ฉันนั่งอยู่หน้าบาร์เครื่องดื่ม และกำลังสบมองไปยังทายาทของตระกูลสิงโตขาวที่มักจะมานั่งเล่นการพนันที่โรงน้ำชาของฉันอยู่เป็นประจำมาเป็นเวลานานกว่าหลายนาทีแล้ว เรียกว่าฉันจับตาดูเขาตั้งแต่เข้ามาเลยก็คงจะไม่ผิดนัก
ตอนนี้เขากำลังเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งของฉัน เพราะดันมีเบาะแสมาว่าไอ้คนนี้นี่แหละที่ส่งคนไปฆ่าป๊าของฉันถึงถิ่นของเนตรมังกรอีกที และดูเหมือนว่าคนที่ฆ่าป๊าของฉันในตอนนี้มันกำลังหลบหนีอยู่ แต่ดันทิ้งเบาะแสสำคัญเกี่ยวกับจี้หยกเส้นนั้นให้สาวมาถึงตัวของมันเข้าให้เสียได้
เพราะถึงรูปลักษณ์ของมันจะคล้ายกับเศษเสี้ยวของหัวใจที่หายไปเสี้ยวหนึ่งและเหลือเพียงเสี้ยวเดียวก็จริงอยู่ แต่ในหยกนั้นหากเรามองมันดี ๆ ด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะเห็นได้เลยทันทีว่ามันมีสัญลักษณ์ของสิงโตขาวอยู่ เพื่อประกาศตนว่าคน ๆ นี้เป็นคนของแก๊งสิงโตขาวเอาไว้แสดงถึงอำนาจของตระกูล
และดูเหมือนไอ้ทายาทที่มาเย้ยฉันถึงถิ่นทุกวี่ทุกวันจะไม่ได้รับรู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่ง และเพราะนิสัยของฉันที่ไม่ได้ชอบโบ้ยให้ใครมั่วซั่วอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้คงมีเพียงการล้วงความลับจากมันมาให้ได้มากที่สุด เพื่อสาวไปให้ถึงตัวต้นเหตุของคนที่ฆ่าป๊าของฉันจริง ๆ แล้วจึงค่อยตามสั่งสอนมันผู้นี้ที่เป็นคนสั่งการอีกหนเพื่อความชัวร์ทีหลังก็ยังไม่สายเกินไป
ตาเปล่าของฉันมองเห็นว่ามันพาการ์ดมาด้วยสองคนที่ยืนล้อมอยู่ทางด้านหลัง และคนอื่น ๆ อีกประมาณสี่ถึงห้าคนที่กระจายตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลกับที่ ๆ เขานั่งเล่นการพนันอยู่
นอกจากไอคนนี้จะไม่เอาไหนและเอาแต่เล่นการพนันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้มาจากมันอีกก็คือว่ามันเป็นเสือผู้หญิง มันมักจะหิ้วเด็ก ๆ ที่เป็นเด็กเสิร์ฟของฉันขึ้นไปยังห้องพักที่มีรองรับอยู่ทุกวี่วัน แถมยังชอบใช้กลโกงไพ่นกกระจอกโดยการ*ซิงฮุ่ยกับพนักงานของฉันเพื่อให้คู่ต่อสู้หมดตัวและเป็นหนี้สินของมันอีก
แก๊งเนตรมังกรของฉันกับแก๊งสิงโตขาวไม่ถูกกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้วก็ว่าได้เพราะถิ่นฐานของเราอยู่ใกล้เคียงกันมากแทบจะใช้เพียงลวดหนามกั้นแบ่งเขตแดน
แต่เรามักจะแข่งขันกันด้วยความซื่อสัตย์อยู่เสมอ แต่พอกลับมาเป็นมันคนนี้ดันเล่นสกปรกโดยการฆ่าป๊าของฉันเพื่อตัดกำลังคู่ต่อสู้และก็ตั้งใจว่าจะยึดเขตพื้นที่ที่แก๊งของฉันปกครอง เพราะตอนนั้นฉันยังไม่คิดที่จะกลับมารับตำแหน่งและป๊าของฉันก็อยู่แต่เพียงลำพัง
และมันก็ดันส่งคนมาฆ่าป๊าฉันในวันที่ฉันกลับมาพอดิบพอดีราวกับตั้งใจให้ฉันได้เห็นภาพเหล่านั้นและได้อำลาป๊า
พอวันต่อมาฉันก็เข้ารับตำแหน่งเป็นหัวหน้าคนใหม่ทันที พวกมันคงจะแค้นใจน่าดูที่เลือกลงมือช้าเกินไปเพียงแค่วันเดียวเท่านั้นและนี่คือการสันนิษฐานของฉันทั้งหมด
ความจริงแล้วพวกมันอาจจะลงมือมาแล้วหลายครั้งแต่อาจจะยังไม่สำเร็จก็เป็นได้ และฉันจะต้องรู้เรื่องนี้ด้วยตัวของฉันเองจากปากของพวกมันให้ได้อย่างแน่แท้!
“ฉันกำลังจะเข้าไป...” เสียงของเหม่ยดังขึ้นมาเรียกสติให้ฉันที่กำลังเผลอจดจ้องมันไม่วางตาอย่างหลงลืมตัวด้วยความแค้นใจให้มีสติกลับขึ้นมาในทันใด
ฉันกดเครื่องมือสื่อสารที่หูของตัวเองและย้ำกำชับให้เธอได้ระวังตัวเพราะมันคนนี้ดูแล้วน่าจะอันตรายอยู่พอดู แต่ถ้าหากว่าคืนนี้มันเลือกที่จะให้เหม่ยไปนอนกับมันด้วยอะไร ๆ มันก็คงจะง่ายขึ้น
แต่มันก็แลกมาซึ่งความเสี่ยงที่ตัวของเหม่ยจะต้องได้รับ และเธอจะต้องปลีกเอาตัวเองออกมาจากมันให้เร็วที่สุดในทันทีเมื่อได้ในสิ่งของที่ต้องการมาแล้ว
“เธอจะต้องระวังตัวให้ดี มันคนนี้เป็น...”
“คิดว่าฉันจะไม่หาข้อมูลของลูกค้าอย่างนั้นหรือ?” เธอสวนกลับมาไม่ทันให้ฉันได้พูดจนจบประโยค
ฉันมองเลยไปทางด้านหลังก็พบเห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังยืนสแทนบายรออยู่แล้ว ในมือก็มีแก้วเครื่องดื่มใส่ถาดเตรียมเสิร์ฟ และฉันเดาว่าน่าจะเป็นมันที่สั่งเอาไว้และเธอกำลังจะใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าไปประชิดตัวและเริ่มหว่านเสน่ห์
“ฉันชอบเวลาเธอใส่ชุดนี้จริง ๆ” ฉันเอ่ยชมและยกยิ้มออกมาเมื่อเจ้าหล่อนใส่ชุดจีนเหมือนดั่งวันแรกที่ฉันได้พบเห็นเธอ
เหม่ยเมินหน้าหนีฉันอย่างพยายามหลบเลี่ยงสายตา แต่ฉันอยู่ตรงนี้ทันได้สังเกตเห็นว่าเธอกำลังหน้าแดงก่ำราวกับคนที่กำลังเขินอายต่อคำพูดของฉัน
“ระวังตัวด้วย อย่าลืมว่าเธอเป็นคนของฉัน” ฉันย้ำอีกสักครั้งด้วยความจริงจัง ซึ่งเธอก็หันมาสบมองกันด้วยแววตามุ่งมั่นและตั้งใจสร้างความประทับใจให้กับฉันได้อยู่เสมอ “พยายามอย่าให้มันแตะเนื้อต้องตัวของเธอมากจนเกินไป”
“…”
“เพราะฉันแตะต้องมันได้คนเดียว*ชินอ้ายเตอะ”
“ใครเป็นที่รักของคุณไม่ทราบ!” และเธอก็เดินปึงปังด้วยใบหน้าแดงก่ำออกไปในทันทีให้ฉันได้แต่เผยยิ้มตามหลัง
เหม่ยหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะก้าวขาเดินออกไปอีกครั้ง แววตาของเธอที่ดูเขินอายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนกลายเป็นจริงจังในทันทีเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการทำงาน
ฉันอยู่ตรงนี้ได้แต่มองดูเธอที่กำลังย่างกรายเดินเข้าไปหาชายหนุ่มคนนั้นอย่างอ้อร้อ และแน่นอนว่าความสวยของเธอสามารถเรียกสายตาของชายคนนั้นได้ไม่ยาก และเขากำลังวางมือจากไพ่นกกระจอกและหันมาสนใจเธอที่กำลังจะเสิร์ฟน้ำในทันทีอย่างนิสัยของชายเจ้าชู้
“มาทำงานวันแรกเหรอจ๊ะ? ฉันไม่เคยเห็นเธอเลย*ไกวไกว” ฉันเผลอมองบนกับคำหวานที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มซึ่งฉันได้ยินมันผ่านเครื่องมือสื่อสารที่อยู่กับหูของฉัน
และเธอก็ตอบกลับไปเสียงหวานทั้งยังยอมให้มันแตะเนื้อต้องตัวเธออย่างพยายามฉวยโอกาส ส่วนฉันคนนี้ก็ได้แต่นั่งรอสแทนบายเผื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ
ภาพของคนสองคนที่เริ่มแตะเนื้อต้องตัวกันมากขึ้นกับคำหวานมากมายที่ถูกพ่นออกมาไม่เว้นแต่ละประโยคทำให้ฉันได้แต่พยายามข่มอารมณ์กับกลิ่นของตัวเองเอาไว้ไม่ให้แสดงออกมามากจนเกินสมควร
ขนาดฉันที่ประกาศตนนักหนาว่าเธอเป็นคนของฉัน...ฉันยังไม่มีโอกาสได้แตะเนื้อต้องตัวเธอได้มากมายขนาดเท่าไอ้คน ๆ นี้มาก่อนเลย
กล้าดีอย่างไรกันน่ะ!
“เหม่ย...เธอควรจะเว้นระยะห่างจากมันได้แล้ว” ฉันที่สังเกตเห็นว่าเธอหยิบของที่ต้องการออกมาได้แล้วก็รีบเตือนสติให้เธอพาตัวเองออกมาจากมันในทันที
แน่นอนว่าเธอทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ชายหนุ่มกับคนของมันไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเธอหยิบอะไรออกมาจากตัวของมันแล้วบ้าง จะว่าไปแล้วแอบเห็นด้วยนะว่าเหม่ยหยิบกระเป๋าสตางค์ของมันออกมาด้วยเพื่อเป็นของแถม
“ฉันต้องไปทำงานต่อแล้ว...”
“อะไรกัน...ถ้าเธอไปกับฉันคืนนี้เธอจะสุขสบายตลอดทั้งชาติเลยนะเด็กดี” เขายังพยายามยื้อร่างของเหม่ยเอาไว้ไม่ให้ลุกหนี
ซึ่งเหม่ยก็พยายามอย่างสุดความสามารถในการออกห่าง แต่เหมือนว่าแรงของโอเมก้าอย่างเธอจะสู้แรงของอัลฟ่าอย่างเขาไม่ได้เลย
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันจะคอยเดินมาหา...”
“ไปเตรียมห้อง”
“ครับนาย!” ลูกน้องของมันเดินออกไปหนึ่งคนและฉันสังเกตเห็นแล้วว่าเหม่ยกำลังหน้าเสีย
เสียงของคนทั้งสองที่พยายามยื้อกันไปมาเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่ออีกฝ่ายจะผละออกแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมให้ได้กระทำเช่นนั้น ชายหนุ่มเริ่มออกแรงกับโอเมก้าสาวมากขึ้นจนสีหน้าเหยเกและฉันกำลังไม่พอใจอย่างมากจนเผลอส่งกลิ่นและลุกออกไปหาคนทั้งคู่ในทันที
แน่นอนว่าตอนนี้ฉันกำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนทั้งหลายเพราะกลิ่นของฉันมันคงจะแรงมากจนกลายเป็นจุดสนใจ เหม่ยหันหน้ามาสบมองฉันด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย พร้อมกับชายหนุ่มที่มองเลยมาทางฉันเพราะได้กลิ่นเฉกเช่นเดียวกัน
“เสียมารยาทน่ะลี มาปล่อยกลิ่นข่มคนอื่นแบบนี้ได้ไง?”
“ไม่แน่ใจว่าฉันไปสนิทสนมกับแกตอนไหน ฉันมีแซ่มีสกุล กรุณาเรียกให้มันเหมาะสมหน่อย!” ฉันพูดกลับไปเสียงเรียบ และดึงแขนของเหม่ยเพื่อมาเกาะกุมเอาไว้แทน แต่มันก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของเธอให้เป็นอิสระ
“มาทีหลังก็หัดไปต่อคิวก่อนนะ นางโอเมก้าคนนี้เป็นของฉัน!” และคำพูดคำจาของมันก็แทบทำเอาสติของฉันหลุดอยู่หลายครา แต่ฉันยังพยายามควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ให้ยังคงอยู่ได้ไหว
“ที่นี่เป็นถิ่นของฉัน...” ตงที่ยืนดูเหตุการณ์มาได้สักพักแล้วก็เดินเข้ามาขนานข้างกับฉันพร้อมกับลูกน้องอีกประมาณหนึ่ง รวมไปถึงคนของสิงโตขาวที่เดินมาอยู่รอบ ๆ ตัวของนายมันอย่างพร้อมสู้ด้วยเช่นเดียวกัน “อย่าทำอะไรไม่มีสมองเหมือนที่เคยทำหน่อยเลย...”
“ฮ่า ๆ นี่ฉันกำลังโดนไอ้เลือดบริสุทธิ์ขู่ฟ่อ ๆ อยู่หรือเปล่านะ?” ดวงตาสีฟ้าอย่างคนสายพันธุ์เดียวกันแต่เป็นสายเลือดปกติสบมองกันอย่างกวนเบื้องล่างราวกับพร้อมชนเสมอ และฉันก็จ้องมองมันกลับอย่างไม่มีความเกรงกลัวเฉกเช่นเดียวกัน
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของฉัน ปล่อยมือออกจากเธอ!” กลิ่นของฉันเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ และมันใกล้แล้วที่จะปะทุออกมาเต็มทีจนอาตงต้องพยายามสะกิดให้ฉันสงบลง
ส่วนโอเมก้าเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้าของฉันกำลังแววตาสับสนและสั่นไหวไปมาอย่างพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองสุดขีด เพราะกลิ่นของอัลฟ่าทั้งสองคนกำลังตีกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใครแต่คนที่แย่ก็มีแต่โอเมก้าที่ยืนกลางวงแต่เพียงผู้เดียวอย่างเหม่ยเท่านั้น
ไม่นับรวมโอเมก้าคนอื่น ๆ ที่โดนหิ้วออกไปกับคนที่มาด้วยกันแล้วน่ะนะ...
“*เว่ย เว่ย ครั้งนี้ฉันจะยอมให้แล้วกัน” เขายกมือขึ้นมาราวกับสงบศึกเพราะฉันพึ่งได้ยินมาจากคนของเขาที่ก้มลงมากระซิบว่าคนของมันมีน้อยกว่าจำนวนคนของฉัน “แล้วเราจะได้เห็นดีกันไอ้ลี!”
ก่อนที่มันจะลุกขึ้นยืนและเดินไปลากเด็กสาวโอเมก้าที่อยู่ตรงนั้นออกไปกับมันในทันที ซึ่งเจ้าหล่อนที่ไม่มีทีท่าขัดขืนฉันจึงไม่ได้เข้าไปให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด
ฉันลากมือของเหม่ยเดินออกมาจากบ่อนที่อยู่ทางชั้นใต้ดิน และเดินกลับไปที่ห้องทำงานของฉันในทันที ฉันผลักร่างของเธอให้เข้าไปในห้องด้วยอารมณ์แห่งความโมโหที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เพราะต่อล้อต่อเถียงกับอัลฟ่าเมื่อสักครู่
ซึ่งเหม่ยเองก็ตัวปลิวไปตามแรงเหวี่ยงของฉันก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นมากอดตัวเองเอาไว้ และร้องไห้ออกมาในทันทีอย่างคนอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
แต่แปลกที่น้ำตาของเธอทำให้ฉันเริ่มที่จะสงบลงได้อย่างง่ายดาย...
“เห้อ!” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างพยายามระบายอารมณ์แม้ว่าตอนนี้ฉันต้องการที่จะระบายออกมามากมายกว่านี้
แต่เพราะใบหน้าของเธอที่ดูหวาดกลัว และสายตาของเธอที่ดูเหมือนจะอ้อนวอนให้ฉันไม่ทำอะไรเธออีกนี่สิ...ฉันจึงได้แต่โมโหตัวเองอยู่ในตอนนี้ที่รู้สึกสนใจความรู้สึกของเธอมากเกินกว่าที่ควรจะเป็น
“สงบสติตัวเองซะ!” ฉันยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าเธอด้วยความโมโห “แล้วหยุดปล่อยกลิ่นก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว!” และฉันก็เดินกลับมานั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเองในทันที
ตอนนี้ฉันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่มันกำลังร้องประท้วงอยู่ที่ใต้กางเกงเนื่องจากว่าเธอหวาดกลัว และเผลอปล่อยกลิ่นออกมาใส่ฉันตลอดทั้งทางที่เดินมายังห้องทำงาน ซึ่งฉันก็กำลังพยายามจะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง...แต่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งปวดหนึบราวกับว่าฉันจะรัทอย่างไรอย่างนั้น
“ฮ่า...” ฉันเป่าปากออกมาและพยายามจะไม่สนใจเธอ แต่ดูเหมือนเจ้านี่จะไม่ได้คิดแบบนั้นนี่สิ “เธอออกไปก่อน...”
“ให้ฉันช่วยไหม?”
“*เซินเม่?” ฉันมองหน้าของเธอในทันที ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอมานั่งคุกเข่าอยู่ที่ตรงหน้าของฉันตอนไหน
“คุณเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าช่วยฉัน ถ้างั้นให้ครั้งนี้ฉันช่วยคุณบ้างนะ...” เธอพูดออกมาเสียงกระเส่า แถมมือก็ยังพยายามจะปลดเข็มขัดกางเกงของฉันอีกด้วย
“เว่ย เว่ย! *หนี่ ต๋งเจิ้น หม่า?”
“อื้ม...*หว่อ ซื่อ เริน เจิ้น เต๋อ”
***(ซิงฮุ่ย) = ติดสินบน
****(ชิน อ้าย เตอะ) = ที่รัก
***(ไกว ไกว) = เด็กดี (ใช้เรียกคนรักเหมือนเป็นคำหยอกล้อ)
**(เว่ย) = เป็นคำอุทานของคนจีน
**? (เซินเม่?) = อะไรนะ? (เป็นคำอุทาน)
****? (หนี่ ต๋งเจิ้น หม่า?) = คุณจริงจังหรือ?,คุณเอาจริงใช่ไหม?
******(หว่อ ซื่อ เริน เจิ้น เต๋อ) = ฉันจริงจัง,ฉันเอาจริง