เช่นเดิม “ผมเพียงกลับมาสะสางงานที่กำลังวุ่นวายให้เสร็จเรียบร้อยโดยเร็วที่สุดก็เท่านั้นครับ” “ความวุ่นวายหรือ..” เสียงทุ้มลากเสียงยาวทำทีสงสัยผิดกับในใจที่รู้ดีว่ามันคือเรื่องอะไร “นายท่านน่าจะรู้ดีกว่าผมอยู่แล้วครับ” มุมปากยกยิ้มปราย “ยังเหมือนเดิมเลยนะเจ้าหลานคนนี้” เขาวางจอกน้ำชาลงก่อนเจ้าของดวงตาสีนิลจะหันใบหน้ามาเพียงครึ่งซีกเหลือบมองหลานชายคนเดียวของตน เผยให้เห็นใบหน้าที่แม้จะมีรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลาแต่กลับไม่สามารถบดบังโครงหน้าหล่อคมได้ เอย์จิไม่เอ่ยตอบใดๆ แลไม่ได้แสร้งยิ้มบดบังสีหน้าขรึมของตนไว้เช่นที่ทำกับคนอื่น เขาทำเพียงนั่งนิ่งชมการประลองของคนในตระกูลไปพลางๆ เท่านั้น ก่อนที่ไม่กี่อึดใจต่อมา เอย์จิจะขอตัวออกไปพักผ่อน เขาโน้มศีรษะคำนับผู้นำตระกูลก่อนจะถอยหลังแล้วลุกเดินออกมา ก่อนจะเดินจากไปก็ไม่ลืมส่งยิ้มให้อามิผู้เปรียบเสมือนน้องสาว “ท่านทายาทหรือครับ?” ในระหว่างที่เอย์จิกำลังก้าวเท้าไปยังคฤหาสน์ส่วนหลัง เสียงทุ้มแหบอันคุ้นหูของอัลฟ่าวัยกลางคนก็ดังขึ้นรั้งร่างสูงไว้ ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งเช่นปกติฉายแววถมึงทึงขึ้นมาเพียงเสี้ยววิก่อนเปลี่ยนกลับมายิ้มร่าสดใส แล้วหันไปประจันหน้ากับหนึ่งในผู้นำตระกูลย่อยทันที ผู้นำคุรุคากิรีบโค้งคำนับเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือทายาทผู้นำของตระกูลจริงๆ “คำนับท่านทายาท เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกันในวันนี้ครับ” เอย์จิยิ้มอย่างกระดากปากก่อนจะเอ่ยตอบ “ไม่เจอกันนานเลยนะครับท่านคุรุคากิ หวังว่าจะสบายดีนะครับ” ชายวัยกลางคนหัวเราะร่าพลางคลายมือที่ประสานกันไว้ด้านหน้าในตอนแรกกลับไปไพล่ไว้ด้านหลัง “ผมสบายดีครับ หวังว่านายท่านเองก็คงไม่เจ็บไม่ไข้เช่นกัน” คุรุคากิ ไดเซ็น ผู้นำตระกูลคุรุคากิคนปัจจุบัน ชายผู้นี้เป็นอีกหนึ่งต้นเหตุที่ทำให้เอย์จิรีบท่อมาถึงญี่ปุ่น ตามการสันนิษฐานของพ่อบ้านฮันกล่าวว่า ไดเซ็นน่าจะเป็นหนึ่งในผู้เฒ่าที่เห็นด้วยกับการเลื่อนงานหมั้นให้กระชับสั้นเข้ามา เนื่องจากได้ผลประโยชน์บางอย่างจากการสานสัมพันธ์ของอิวามุโระและชิราซากิครั้งนี้ “ผมสบายดีเช่นกันครับ คงต้องเสียมารยาทขอตัวกลับไปห้องพักก่อน หากมีโอกาสหวังว่าจะได้เสวนาหาประสบการณ์กับท่านผู้นำอีกครั้ง ผมขอตัว” “ผมหวังอย่างยิ่งครับ” ไดเซ็นยกมุมปากก่อนโน้มตัวคำนับอีกครั้ง ทว่าชายอายุน้อยกว่าเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจการกระทำและประโยคเสแสร้งแกล้งทำเป็นเคารพอย่างที่กล่าวออกมา “ช่างอวดดีเสียจริง” ดวงตาเฉี่ยวคมฉายแววเข้มอย่างน่าหวาดกลัวพร้อมกับปล่อยฟีโรโมนอันไม่น่าเข้าใกล้ออกมาโชยรอบตัวจนมือขวาที่เดินตามหลังขนลุกซู่ เอย์จิสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ระงับไอโทสะและบอกให้มือขวาไปพักผ่อน ก่อนตนเองเร่งฝีเท้าเดินมุ่งหน้าผ่านลานฝึกซ้อมที่เหล่าอัลฟ่าประลองฝีมือกันไปยังคฤหาสน์ด้านหลังด้วยความโหยหาอย่างถึงที่สุด “คุณย่า!” ทันทีที่สาวใช้เปิดประตูให้เข้ามา ชายอัลฟ่าก็พุ่งร่างหนาเข้ามากอดคุณย่าของตนอย่างคิดถึง ทำให้อิวามุโระ ดันคิหรือกอบัว ซึ่งเป็นโอเมก้าชายสะดุ้งโหยงเกือบทำเข็มเย็บผ้าในมือหล่นหายบนพื้น นายหญิงดันคิคือมารดาของอิวามุโระ อิทสึกิและอิวามุโระ อันจิ บิดาผู้ล่วงลับไปแล้วของเอย์จิ ควบตำแหน่งนายหญิงของตระกูล เนื่องจากท่านผู้นำรุ่นที่ 11 หรือรุ่นปัจจุบันไม่มีภรรยาให้แต่งตั้งเป็นนายหญิงข้างกาย ตำแหน่งดังกล่าวจึงยังคงดำรงอยู่ด้วยนายหญิงดันคิตั้งแต่รุ่นที่ 10 ล่วงเลยจนมาถึงรุ่นปัจจุบันและคงไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน หากหลานชายของเธอเลือกครองโสดเฉกเช่นบุตรชายคนโตผู้มีศักดิ์เป็นคุณลุงของเอย์จิ คุณกอบัวเหลือบมองคนที่วิ่งเข้ามากอดอย่างตกใจก่อนจะรู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่กลับเป็นหลานรักของตนเอง “โธ่เอ๊ย! เจ้าลูกหมาทำย่าตกใจหมด!” ดันคิว่าพลางวางเข็มปักผ้าลงบนโต๊ะก่อนจะกอดตอบหลานชายด้วยความคิดถึง “ก็หลานคิดถึงคุณย่านี่ครับ” ท่านทายาทนั่งคดคู้อยู่ในอ้อมกอดของคุณย่าราวกับลูกเจี๊ยบซุกอยู่ในตัวแม่ไก่ ช่างเป็นภาพหายากที่หากใครมาเห็นเข้าก็คงต้องตกอกตกใจไปตามๆ กัน เมื่อเห็นท่านทายาทที่ดูสดใสแต่บรรยากาศรอบกายกลับน่าอึดอัดและน่าเกรงขามอยู่ตลอดเวลาจะมีโมเมนต์เช่นนี้อยู่ด้วย เว้นแต่หญิงรับใช้ข้างกายของนายหญิงกอบัวที่นั่งยิ้มแก้มบานดูชินไปแล้ว “แล้วหลานกลับมาเมื่อไหร่ ทำไมไม่มีใครเข้ามาบอกย่าสักคน” เอย์จิคลายลำแขนแกร่งที่โอบรอบเอวของคุณย่าออก “หลานกลับมากะทันหันน่ะครับเลยไม่ได้แจ้งใครก่อน อีกอย่างตอนนี้หลานหิวมากๆ อยากทานฝีมือคุณย่าจังเลยครับ” อัลฟ่าร่างโตทำตาตกหน้าละห้อยพร้อมลูบท้องอย่างเด็กน้อยหิวข้าว จนคุณย่าต้องเอามือมาหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยว “คิดถึงย่าเฉพาะตอนหิวหรือยังไงเจ้าหลานคนนี้” “ไม่ใช่สักหน่อย หลานคิดถึงคุณย่ามากๆ เลยอยากทานข้าวกับคุณย่าไงครับ” ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าเข้าไปคลอเคลียแขนคุณย่าอย่างออดอ้อน ดันคิถอนหายใจกับนิสัยที่ชอบตามใจหลานแล้วรีบหันหน้าไปบอกคนสนิทข้างกายให้ไปเตรียมวัตถุดิบเอาไว้ เพราะอีกไม่นานเขาจะเข้าครัว “ฮึ อ้อนย่าเก่งปานนี้ไม่เห็นมีหลานให้ย่าเลยสักคน” “โธ่ คุณย่าก็อย่าเร่งหลานสิครับ” “ถ้าไม่เร่งแล้วเมื่อไหร่หลานจะแต่งงานมีลูกมีหลานให้ย่าได้ชื่นใจสักที ตัวเองก็ไม่ใช่อายุน้อยๆ แล้ว” คุณกอบัวกล่าวอย่างรู้ทันว่าสาเหตุที่หลานชายกลับมาครานี้เพราะประสงค์ที่จะเลื่อนพิธีหมั้นออกไปเป็นตามกำหนดเดิม “หลานยังไม่แก่เท่าคุณย่าสักหน่อย ยังมีเวลาอีกถมเถ” เด็กชายทำปากบู้บ่นพึมพำเบาๆ ทว่าคุณกอบัวกลับได้ยินแล้วง้างมือฟาดไปที่แผ่นหลังแน่นบึกของหลานชายทันที “เด็กคนนี้หนิ! เดี๋ยวย่าก็ทอดไข่ไหม้ให้กินเสียหรอก” “ถ้าเป็นฝีมือคุณย่าถึงจะเป็นไข้ไหม้ก็อร่อยครับ” สิ้นคำหวานของหลานชาย นายหญิงก็กำชับเสียงหนักแน่นว่าห้ามเข้าไปยุ่มย่ามตนในครัว เพราะรู้ดีว่าเอย์จิจะตามเข้าไปเป็นลูกมือ ท่านทายาทนั่งยิ้มมองแผ่นหลังของผู้เป็นย่า ถึงแม้ท่านจะบ่นให้ทุกครั้งที่เห็นหน้าแต่ก็เดินออกไปทำอาหารให้หลานชายด้วยความเต็มใจ ชายหนุ่มคิดพลันเผยรอยยิ้มเปรี่ยมสุขที่ไร้การประดิดประดอยใดๆ เช่นที่ผ่านมา เชิงอรรถ ^ ประตูโชจิประตูบานเลื่อนของญี่ปุ่นซึ่งพื้นที่เป็นกระดาษสาสีขาว ^ เสื่อทาทามิ เสื่อของญี่ปุ่นที่ท่อมาจากพืช ​
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD