บทนำ
ร่างสูงโปร่งเฉียดหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร รับกับผมสีดำขลับฉบับสาวเอเชียแท้ กำลังเดินก้าวเข้าไปในโรงฝึกของตระกูลใหญ่อย่าง ‘เนตรมังกร’ หลังจากที่ตัวเองห่างหายจากที่นี่ไปนานหลายสิบปี
ดวงตาสีฟ้าครามตามเผ่าพันธุ์หันมองไปรอบ ๆ ราวกับสัตว์ดุร้าย แต่เหล่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ในนั้นกลับมองสบกันอย่างไม่ละสายตา และไม่ได้เกรงกลัวเลยว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นถึงอัลฟ่าสายเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งมันทำให้ร่างสูงที่สบมองดูอยู่รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ได้พบเห็นเช่นนั้น
“เห้ย! มาทำไมวะ?” ดวงตาสีฟ้าครามสวยหันไปตามเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
ก่อนที่ฉันจะพบเห็นว่าเป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่งซึ่งมีสีผิวออกแทนหน่อย ๆ เนื้อตัวที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อนั้นเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างน่าเกรงขาม และกลิ่นเหงื่อที่คละคลุ้งกับกลิ่นเผ่าพันธุ์อัลฟ่าเหมือนกันแต่เป็นสายเลือดปกติ ทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียดจนอยากที่จะอาเจียนออกมาด้วยความขื่นขม
“ที่นี่ติดป้ายห้ามเข้าหรือไง?” ฉันล้วงมือเข้าไปในกางเกงและสบมองคนตรงหน้าอย่างไม่ได้เกรงกลัว
ซึ่งคนตรงหน้าก็ดูเดือดดาลเมื่อฉันพูดมันออกมาเช่นนั้น บวกกับที่ลูกสมุนของเขากำลังเร่งเร้าให้เจ้าหมอนี่ชกหน้าฉันสักหมัดข้อหากวนเบื้องล่างของคนที่น่าจะเป็นหัวโจก และมันทำให้ฉันยกยิ้มออกมาเมื่อเขาดูมีปฏิกิริยากับการเร่งเร้าเหล่านั้น
ราวกับหมาบ้าที่ไม่เคยรู้จักคำว่าพ่ายแพ้...
“อย่าคิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วกูจะไม่กล้าทำอะไรมึงนะ!” เขาชี้หน้าด่าฉันปาว ๆ แต่ฉันกลับไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด
กลับกันฉันยิ่งยกยิ้มออกมาแสดงถึงความไม่เกรงขาม และมันทำให้ชายผู้นั้นหน้าเสียจนต้องพุ่งตัวเข้าใส่และชกเข้าที่ใบหน้าของฉันอย่างจัง
ฉันหันไปตามแรงกระทบก่อนจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นคลุ้งของคาวเลือดที่กำลังตลบอบอวลไปทั่วมุมปาก และเสียงโห่ร้องจากรอบทิศทางก็เริ่มดังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับคนพวกนี้กำลังรับรู้ได้ว่าจะมีศึกแห่งสังเวียนขึ้นในไม่ช้านาน
จะว่าไปก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือมาสักพักแล้วเหมือนกัน...อย่างนี้คงต้องขอประลองฝีมือของคนในแก๊งเนตรมังกรหน่อยแล้วกระมัง
“อย่าทำร้ายคนโดยที่ไม่ทันตั้งตัวแบบนี้สิ...” ฉันหันกลับมาสบมองใบหน้าของเขาอีกครั้ง ก่อนจะถุยเลือดที่กลบปากอยู่ใส่ลงไปที่พื้น สร้างอารมณ์เดือดดาลให้กับคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างดี “เข้าไปในสังเวียน คนที่แพ้...ไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป!”
ตอนนี้ฉันอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำสนิทกับกางเกงขายาวทรงสแล็ค เนื่องจากว่าฉันไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อการนี้ แต่มันดันมีเรื่องมาให้ฉันต้องสะสางและคนอย่างฉัน...สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นเสียด้วยสิ
ชายตรงหน้ากำลังมองตรงมาทางฉันด้วยสายตาดุร้ายของสัตว์ป่า ดวงตาสีฟ้าอ่อน ๆ ที่บ่งบอกถึงการเป็นอัลฟ่ากำลังสบมองใบหน้าของฉันราวกับกำลังพิจารณาคู่ต่อสู้อย่างฉันอยู่
ชายคนนี้เป็นหนุ่มใหญ่ที่ตัวสูงกว่าฉันมาก ดังนั้นแน่นอนว่าการเคลื่อนไหวของเขาจะช้ากว่าฉันอยู่มากโข และฉันจะต้องใช้เรื่องนี้ให้เป็นข้อได้เปรียบ เพราะหมัดของฉันคงหนักสู้กับผู้ชายอัลฟ่าตัวสูงใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้แน่ ๆ แม้ว่าฉันเองจะเป็นอัลฟ่าเหมือนกันก็ตาม
ดนตรีแห่งความตื่นเต้นดำเนินขึ้นและชายตรงหน้าไม่รอช้าที่จะกระโจนใส่ฉันในทันที เนื่องด้วยความเชื่องช้าของเขาจึงทำให้ฉันสามารถจับทิศทางได้ว่าเขากำลังจะเล่นฉันที่จุดไหน ความว่องไวของฉันที่เป็นประโยชน์จึงโยกหลบเขาได้ทันท่วงที ก่อนที่ฉันจะปล่อยหมัดจัง ๆ ใส่เข้าไปที่ท้องของเขาเป็นการทักทาย
ชายตรงหน้างอตัวเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาสบมองใบหน้าของฉันอย่างเดือดจัด การยั่วยุคู่ต่อสู้มันจะเป็นการทำให้อีกฝ่ายเสียสมาธิได้ง่าย ๆ และฉันจะใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ เพราะไม่เช่นนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวฉันแน่
“ย่าส์!” ชายตรงหน้าพุ่งเข้าใส่ฉันอีกครั้ง
โดยที่ครั้งนี้ฉันกะระยะและคำนวณผลได้อย่างเช่นเคย แต่ฉันกลับเปลี่ยนจากหมัดมาใช้เท้าแทน มันจึงกลายเป็นท่าที่ฉันเบี่ยงตัวหลบเขาและหมุนกลับมาใช้แข้งฟาดเข้าไปจัง ๆ ที่แผ่นหลังจนชายคนนั้นล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
“มึง! มึงไม่ตายดีแน่!” ครั้งนี้แหละเขาโมโหฉันเต็มร้อยทะลุปรอทแล้ว
เขาลุกขึ้นมาก่อนจะรัวหมัดใส่ฉันอย่างหมาบ้าที่กำลังคลั่งยา ฉันยกมือกันเอาไว้ไม่ให้หมัดของเขาโดนบริเวณจุดสำคัญของร่างกาย แต่หมัดของนายนี่ก็หนักใช่เล่นจนแขนของฉันเริ่มจะระบมช้ำเป็นจุด ๆ ให้ได้พบเห็น
"เห้ยหยุด!” มีเสียงของใครบางคนดังออกมาจากทางนอกสนามให้ฉันได้ยินแว่ว ๆ แต่เสียงเชียร์ของคนในนี้กับเพลงที่ดังกว่ากลับกลบเสียงของใครคนนั้นได้เป็นอย่างดี “กูบอกให้หยุด!”
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดของเครื่องเสียง และทุกคนก็ค่อย ๆ หันไปสบมองอย่างคนสงสัยที่มีคนเข้ามาขัดจังหวะแมตซ์สำคัญในตอนนี้ รวมไปถึงชายที่กำลังรัวหมัดใส่ฉันด้วย
“พวกมึงทำอะไรกันวะ!” ชายคนนั้นคืออาตง มือขวาของฉันเองแหละ “นายน้อย!” และเมื่อเขาเห็นฉันในสภาพที่แขนบวมช้ำ เขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาฉันในทันทีสร้างความสงสัยให้กับคนอื่น ๆ ที่กำลังสบมองดูอยู่
“นายน้อย?” ชายตรงหน้าที่รัวหมัดใส่ฉันเมื่อครู่เอ่ยออกมาด้วยความสงสัยในทันที
“เห้ย! จับไอซังไปรุมกระทืบ!”
“ครับคุณตง!”
“นายน้อย เป็นอะไรไหมครับ?”
“อย่าจับเขา...” ฉันเอ่ยออกมาขัดจังหวะชายอีกสองคนที่กำลังจะเข้ามาจับชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า “การแข่งขันของฉันกับเขายังไม่จบ”
“แต่นายน้อยครับ...”
“สรุปว่าแกหรือฉันที่เป็นลูกป๊า?” ตงเงียบไปในทันทีที่ประโยคนี้จบ และฉันก็หันกลับไปสบมองชายตรงหน้าที่กำลังมองฉันอย่างไม่เชื่อสายตาในทันที “มาเริ่มกันต่อเลย การแข่งขันของเรายังไม่จบ”
แต่อยู่ ๆ คนตรงหน้าก็ทรุดลงไปกับพื้นและหมอบเอาหัวติดกับเท้าฉันในทันใดอย่างคนที่นึกอะไรได้แล้ว เสียงของเขากำลังสั่นไหว ทั้งเขาก็ยังจับที่ข้อเท้าของฉันเอาไว้และสะอื้นร้องออกมาอย่างกำลังขอความเห็นใจจากฉัน
“ได้โปรดเถอะครับนายน้อย อภัยให้ผมที่มันช่างไม่รู้อะไรเลยด้วยเถอะนะครับ”
“ทำอะไรของนาย ลุกขึ้นมา!” ฉันเสียงแข็งและเริ่มเสียงดังอย่างรู้สึกหงุดหงิดที่เขาเป็นเช่นนั้น
ที่ฉันลงมาที่นี่ด้วยตัวคนเดียวแบบไม่ได้แสดงตัวว่าเป็นใครก็เพราะต้องการที่จะรู้ว่าคนของตระกูลเนตรมังกรมันจะน่าเกรงขามเหมาะสมกับเป็นตระกูลใหญ่ที่ได้รับการนับถือหรือเปล่า แต่พอเรื่องมันเป็นแบบนี้ฉันเองก็เริ่มที่จะไม่สนุกเหมือนที่ใจคิดเสียแล้ว
“นายน้อยครับ พวกผมเองก็ขออภัยด้วยครับ” และคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่รอบ ๆ บริเวณก็ต่างก้มหัวให้กับฉันในทันทีอย่างรู้จักที่ต่ำที่สูง
แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากจนต้องเดินหนีออกไปจากที่นี่ในทันที พร้อมกับสบมองตงอย่างคาดโทษเอาไว้เพราะเขาคนเดียวที่ทำให้ความสนุกของฉันในวันนี้มันจบสิ้นลงแล้ว
“นายน้อยครับ...นายน้อย” ตงเดินตามฉันมาและเอาแต่เรียกจนฉันเริ่มจะรำคาญเต็มที “นาย...”
“ถ้ามึงยังไม่อยากหัวหลุดจากบ่า ก็เลิกตามกูเสียที!” ก่อนที่ความอดทนของฉันจะขาดผึ่ง พร้อม ๆ กับที่ฉันหันไปสบมองอัลฟ่าอย่างตงที่เดินตามฉันมาในทันทีอย่างไม่พอใจ
ตงรีบก้มหน้าหลุบตาลงต่ำในทันใดเมื่อเขาพบว่าดวงตาสีฟ้าครามของฉันกำลังสบมองไปที่เขาอย่างไม่พอใจ และเรื่องที่เขาหลอกให้ฉันกลับมาที่นี่อีก เขาติดฉันไว้หลายบัญชีแล้วยังจะมีหน้ามาทำให้ฉันหงุดหงิดใจอีกหรือ?
กล้ามากนะ...
“ขออภัยครับนายน้อย...” ตงรีบเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิดในทันที “แต่เจ้าสัวอยากพบนายน้อยครับ” และเขาก็ฝืนพูดมันออกมาอีกครั้งให้ฉันต้องถอดถอนหายใจเฮือกอย่างไม่พอใจ
ร่างสูงเดินไปในทิศทางที่ตงบอกในทันทีเพื่อไปพบกับบิดาผู้ซึ่งมีพระคุณ...และก็เป็นคนที่ทำร้ายหัวใจของฉันในเวลาเดียวกัน ฉันเดินก้าวเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนจะพบเห็นว่าเขากำลังยืนหันหลังเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่างอยู่
“กลับมาวันแรกก็สร้างเรื่องเลยหรือไง?”
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน” ชายแก่หันหน้ามาสบมองกันในทันทีที่ฉันพูดประโยคนี้จนจบ
แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจสาวความอะไรและเดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่เคียงข้าง ชายแก่ยกชาขึ้นจิบและวางมันลงที่เก่า ก่อนที่เขาจะเงยหน้าสบมองฉันและมันทำให้ฉันพึ่งได้สังเกตตอนนี้เลยว่าเขาแก่ตัวลงไปมากแล้ว
“เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้อั๊วจะพาลื้อไปพบกับผู้ใหญ่แก๊งอื่น ๆ ของตระกูลมังกร แล้วอั๊วก็จะตั้งลื้อเป็นหัวหน้าแก๊งคนใหม่แทนอั๊ว” ฉันกรอกตาไปมาอย่างไม่พอใจ
“ยอมแล้วเหรอ? ไหนแก๊งนี้ป๊ารักนักรักหนาไม่ใช่หรือไง? ทำไมตอนนั้นถึงไม่ยอมแบบนี้บ้าง แล้วก็ส่งให้ฉันไป...”
“อาลี!”
“…” ชายแก่อัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์เช่นเดียวกับฉันลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงในทันทีอย่างไม่พอใจ
แก้วที่เคยวางอย่างแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะก็ถูกปัดลงมาจนเศษแก้วแตกกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ และตอนนี้ชายตรงหน้าที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดาก็กำลังสบมองใบหน้าของฉันอย่างเดือดดาล
“หากลื้อไม่เคยรู้อะไรก็ไม่ต้องพูด!”
“…”
“เตรียมตัวทำตามที่อั๊วบอก ตำแหน่งหัวหน้าของแก๊งเนตรมังกรคนต่อไป ยังไงมันก็ต้องเป็นลื้อ!”