bc

ชายเสเพลผู้นี้ เป็นของข้า

book_age16+
556
FOLLOW
2.0K
READ
HE
princess
kicking
loser
detective
lies
kingdom building
like
intro-logo
Blurb

แม้จะมีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิง แต่จวิ้นซิงเยียนผู้นี้กลับมิเคยได้รับความเป็นธรรม เพียงเพราะเกิดจากสนมที่ฮ่องเต้ไม่โปรดปราน ตั้งแต่เล็กจนโตผู้เป็นมารดาก็พร่ำบอกให้อดทน เช่นนี้นางต้องทนไปถึงเมื่อใดเล่า เห็นทีครานี้นางจะต้องพึ่งตนเองเสียแล้ว

chap-preview
Free preview
1.สาบานว่าจะเหยียบให้จมดิน
ตุบ! ตุบ! ตุบ! “พอเถิดเพคะฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันเป็นต้นเหตุ อย่าได้ลงโทษพี่หญิงเลย ฮึก ฮื่ออออ” เสียงร้องห่มร้องไห้ขององค์หญิงลำดับที่เจ็ดจวิ้นหนิงเซียน เด็กสาววัยสิบห้าหนาว ดังขึ้นพร้อมกับ เสียงไม้โบยกระทบกับแผ่นหลังของหญิงสาวอีกคน “อึก! เงียบเสียหนิงเซียน อย่าเสียน้ำตากับเรื่องเท่านี้” สายตาแข็งกร้าวของคนที่ถูกโบยตวัดไปมองน้องสาว จนผู้เป็นน้องต้องรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาและปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ จวิ้นซิงเยียน องค์หญิงลำดับที่สี่ในราชวงศ์จวิ้น วัยเพียงสิบแปดหนาว ถูกลงโทษเช่นนี้อยู่เป็นประจำตั้งแต่เล็กจนโต เพียงเพราะนางเป็นองค์หญิงที่ประสูติจากสนมขั้นกุ้ยเฟย ที่มิอาจต่อกรกับพระธิดาที่ประสูติจากมารดาของแผ่นดิน “หึ! หยิ่งผยองนัก กระทำผิดยังมิคิดสำนึก ยี่สิบไม้คงมิพอกระมัง” หงส์คู่บัลลังก์มองไปยังหญิงสาวที่นอนคว่ำรับการลงโทษ ทั้งที่ตนเองถูกโบยต่อหน้าธารกำนัลมากมาย แต่กลับทะนงตน ดังว่ามีเกียรติเหนือผู้อื่น แสร้งทำว่าไม่เจ็บปวด “พอเท่านี้เถิดเพคะฮองเฮา หากมากกว่านี้ หม่อมฉันเกรงว่าเรื่องจะไปถึงพระเนตรพระกรรณของฝ่าบาท” นางกำนัลข้างกายของฮองเฮาหลิวเยว่เผิง เอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง กลัวว่านายของตนจะถูกฝ่าบาทตำหนิเอาได้ “ยี่สิบไม้ก็เพียงพอแล้วเพคะเสด็จแม่ ลูกมิอยากให้มันตาย” จวิ้นซูหนี่ องค์หญิงอันดับสามกล่าวห้ามพระมารดาของตน ทว่ามิใช่เพราะสงสารคนตรงหน้า แต่หากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ นางจะอดกลั่นแกล้งน้องสาวต่างมารดา เช่นนั้นวังหลังจะมีเรื่องน่าสนุกได้อย่างไรกันเล่า เสียงพูดคุยมิได้ดังเข้าหูซิงเยียนแม้แต่น้อย เมื่อเยาว์วัย นางและน้องสาวก็ถูกองค์หญิงที่มีศักดิ์สูงกว่ากลั่นแกล้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ด้วยมารดาของนางเป็นเพียงสนมขั้นกุ้ยเฟย มิได้มีปากมีเสียง แม้จะพยายามขอร้องอ้อนวอน แต่ก็มิมีอำนาจมากพอ จะไปต่อต้านผู้ที่อยู่ในตำแหน่งฮองเฮาหรือหวงกุ้ยเฟยได้ เหตุการณ์ที่ซิงเยียนยังจำได้แม่นยำ คือยามที่จวิ้นซูหนี่แอบปล่อยนกของนาง จนมันหนีหายไป มิรู้ชะตา ยามนั้นนางเสียใจเป็นที่สุดและเมื่อรู้ว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของซูหนี่ ซิงเยียนจึงแอบเอาปลาของซูหนี่ไปปล่อยในสระหลวงบ้าง แต่นั่นกลับทำให้นางถูกลงโทษถึงขั้นต้องเรียกหมอหลวงมาดูอาการ เมื่อซิงเยียนเติบโตขึ้นมา สกุลหวัง สกุลเดิมของพระมารดาก็เริ่มมีบทบาทในราชสำนักมากขึ้น ท่านลุงหวังป๋อเหวินพี่ชายฝาแฝดของเสด็จแม่ถูกแต่งตั้งเป็นถึงเสนาบดีกรมยุติธรรม ผู้อื่นจึงเกรงใจนางและเสด็จแม่ไปด้วย กระนั้นการถูกกลั่นแกล้งก็ยังมิได้หมดไป และเมื่อใดที่ซิงเยียนตอบโต้กลับก็จะถูกลงโทษ อย่างครั้งนี้ ทั้งที่ซูหนี่แสร้งเดินมาชนหนิงเซียนจนตกสระก่อน แต่เมื่อนางไปเอาคืนให้น้องสาว ผลักซูหนี่ลงสระบ้าง กลับถูกมารดาของแผ่นดินสั่งโบยถึงยี่สิบไม้ “เอาเถิด ข้าจะถือว่าละเว้นเด็กมิรู้จักโตเช่นเจ้า คราหน้าอย่าได้ริอ่านมาทำร้ายหนี่เอ๋อร์ของข้าอีก” ฮองเฮาหลิวโบกมือให้ขันทีหยุดโบย แต่มีหรือซิงเยียนจะรู้สึกตื้นตันใจกับความเมตตาของสตรีตรงหน้า นัยน์ตาสีดำขลับวาวโรจน์ไปด้วยความคับแค้น จดจ้องไปที่สองแม่ลูกอย่างมิปิดบัง ‘เมื่อใดที่ข้าอยู่สูง ข้าจะเหยียบย่ำพวกเจ้าให้จมดิน’ นี่เป็นประโยคเดียว ที่ดังก้องอยู่ในใจของซิงเยียน และนางยังคงรอคอยวันนั้นเสมอมา “ขอบพระทัยเพคะ ขอบพระทัย” เป็นจวิ้นหนิงเซียนที่ก้มคำนับและเอ่ยขอบพระคุณผู้สูงศักดิ์ ก่อนที่จะรีบเข้ามาช่วยพยุงพี่สาวกลับตำหนัก “เกิดอันใดขึ้น! เหตุใดองค์หญิงของแม่จึงอยู่ในสภาพเช่นนี้” หวังเจียลี่ สนมขั้นกุ้ยเฟย รีบพาบุตรีทั้งสองเข้ามาพักในตำหนัก ก่อนจะสอบถามความเป็นไปของเรื่องราว ให้รู้แน่ชัดว่าเหตุใดบุตรคนหนึ่งเปียกปอนไปทั้งตัว ส่วนบุตรอีกคนก็อ่อนแรงเสียจนต้องพยุงกันเข้ามา “ฮึก เป็นความผิดของลูกเองเพคะ ลูกถูกองค์หญิงสามผลักตกสระ พี่หญิงมิพอใจจึงตามไปเอาคืนให้ลูก จนต้องถูกลงโทษเช่นนี้” น้ำตาของหนิงเซียนไหลพราก ครั้งนี้เป็นเพราะนาง ที่ไปเดินเล่นริมสระในเวลาเดียวกับองค์หญิงสาม จึงเป็นต้นเหตุให้พี่หญิงของนางถูกสั่งลงโทษเช่นนี้ “หยุดร้อง มันมิใช่ความผิดของเจ้า” “โถ่! ลูกแม่ เจ็บมากหรือไม่” สนมหวังเข้ามาปลอบบุตรสาวทั้งสอง ก่อนจะหันไปบอกธารกำนัลให้เตรียมยามาทา นางไม่น่าอนุญาตให้บุตรสาวออกไปเดินเล่น ทั้งที่นางกำนัลข้างกายของบุตรสาวมิอยู่เช่นนี้เลย ครั้งนี้ก็ถือเป็นความผิดของนางเช่นกัน ยาชั้นดีจากสำนักหมอหลวง ถูกป้ายลงบนแผ่นหลังที่แดงช้ำ บางที่มีรอยเลือดซึมออกมา เห็นดังนั้นดวงใจของผู้เป็นแม่ก็บีบรัดจนปวดหนึบ ที่มิอาจช่วยเหลือบุตรได้ นางเป็นเพียงสนม แน่นอนว่ามิอาจขัดขวางฮองเฮาได้ ครั้นจะขอให้พระสวามีช่วยเหลือ นางก็มิใช่สนมรัก จึงมักถูกสวามีปัดมิให้เข้าพบอยู่เสมอ “อดทนเสียหน่อยนะลูก แม่ทายาให้แล้ว อีกหน่อยก็ดีขึ้น” น้ำเสียงอ่อนโยนมิได้ทำให้ซิงเยียนอุ่นใจเลยแม้แต่น้อย ฟันขาวถูกกัดเข้าหากันแน่น เจ็บทั้งกายทั้งใจ เสด็จแม่ยังจะให้นางทนอีกหรือ ไม่ว่าเมื่อใด มารดาก็เอาแต่บอกให้นางอดทน แล้วนางจะต้องอดทนไปถึงเมื่อใดกัน!!! “ตั้งแต่เล็ก เสด็จแม่ก็เอ่ยคำนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ลูกคร้านจะฟัง หากว่าวันนี้ลูกไปช่วยน้องขึ้นจากน้ำมิทัน ป่านนี้เราคงต้องจัดพิธีศพกันเสียแล้ว!” “เยียนเอ๋อร์!” “พระองค์มิคิดจะสู้เพื่อพวกเราสองพี่น้องบ้างหรือไร! มิคิดจะปกป้อง มิคิดจะช่วยเหลือเลยหรือ” ซิงเยียนลุกขึ้นเต็มความสูง จ้องไปที่มารดาด้วยแววตาแดงก่ำ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด “องค์หญิง อย่าได้กล่าววาจาทำร้ายจิตใจพระมารดาเลยเพคะ เท่านี้พระสนมก็เสียใจมากพอแล้ว” ซิงเยียนรู้ดีว่ามารดาเป็นสตรีที่จิตใจดี อ่อนโยนต่อคนทุกผู้ แต่นางมิคิดว่ามารดาของนางจะอ่อนแอ ถึงขึ้นต้องให้นางกำนัลคนสนิทออกปากแทน “เหอะ! ข้าจะไปพบป้าสะใภ้ ให้คนเตรียมรถม้าให้ข้าด้วย” เอ่ยสั่งขันทีเสร็จ ร่างกายที่บอบช้ำของซิงเยียนก็เดินออกจากตำหนักไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง หนิงเซียนเป็นห่วงพี่สาวจึงก้มคำนับต่อมารดา และตามออกไปด้วยอีกคน ในตำหนักจึงเหลือเพียงหวังกุ้ยเฟยและนางกำนัลคนสนิทเท่านั้น “เป็นอย่างที่เยียนเอ๋อร์ว่า ข้ามิเคยปกป้องพวกนางได้สักครั้ง ฮึก!” น้ำสีใสไหลหลั่งออกมาจากดวงตางาม กำนัลอาวุโสก็ได้แต่ถอนหายใจ มิรู้จะปลอบผู้เป็นนายอย่างไรดี เรือนสกุลหวังเปิดต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ที่เป็นถึงองค์หญิงของแคว้นเช่นเคย ภายในโถงห้องรับแขก มีชายร่างบางนั่งเอนกายลงกับหมอนพิง รับฟังเรื่องราวจากปากของหญิงสาวทั้งสอง อย่างพินิจพิเคราะห์ ชายผู้นี้จะเป็นใครไปมิได้ นอกจากเฟยหย่า ป้าสะใภ้ของซิงเยียน ฮูหยินเพียงคนเดียวของเสนาบดีหวังป๋อเหวิน แน่นอนว่าลุงและป้าสะใภ้ของนางเป็นคู่หลงหยาง แม้จะมีคนไม่เห็นด้วยกับเรื่องผิดขนมธรรมเนียม แต่ก็มิมีผู้ใดหยิบยกเรื่องนี้เข้ามาเป็นประเด็นในการทำลายหน้าที่การงานของท่านลุง อาจเพราะความสามารถที่ประจักษ์แก่สายตาประชาราษฎร์ “ท่านป้า ฮึก ครานี้ข้าจะไม่ทนแล้วเจ้าค่ะ เจ็บกายมิเท่าใด แต่ข้าเจ็บใจเกินทน หนิงเซียนเกือบจะจมน้ำเสียแล้ว” ซิงเยียนปาดน้ำตาออกจากใบหน้า นางมิเคยร้องไห้ต่อหน้าผู้ใดมาก่อน แม้แต่มารดาของตนเอง แต่กับป้าสะใภ้ผู้นี้ นางกลับมินึกอายที่จะร้องงอแงออกมาอย่างเด็กน้อย “จะมีครั้งใดบ้างที่องค์หญิงมาหากระหม่อมโดยมิร้องไห้ หืม” ชายร่างบางยกพัดขึ้นมาโบกไปมา แม้จะเป็นชายแต่จริตงามเสียยิ่งกว่าสตรีบางคน “อึก! มันเจ็บใจเจ้าค่ะ ข้าเจ็บใจนัก ไม่ว่าคราใด ข้าก็ต้องแพ้ให้พวกนาง ทั้งที่ซูหนี่กระทำผิด แต่กลับเป็นข้าที่ถูกลงโทษ” พวกนางที่ซิงเยียนหมายถึง คงไม่พ้นจวิ้นซูหนี่และฮองเฮาหลิว กำปั้นน้อยทุบลงบนอกตนเองซ้ำๆ จนหนิงเซียนที่ร้องไห้ตามพี่สาวอยู่ ต้องรีบเข้ามาห้ามเอาไว้ “ประเดี๋ยวจะเจ็บยิ่งกว่าเดิมนะเพคะ พี่หญิง ฮึก” “หยุดร้องเสียก่อน เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมายมิใช่หรือ” เฟยหย่าส่ายหน้าให้กับสองพี่น้อง ทั้งที่เขาก็ได้เลี้ยงดูทั้งสองมาด้วยกัน แต่เหตุใดนิสัยใจคอจึงต่างกันเหลือเกิน คนพี่เจ้าคิดเจ้าแค้น ทะเยอทะยาน คนน้องกลับอ่อนโยน มิโกรธมิชัง “แต่ข้ามิอยากทนแล้ว เรื่องที่เราเตรียมการกันมา ข้าอยากเริ่มทำมันเสียตั้งแต่ตอนนี้เจ้าค่ะ” “หึ แน่ใจแล้วหรือ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะพร้อมหรือไม่” เพียงรอยยิ้มร้ายของป้าสะใภ้ ก็ทำเอาหนิงเซียนถึงกับขนลุกซู่ “พร้อมแล้วเจ้าค่ะ ต่อจากนี้…แม้แต่เสด็จพ่อก็ต้องไว้หน้าข้า” สายตามุ่งมั่น ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความเกลียดชัง ฉายชัดขึ้นมาบนดวงตาของธิดาลำดับที่สี่ในราชวงศ์จวิ้น

editor-pick
Dreame-Editor's pick

bc

พะยอมอธิษฐาน

read
1.8K
bc

คุณหนูสิบเจ็ดตระกูลเจียง

read
7.9K
bc

เชลยรักท่านอ๋องอำมหิต

read
13.2K
bc

พันธะร้าย..ดวงใจรัก

read
1K
bc

แม่หมอแห่งซูโจว

read
6.1K
bc

รักต้นฉบับ(ไม่ลับ)แม่มดมนตรา

read
1K
bc

ป๊ะป๋าผมเป็นมาเฟีย

read
1.2K

Scan code to download app

download_iosApp Store
google icon
Google Play
Facebook