“ใต้เท้าถานน่ะหรือ”
“ขอรับท่านเสนาบดี เห็นว่าถูกปาดคอแล้วจับมัดห้อยหัว จนเลือดไหลหมดตัวเลยขอรับ” เช้าวันนี้ ซิงเยียนพาน้องสาวมาเที่ยวเล่นที่เรือนสกุลหวัง เพื่อเล่าเรื่องราวที่น่าเจ็บใจให้ลุงและป้าสะใภ้ฟัง แต่ยังไม่ทันได้เล่า ก็มีเหตุร้ายเกิดขึ้นเสียก่อน
ใต้เท้าถาน ขุนนางขั้นสามของแคว้น ถูกนักฆ่าจากสำนักฟู่โฉวสังหารโหด ข้างศพมีหลักฐานการกระทำผิดต่างๆ วางเรียงรายอยู่มากมาย นอกจากนี้ยังมีสัญลักษณ์ของสำนักฟู่โฉววางอยู่ เป็นเหรียญอีแปะสลักอักษร “*” ที่มีความหมายว่า ความตาย
“มีหลักฐานการกระทำความผิดต่างๆ อยู่ครบเลยหรือ” เฟยหย่าเอ่ยถาม
“ขอรับฮูหยิน มีทั้งเรื่องโกงกินบ้านเมือง จนไปถึงการฉุดคร่าหญิงสาวมาเป็นนางโลม และขายให้กับเหล่าเศรษฐีใช้เป็นเครื่องบำเรอกามขอรับ”
“เช่นนั้นตายไปก็ดีแล้ว อยู่ไปก็หนักแผ่นดิน” ซิงเยียนก่นด่า นางเคยได้ยินเรื่องของสำนักฟู่โฉวมาบ้าง ผู้คนในแคว้นต่างยกย่องนักฆ่าจากสำนักนี้ เพราะนอกจากจะเก่งกาจ ทำงานมิเคยพลาด ยังเป็นนักฆ่าคุณธรรม รับสังหารเพียงคนที่กระทำความผิดเท่านั้น และในการสังหารแต่ละครั้ง สำนักฟู่โฉวจะทำการหาหลักฐานมาแสดงความผิดของผู้ที่ถูกสังหารทุกราย ผู้คนเล่าลือกันว่ามิเคยมีผู้ใดหาที่ตั้งของสำนักเจอ
“จริงดังองค์หญิงว่าพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นกระหม่อมจะตัดแข้ง ตัดขา ตัดเครื่องเพศทิ้งเสีย” คำพูดของฮูหยินหวัง ทำเอาบ่าวรับใช้ชายที่ได้ยินถึงกับหนีบขาของตนเองแน่น นี่หากว่าฮูหยินหวังเป็นสตรี พวกเขาคงคิดว่าองค์หญิงสี่คลอดมาจากครรภ์ของฮูหยินหวังเสียแล้ว
“องค์หญิงเจ็ดช่วยปรามสองป้าหลานแทนลุงด้วยเถิด ประเดี๋ยวลุงจะไปดูที่เกิดเหตุเสียหน่อย” หวังป๋อเหวินหันมาขอความช่วยเหลือจากหลานสาวคนเล็ก หากว่าอยู่ด้วยกันเพียงครอบครัว พวกเขามักจะใช้คำสามัญบ้าง คำราชาศัพท์บ้าง ไม่ได้กำหนดตายตัว แต่หากอยู่กับคนหมู่มากจะต้องใช้คำราชาศัพท์เท่านั้น
“คิกๆ ได้เจ้าค่ะท่านลุง”
“จิ๊ ข้ามิใช่เด็กๆ เสียหน่อย” เฟยหย่าจิ๊ปากเล็กน้อย ก่อนจะทำหน้าเชิด คล้ายกับว่างอนสามี แต่ดูเหมือนท่านเสนาบดีกรมยุติธรรมจะไม่รู้สิ่งใด ทำเพียงเข้ามากอดลาแล้วจากไปเท่านั้น มิได้พูดจากง้องอนเลยสักนิด
“ว่าแต่องค์หญิงมีเรื่องใดจะเล่าให้ป้าสะใภ้ผู้นี้ฟังหรือ”
“อ่อ เรื่องน่าโมโหเจ้าค่ะท่านป้า…” ซิงเยียนเล่าเรื่องเจ้าตาสีขนเป็ดให้ป้าสะใภ้ฟังจนจบ ชายร่างบางจึงหัวเราะอย่างออกรสออกชาติ ไม่ต่างจากหนิงเซียนที่แม้จะฟังมาแล้วถึงสองรอบ แต่ก็ยังมิสามารถกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้
“ท่านป้า หนิงเซียน อย่าหัวเราะเยาะข้า”
“ฮ่าๆ เอาเถิด อย่างน้อยเมื่อวานพระองค์ก็ได้รู้จักแม่ทัพใหญ่มากขึ้น สุขบ้าง ทุกข์บ้าง โมโหบ้าง ก็ถือเป็นสีสันของชีวิต” คำพูดอาจฟังดูเป็นการปลอบประโลม ทว่าท่าทางหัวเราะจนท้องแข็งของเฟยหย่าและหนิงเซียน ทำเอาซิงเยียนถลึงตาใส่ทั้งคู่
“ข้าโกรธท่านป้าแล้ว หากจะให้ข้าหายโกรธ ท่านต้องช่วยกระจายข่าวเรื่องที่จะมีสมรสพระราชทานของข้าและแม่ทัพใหญ่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ถ้าท่านมิช่วย ข้าจะบอกท่านลุงว่าท่านแอบมองหนุ่มหล่อ”
“ข้าจะช่วยเป็นพยานให้พี่หญิงเองเพคะ” หนิงเซียนรีบย้ายข้าง เพราะกลัวถูกพี่สาวคาดโทษ
“องค์หญิงเจ็ดทิ้งกระหม่อมเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ เอาเป็นว่ากระหม่อมจะช่วยอีกแรง แต่ที่จริงข่าวสมรสพระราชทานก็มีคนพูดถึงกันอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะถูกเรื่องของใต้เท้าถานกลบเท่านั้น”
ข่าวเรื่องสมรสพระราชทานขององค์หญิงสี่ จวิ้นซิงเยียนและแม่ทัพใหญ่จงห่าวหราน ถูกเล่าขานตามท้องตลาดอย่างที่เฟยหย่าว่า และดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ชาวบ้านออกมาสรรเสริญยินดีกันถ้วนทั่ว
ด้วยเพราะพวกเขาได้รู้มาว่า เรื่องการแก้ปัญหาอุทกภัยที่เมืองจี๋ฉวนเป็นความคิดขององค์หญิง ทั้งยังมีอีกหลายเรื่องที่องค์หญิงสี่ช่วยออกความเห็น ราษฎรจึงได้ปีติยินดียิ่งนัก ที่พระองค์จะได้สมรสกับบุรุษที่ดีเช่นนั้น
และเรื่องราวเหล่านี้ก็มิพ้นพระเนตรพระกรรณของมารดาแผ่นดิน
“ฝ่าบาทจะให้เขยแต่งเข้านั่งบัลลังก์ แล้วนี่ยังจะให้แม่ทัพใหญ่สมรสกับซิงเยียนอีก คงคิดจะให้นางได้ครองบัลลังก์ร่วมกับแม่ทัพจงห่าวหรานกระมัง”
“เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา จะหาบุรุษใดมาสมรสกับองค์หญิงซูหนี่ของเรา” เสนาบดีหลิวเอ่ยถามบุตรสาว เรื่องนี้จะต้องเร่งมือ เพราะข่าวการแต่งตั้งองค์รัชทายาทแพร่สะพัดไปแล้ว เหล่าสนมก็พยายามหาบุรุษที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ฝ่าบาทกำหนดมาสมรสกับองค์หญิงของตน เพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกองค์รัชทายาทครั้งนี้
“มิมีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าแม่ทัพใหญ่ของแคว้นจวิ้นแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ”
“แต่ฝ่าบาทจะให้แม่ทัพจงห่าวหราน สมรสกับองค์หญิงสี่ เห็นว่าจะมีการประกาศสมรสพระราชทาน หลังจากเสร็จสิ้นงานชมบุปผาใต้แสงจันทร์”
“แต่ตอนนี้ก็ยังมิได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ย่อมหมายความว่าเรามีโอกาสได้แม่ทัพใหญ่ของแคว้นมาเป็นเขยเจ้าค่ะ” ดวงตาทั้งคู่ฉายแววเจ้าเล่ห์ หากว่าผู้ใดมาพบเข้า คงรู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคิดจะกระทำการชั่วร้าย
วันเวลาล่วงเลยมาจนถึงคืนจัดงานชมบุปผาใต้แสงจันทร์ ที่มีหวังกุ้ยเฟย เป็นผู้จัดงานในครั้งนี้ โดยองค์หญิงหนิงเซียนเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือร่วมด้วย
สกุลขุนนางขั้นสูงต่างได้รับเชิญมาในงานครานี้ เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงเริงรมย์ องค์ฮ่องเต้จึงประกาศให้ขุนนางพาฮูหยินเอกและฮูหยินรอง พร้อมทั้งบุตร เข้ามาร่วมงานเลี้ยงด้วย ผู้คนจึงอุ่นหนาฝาคั่งเช่นนี้
“งานครานี้ต้องขอบใจหวังกุ้ยเฟย ที่จัดงานเลี้ยงได้ยิ่งใหญ่สมกับเป็นงานชมบุปผาประจำปี ขอทุกท่านดื่มเฉลิมฉลองกันให้เต็มที่และชมบุปผางามที่สนมของข้าได้ไปจัดหามา”
บุปผางามที่ว่า มิได้หมายถึงดอกไม้ชนิดใด แต่เป็นหญิงงามที่จะมาร่ายรำ บรรเลงดนตรี รวมถึงแสดงงิ้ว ต่อหน้าผู้ชมทั้งหลาย
งานเลี้ยงเริ่มดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ซิงเยียนเองก็นั่งอยู่ประจำที่ของตน ข้างกายมีหนิงเซียนนั่งอยู่ด้วย
“ข้ามิเคยเห็นฮูหยินเอกของอดีตแม่ทัพจงชัดๆ มาก่อน งามยิ่งนักเพคะพี่หญิง” ได้ยินน้องสาวว่าดังนั้น ซิงเยียนก็หันไปมองที่นั่งของครอบครัวว่าที่สามี ก็พบว่าอดีตแม่ทัพจง มาพร้อมกับฮูหยินเอกและฮูหยินรอง ทั้งยังมีบุตรชายมาด้วย
“เห็นเขาว่าเป็นคนของเผ่าเอ๋อร์หลัว อยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นเรา”
“ชนเผ่าที่คิดคดกับแคว้นของเรา ไปเข้ากับต่างแคว้นหรือเพคะ”
“อืม ผู้คนเขาเล่าลือมาเช่นนั้น” ซิงเยียนมองพิจารณาสองแม่ลูก ก็พบว่ารูปร่างหน้าตางดงามเป็นหนึ่ง มิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ โดยเฉพาะสีผมเหลืองทอง และผิวพรรณที่งามผ่องนั้น
คงเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาที่งดงามเช่นนี้กระมัง ผู้คนจึงเล่าลือกันว่า สตรีทุกผู้ในแคว้นจวิ้นล้วนอยากมอบกายให้บุตรชายคนโตของสกุลจง จงจ้านโหรว ได้เชยชมสักครั้ง
“บุตรชายคนโตก็งดงามดังเทพเซียนเลยนะเพคะ”
“งดงามจริงเพคะองค์หญิง ทว่านิสัยเกเร มิเอาการเอางาน เสเพลไปทั่ว เห็นว่าเข้าหอนางโลมมิเคยขาด” เสี่ยวเฟินยื่นหน้าเข้ามาบอกข่าวสารที่ตนเองรู้ หนิงเซียนถึงกับย่นหน้าด้วยความเสียดาย ที่บุรุษหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ กลับมีนิสัยเกเร ต่างจากซิงเยียนที่หันกลับไปมองชายหนุ่มอีกครั้ง
และนั่นเป็นจังหวะเดียวกัน ที่จงจ้านโหรวหันมองมาที่นางเช่นกัน มิรู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ ว่าชายผู้นั้นชะงักงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น
เหตุใดกัน หรือตกใจที่ถูกจ้องมอง
เมื่อแขกในงานเริ่มมึนเมา จึงมีบางคนทยอยกันกลับ บ้างก็ยังสังสรรค์กันอย่างครื้นเครง ชายหญิงมากมายพากันไปนั่งรวมเพื่อพูดคุยตามประสา หรือไม่ก็แยกออกไปเดินเล่นใกล้บริเวณนั้น
อย่างซิงเยียนเองก็ไปเดินเล่นและพูดคุยกับจงห่าวหรานเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมานั่งกับพระมารดา
ทว่าเมื่อผู้คนเริ่มทยอยกันกลับเรือน ฮองเฮาหลิวก็มีท่าทีตื่นตระหนก ร้อนรน หลังจากนางกำนัลคนสนิทมากระซิบกระซาบ จนองค์ฮ่องเต้ถึงขั้นต้องเอ่ยถาม
“มีเรื่องอันใดหรือ”
“หนี่เอ๋อร์หายไปเพคะ เหล่าขันทีกำนัลหาหนี่เอ๋อร์ของเรามิพบ” เมื่อได้ยินดังนั้น ฝ่าบาทก็กวาดตามองจนทั่วลานพิธีแต่ก็ไม่พบธิดาลำดับที่สาม ฮองเฮาหลิวจึงรบเร้าให้องค์ฮ่องเต้ปลีกตัวออกมา เพื่อตามหาองค์หญิงซูหนี่ ด้านซิงเยียนที่เห็นท่าไม่ดีจึงตามไปด้วยอีกคน
ไม่ว่าจะถามไถ่ขันทีกำนัลคนใด ก็มิมีผู้ใดพบเห็น ฮ่องเต้จวิ้นหลงไท่จึงออกคำสั่งให้ตามหาอีกครั้ง
“มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” อดีตแม่ทัพจงห่าวอู๋ พร้อมกับครอบครัวเดินเข้ามาถามไถ่ แต่นั่นทำให้ซิงเยียนที่ยืนอยู่ หันไปเห็นบุตรชายคนโตของสกุลจงอย่างชัดเจน ทั้งขนาดของร่างกาย ความสูง และสีตา คล้ายกับชายชุดดำที่นางเจอวันนั้นไม่มีผิด ไหนจะท่าทีชะงักและพยายามหลบหลีกสายตานี่อีก
ต้องเป็นเจ้าตาสีขนเป็ดแน่
แล้วเหตุใดต้องปิดบังตัวตน เหตุใดผู้คนจึงกล่าวว่าบุตรชายคนโตของสกุลจงเสเพล มิเอาการเอางาน ทั้งที่ชายหนุ่มมีวรยุทธ์และต่อสู้ได้มิแพ้น้องชายเลยกระมัง
“มิมีอันใด แล้วนี่ห่าวหรานไปที่ใด ข้ามีเรื่องจะไหว้วาน” เสียงเข้มของพระบิดาทำให้ซิงเยียนหลุดออกจากความคิดของตน จะอย่างไรก็ช่าง หากว่าชายชุดดำเป็นคนเดียวกับบุตรชายคนโตของสกุลจงจริง นางจะเอาคืนเสียให้เข็ดหลาบ
“กระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาทเรียกพบมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ” จงห่าวอู๋งุนงงอยู่ไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้บุตรชายคนรองเอ่ยว่าจะไปพบฝ่าบาท
“ข้ามิได้เรียกพบเขา”
“เอ่อ หากเป็นแม่ทัพใหญ่ กระหม่อมเห็นเดินไปทางสวนหลวงพ่ะย่ะค่ะ” เป็นหวังป๋อเหวินที่เดินเคียงคู่มากับฮูหยิน บอกกล่าวข้อมูลออกมา
ยังไม่ทันที่ฮ่องเต้หลงไท่จะได้เอ่ยถามให้แน่ชัด ก็มีขันทีเฒ่าวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“พบองค์หญิงสามแล้วพ่ะย่ะค่ะ พบองค์หญิงแล้ว เอ่อ-”
“อยู่ที่ใด รีบพามาพบข้า! อ้ำอึ้งด้วยเหตุใด” ฮองเฮาหลิวรีบซักไซ้ขันที จนขันทีผู้นั้นต้องค่อยๆ ตอบอย่างอ้อมแอ้ม
“กระหม่อมพามามิได้พ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าพระบาท เสด็จไปทอดพระเนตรด้วยองค์เองเถิด”
“เช่นนั้นก็รีบนำไป” เสียงตะคอกขององค์กษัตริย์ ทำเอาคนที่อยู่บริเวณนั้นสะดุ้งไปตามๆ กัน แต่เมื่อฮ่องเต้หลงไท่และฮองเฮาหลิวเดินตามขันทีไป ทั้งครอบครัวสกุลจง ครอบครัวสกุลหวัง รวมถึงซิงเยียนก็รีบเดินตามไป ด้วยความใคร่รู้ ว่าเหตุใดขันทีเฒ่าจึงมีอาการตื่นตระหนกเช่นนั้น
และเมื่อเดินไปถึงบริเวณศาลากลางสวนหลวง ทุกคนต่างก็ตกอกตกใจกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ด้านฮองเฮาหลิวถึงขั้นเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
“หนี่เอ๋อร์ เหตุใด เหตุจึงมาอยู่ในสภาพนี้”