“ในเมื่อไม่มีผู้ใดขัดข้อง พวกเจ้าทั้งสองคนก็ทำความรู้จักกันไว้เถิด” นั้นเป็นคำพูดขององค์ฮ่องเต้
ได้ฟังดังนั้น แม่ทัพใหญ่จงห่าวหรานจึงขอประทานอนุญาตพาองค์หญิงสี่ของแคว้นออกมาเที่ยวชมตลาด จึงเป็นเหตุให้วันนี้ ซิงเยียนต้องออกจากวังพร้อมกับเสี่ยวหงและองครักษ์ ส่วนเสี่ยวเฟินอยู่ดูแลหนิงเซียนในวังเช่นเคย
“มิทราบว่าองค์หญิงชอบเสวยสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามิได้มีสิ่งใดที่ชมชอบเป็นพิเศษ โรงครัวทำสิ่งใดมาให้ ข้าก็ทานได้ทั้งหมด” ซิงเยียนมิเคยได้พูดคุยกับบุรุษเชิงชู้สาวเช่นนี้มาก่อน จึงทำตัวออดอ้อนอย่างที่ป้าสะใภ้สอนไม่ถูก
“เอ่อ องค์หญิงมักชอบเสวยอาหารรสหวาน และชอบขนมมากกว่าข้าวปลาอาหารเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงเอ่ยตอบแทน
“เช่นนั้นกระหม่อมจะพาพระองค์ไปเสวยขนมของชาวบ้าน รับรองว่ารสดีเทียบเท่าขนมจากในวังแน่พ่ะย่ะค่ะ” ซิงเยียนพยักหน้ารับ ก่อนจะตามชายหนุ่มไป
เมื่อลองสังเกตดูแล้ว จงห่าวหรานเป็นบุรุษที่รักหยก ถนอมบุปผายิ่งนัก ทั้งพูดจาดี นิ่ง สุขุม แต่กลับมีแววตาที่เฉียบคม กล้าคิดกล้าตัดสินใจ มิแปลกที่อดีตแม่ทัพจงยกตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ให้บุตรชายคนรอง แทนที่จะเป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากฮูหยินเอก
เหล่าคนสนิทและขันทีกำนัล ต่างเว้นระยะห่างให้ผู้เป็นนายเดินนำไปกับแม่ทัพใหญ่ก่อน เพื่อมิให้ถูกจับจ้องและให้ความเป็นส่วนตัวกับชายหญิง แต่กระนั้นซิงเยียนและห่าวหรานก็ยังตกเป็นที่สนใจของชาวบ้านในตลาดอยู่ดี ด้วยรูปร่างหน้าตา เสื้อผ้าอาภรณ์ที่หรูหรา และกลิ่นอายสูงส่ง
เมื่อถูกจับจ้องมากเข้า ทั้งคู่จึงปลีกตัวออกมาเดินเที่ยวในที่ที่คนไม่พลุกพล่าน
“รสดีอย่างที่กระหม่อมได้บอกไว้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม รสดีไม่น้อย เมื่อก่อนข้ากับน้องก็เคยแอบออกมาซื้อขนมในตลาดอยู่บ่อยครั้ง แต่พอข้าเข้าไปช่วยงานเสด็จพ่อ ก็มิมีเวลาพาหนิงเซียนมาเที่ยวเล่นนอกวังอีกเลย” ห่าวหรานถึงกับชะงัก เมื่อเห็นสายตาที่อ่อนแสงลงขององค์หญิงสี่ ก่อนหน้านี้ เขามักเห็นองค์หญิงมีใบหน้าที่เรียบนิ่ง แววตาเชือดเฉือนยามขุนนางกล่าวขัดหู มิคิดว่าวันนี้จะได้เห็นพระองค์ในอีกมุม
“องค์หญิงคงจะรักและเอ็นดูองค์หญิงเจ็ดมาก”
“หึๆ เป็นดังท่านว่า…จริงสิ ข้ามีเรื่องอยากสอบถามท่าน” ซิงเยียนหันหน้ามามองชายหนุ่มด้วยท่าทีจริงจัง
“เรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านมีคนรัก หรือคนที่พึงใจแล้วหรือยัง”
“…”
“จากที่พูดคุยกับเสด็จพ่อครานั้น ท่านคงจะรับรู้แล้ว ว่าพระองค์ต้องการให้ท่านสมรสกับข้า แน่นอนว่าข้ามิอยากพรากคนรักของผู้ใด หากว่าท่านมีคนที่พึงใจ หรือมีคนรักอยู่แล้ว ข้าจะปฏิเสธกับเสด็จพ่อเอง”
“เรื่องสมรสพระราชทานเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทหรอกหรือ กระหม่อมคิดว่าเป็นความต้องการขององค์หญิงเสียอีก”
“หากจะว่ากันตามตรง…ที่ท่านคิดก็ถูก เพราะเสด็จพ่อถามว่าข้าพึงใจบุรุษใดในแคว้น ข้าตอบว่าเป็นท่าน แต่ข้าต้องกล่าวกับท่านตามตรง ว่าที่ข้าบอก พึงใจ ข้าหมายความถึงตำแหน่งหน้าที่ของท่าน ข้าพอใจที่สกุลท่านภักดีต่อราชสำนัก ข้าชมชอบที่ท่านเป็นแม่ทัพคุมทหารนับแสน” ซิงเยียนตัดใจเอ่ยความจริงออกไป เพราะนางมิอยากให้เรื่องนี้เป็นชนวน ทำให้พวกเขาต้องบาดหมางกันหลังจากที่สมรสกันไปแล้ว สู้บอกไปตั้งแต่แรกว่านางชอบเขา เพราะอำนาจที่เขามีจะดีกว่า
ดูเหมือนการตัดสินใจของซิงเยียนจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะมุมปากของแม่ทัพใหญ่กระตุกยิ้มอย่างพอใจ
“กระหม่อมชอบที่พระองค์จริงใจต่อกระหม่อม เริ่มต้นอย่างไรมิสำคัญ เพราะกระหม่อมมั่นใจ ว่าเมื่อแต่งกันไปก็จะรักกันได้เอง ส่วนเรื่องที่พระองค์อยากรู้…กระหม่อมยังไม่มีผู้ใด แต่ตอนนี้เริ่มสนใจสตรีผู้หนึ่งอยู่” สายตาที่เปล่งประกายของห่าวหราน ทำให้ซิงเยียนรับรู้ว่าสตรีผู้นั้นเป็นนาง
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะได้สบายใจ” ยังไม่ทันที่ชายหญิงจะได้พูดคุยกันต่อ ก็มีทหารหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาจงห่าวหราน
“ทะ ท่านแม่ทัพขอรับ เอ่อ เกิดเรื่องขึ้นที่ค่ายขอรับ” ทหารชั้นผู้น้อยก้มคำนับต่อองค์หญิงของแคว้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะรีบเอ่ยรายงาน
“ข้าจะไปส่งเสด็จองค์หญิงที่พระราชวังเสียก่อน แล้วจะตามไปที่ค่าย”
“แต่-”
“มิเป็นไร ท่านกลับไปจัดการเรื่องในค่ายเถิด ข้าจะซื้อขนมไปฝากหนิงเซียนและเสด็จแม่ก่อนจะกลับ” ซิงเยียนเห็นท่าทีร้อนรนของทหาร ที่นั่งคุกเข่ากับพื้น ก็คิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ
“องค์หญิง-”
“ไปเถิด ข้าพาองครักษ์มาด้วย ท่านมิจำเป็นต้องห่วง…และนี่คือคำสั่ง มิใช่คำขอร้อง”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่งขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” ห่าวหรานก้มคำนับก่อนจะเงยหน้าสบตาคู่งาม สตรีสูงศักดิ์ตรงหน้าชวนให้เขาสนใจได้อีกแล้ว เห็นทีสมรสพระราชทานครั้งนี้คงมิย่ำแย่อย่างที่คิด
เมื่อจงห่าวหรานแยกตัวออกไป ซิงเยียนก็สั่งขันทีกำนัลที่ติดตามมา ไปรออยู่ที่รถม้า ส่วนตนเองพาเสี่ยวหงกลับไปเดินในตลาดอีกครั้ง เพื่อหาซื้อขนมไปฝากมารดาและน้องสาว
“พอเถิดเพคะองค์หญิง เท่านี้พระสนมและองค์หญิงเจ็ดก็อิ่มไปหลายวัน” เสี่ยวหงชูขนมมากมายให้นายเหนือหัวดู ข้าวของเต็มไม้เต็มมือถึงเพียงนี้ หากล้มหน้าคะมำไป นางคงถูกขนมทับจนหลังหักเสียแล้ว
“จิ๊ พอเพียงเท่านี้ก็ได้ ช่วงนี้เจ้าชักจะขัดใจข้าบ่อยขึ้นนะเสี่ยวหง” มิว่าเปล่า หญิงสาวหรี่ตามองคนสนิทอย่างคาดโทษ
“โถ่~ ก็ช่วงนี้องค์หญิงเป็นถึงที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฝ่าบาท ผู้อื่นจึงเอาแต่ตามใจองค์หญิง หม่อมฉันกลัวว่าองค์หญิงจะเสียคนเพคะ”
“หึ! เจ้ามิชอบหรืออย่างไร มีแต่คนเอาใจเช่นนั้น คนจากตำหนักของฮองเฮายังไม่กล้าหาเรื่องเรา เสด็จแม่ หนิงเซียน และขันทีกำนัลของเรา ก็พลอยอยู่กันอย่างสงบสุขไปด้วย”
“ชอบเพคะ แต่คนเหล่านั้นล้วนหวังผลประโยชน์จากองค์หญิง หม่อมฉันมิไว้ใจ” แม้จะรู้ว่าองค์หญิงของนาง มิมีทางยอมให้ผู้อื่นเอาเปรียบได้ง่ายๆ แต่นางก็อดห่วงมิได้อยู่ดี
“ข้าเองก็หวังประโยชน์กับคนพวกนั้นเช่นกัน เจ้าอย่าได้คิดมาก ผู้ใดเป็นมิตร ข้าก็จะดีด้วย แต่หากมันผู้ใดกล้าคิดเป็นศัตรูกับข้า ข้าจะทำให้พวกมันรับรู้ว่านรกมิได้เป็นเพียงความเชื่อ” พัดคู่ใจถูกนำขึ้นมาโบกสะบัดเบาๆ กลิ่นอายสูงส่ง และแววตาเจ้าคิดเจ้าแค้น ทำให้ชาวบ้านละแวกนั้นต้องรีบหลุบตาลงกับพื้น เพราะกลัวจะไปทำให้หญิงงามต้องเคืองใจ
แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ก็ย่อมมีผู้ที่โง่งม มองมิออกว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร กระทำตนอวดเบ่ง ถึงขั้นรวมตัวกัน เพื่อดักรีดไถองค์หญิงของแคว้น
“แม่นางจะไปที่ใดหรือ” เหล่าชายฉกรรจ์สี่คน เข้ามารุมล้อมซิงเยียนและเสี่ยวหงเอาไว้ ด้วยคิดว่าหญิงสาวคงเป็นคุณหนูสกุลร่ำรวย ที่มาเที่ยวเล่นกับสาวใช้เพียงคนเดียว
“ข้าจะพานายของข้า ไปขึ้นรถม้าที่จอดไว้อีกฟากของตลาด พวกเจ้าหลีกไปเสีย” หลังจากที่ซิงเยียนและเสี่ยวหงได้ขนมมามากมายแล้ว จึงพากันกลับ แต่ด้วยซิงเยียนอยากตรวจดูความเป็นอยู่ของชาวบ้าน พวกนางจึงตัดสินใจเดินอ้อมมาอีกเส้นทาง แน่นอนว่าเส้นทางนี้ผู้คนไม่พลุกพล่าน ทั้งยังเป็นทางเปลี่ยว
“เรือนพวกเจ้าอยู่ที่ใด ให้พวกข้าไปส่งเถิด ข้าคิดราคาไม่แพง เพียงสิบตำลึงทองเท่านั้น”
“สิบตำลึงทอง!” ซิงเยียนมองเสี่ยวหงที่บัดนี้เท้าสะเอวจ้องชายเหล่านั้นอย่างไม่ลดละ
“ใช่ แต่หากพวกเจ้ามิมีจ่าย จะจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ย่อมได้” ทั้งสายตาและท่าทางของบุรุษทั้งสี่ ทำเอาซิงเยียนแทบอาเจียนออกมา
“น่ารังเกียจเกินทน” สายตาดูถูกเหยียดหยามจากสาวงาม ทำให้บุรุษทั้งหลายมิพอใจ กรูเข้ามาหมายจะจับตัวซิงเยียนและเสี่ยวหงไว้ แต่ซิงเยียนก็ตั้งท่ารอการปะทะเป็นอย่างดี
ทว่า…
“รังแกสตรีเช่นนี้ พวกเจ้ายังขึ้นชื่อว่าเป็นบุรุษอยู่หรือ” ดาบเล่มใหญ่ที่ไม่ได้ถอดฝัก ทุบเข้ากลางหลังของชายคนหนึ่งที่ยืนล้อมซิงเยียนอยู่ ก่อนที่อีกสามคนจะถูกชายชุดดำทุบตี จนสลบไป
ทั้งการเคลื่อนไหว การออกอาวุธ และพละกำลัง ทำให้องค์หญิงผู้สูงศักดิ์รับรู้ได้ทันที ว่าชายชุดดำที่โพกหน้าและโพกผมผู้นี้ คงเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ เก่งกล้าเรื่องการต่อสู้เป็นแน่
“นี่แหนะๆ ต้องโดนเช่นนี้ ผู้ใดสั่งสอนให้พวกเจ้ารังแกคนมิมีทางสู้ เห้อ~ คนพวกนี้น่าตายเสียจริง” ซิงเยียนได้ฟังคำของชายผู้ช่วยชีวิต ถึงขั้นคิ้วกระตุก
“เจ้าว่าข้ามิมีทางสู้หรือ”
“อ่อ…ใช่ เป็นหญิงบอบบาง ร่างอ้อนแอ้นถึงเพียงนั้น จะเอากำลังที่ใดไปสู้กับเจ้าพวกนี้ ทางที่ดีเจ้าควรจะหลีกเลี่ยงทางที่เปลี่ยวและร้างคนเช่นนี้”
“…”
“โตแต่ตัว หัวคิดไม่มีเลยหรืออย่างไร นี่คงจะเป็นคุณหนูเอาแต่ใจใช่หรือไม่…ส่วนเจ้าก็ควรจะดูแลนายให้ดี อย่าได้ตามใจนางจนเคยตัว คราหน้าอาจถึงแก่ชีวิตได้” ไม่เพียงแต่ซิงเยียนที่นิ่งอึ้ง เสี่ยวหงเองก็อ้าปากค้างตามไปด้วย แม้แต่พระสนมยังมิเคยดุด่าองค์หญิงถึงเพียงนี้
“เจ้า-”
“มิต้องขอบใจข้า แล้วมิต้องโยนเงินให้ข้าด้วย ข้าเป็นคนดีพอที่จะช่วยเหลือผู้ที่ทุกข์ร้อน โดยมิหวังผลตอบแทน” ว่าแล้ว ชายชุดดำก็จากไป ทิ้งให้ซิงเยียนเจ็บใจกับคำต่อว่าเหล่านั้น
“องค์หญิงเพคะ”
“ย้า! เจ้าตาสีขนเป็ด กลับมาเดี๋ยวนี้นะ! ด่าข้าแล้วจะจากไปง่ายๆ หรือ” ตั้งแต่เกิดมานางยังมิเคยถูกด่าทอ ว่าไม่มีหัวคิดมาก่อน ขนาดฮองเฮาและเหล่าพี่น้องที่มักจะกลั่นแกล้งนาง ยังมิเคยเอ่ยว่านางไม่มีหัวคิด แล้วเจ้าตาสีเหลืออ๋อยนั่น กล้าดีอย่างไร
“เย็นพระทัยลงก่อนเพคะ เย็นพระทัยลงก่อน”
“เย็นมิได้เสี่ยวหง ข้าเป็นเช่นนั้นหรือ ข้าถูกตามใจจนเคยตัว แล้ว แล้วเป็นพวกมิมีหัวคิดอย่างนั้นหรือ!”
“มิได้เพคะ”
“เจ้าตาสีขนเป็ดนั่นมันว่าข้าไม่มีทางสู้ ไม่มีหัวคิด มันว่าข้าโง่!” ท่าทางกระฟัดกระเฟียดของซิงเยียน สร้างความขบขันให้เสี่ยวหงไม่น้อย แต่นางจำต้องกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ หากไม่แล้วนางคงต้องถูกโกรธไปด้วยอีกคน
“ว่าแต่ เหตุใดเมื่อครู่องค์หญิงมิเรียกองครักษ์ลู่เป่ากับองครักษ์ลู่ซิวเล่าเพคะ” ท่านลู่เป่ากับท่านลู่ซิวเป็นองครักษ์ข้างกายองค์หญิงสี่และองค์หญิงเจ็ดมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ แต่พวกเขามักจะหลบซ่อนตัว คุ้มครองอยู่ห่างๆ เท่านั้น หากว่าเหตุการณ์มิเลวร้าย หรือองค์หญิงมิได้สั่ง พวกเขาก็จะไม่ปรากฏกายเด็ดขาด
“เพราะข้าอยากลองวิชาอย่างไรเล่า” ซิงเยียนร่ำเรียนการต่อสู้และวิชาดาบมาตั้งแต่ยังเด็ก โดยมีลู่เป่ากับลู่ซิวเป็นอาจารย์ ทว่านางกลับมิเคยได้ต่อสู้กับคนที่ประสงค์ร้ายเลยสักครั้ง ครานี้จึงคิดอยากลองวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา เลยสั่งห้ามให้องครักษ์ทั้งสองออกมาช่วย
แต่แล้วทุกอย่างก็พังพินาศ เพียงเพราะเจ้าตาสีขนเป็ดนั่น นอกจากจะไม่ได้ทดสอบฝีมือตนเอง ยังถูกต่อว่าเสียยกใหญ่
อย่าให้เจอกันคราหน้า นางจะเอาคืนให้สาสม