ตอนที่ 4

1373 Words
การเดินทางผ่านถนนคดเคี้ยวข้างทางเป็นทะเลทรายมีต้นไม้ประปราย ตลอดเส้นทางมีรถวิ่งสวนเลนมาทำให้รู้ว่าเมืองไฮดริกไม่ได้เงียบเหงา เกือบห้าชั่วโมงคนตัวเล็กต้องทนเมื่อยแต่ทัศนียภาพรอบๆ ช่วยผ่อนคลายได้ดี ทันทีที่รถเคลื่อนผ่านถนนลาดยางท่ามกลางตึกขนาดใหญ่และรถมากมาย สาธารณูปโภคทันสมัยไม่แพ้ประเทศเจริญแล้ว รถจอดเทียบหน้าโรงแรมไฮดริก นิลลนาก้าวลงแล้วกวาดตามองรอบๆ มันสวยงามราวกับเทพนิยายจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นเมืองร้อนมีทะเลทรายล้อมรอบแต่ที่นี่กลับมีความเย็นแผ่ทั่วทุกอณู กระเป๋าสัมภาระถูกวางลงมีพนักงานของโรงแรมยืนรอต้อนรับด้านหน้า “ผมขอตัวก่อนนะครับ คงต้องกลับโรงแรมเลย”คนขับรถบอก “กลับเลยเหรอคะ ไม่เหนื่อยเหรอ” “ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว แขกที่โรงแรมผมก็มาส่งแบบนี้บ่อยๆ”เขายิ้ม “ขอบคุณมากนะคะ” “ครับ” คนขับรถเปิดประตูแล้วเคลื่อนเจ้ารถจิ๊บออกจากด้านหน้าโรงแรม “จะเข้าพักที่นี่ใช่ไหมครับ”พนักงานเอ่ยถาม “ใช่ค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นผมจะยกกระป๋าไปให้นะครับ” ร่างบางสาวเท้ามายังล็อบบี้หินแกรนิตสีดำ มีพนักงานสาวสองคนยืนทำหน้าที่ประจำ เป็นสาวผิวน้ำผิ้ว รูปร่างสูงโปร่งในสูทสีน้ำเงิน ใบหน้าคมสวย ดูโฉบเฉี่ยว “จองห้องพักเหรอคะ”พนักงานถามน้ำเสียงหวาน “ใช่ค่ะ ขอเป็นห้องเดี่ยวนะคะ” “รอสักครู่นะคะ” พนักงานกดคอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลครู่หนึ่ง แล้วช้อนสายตามองแขก “ได้แล้วค่ะ ห้องเดี่ยวนะคะ ชั้นสิบห้าห้องหนึ่งห้าศูนย์สามค่ะ” พนักงานสาวหยิบกุญแจให้พร้อมคีย์การ์ด เธอรับมาแล้วจัดการรูดบัตรเครดิต ก่อนสาวเท้าไปยังตัวลิฟต์ นิลลนากวาดสายตามองความโอ่อ่าราวกับราชวัง พื้นหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ โถงทางเดินสีทอง ด้านบนเป็นโคมไฟระย้างดงามจับตา ภาพวาดปฏิมากรรมเกี่ยวกับเทพกรีก คนตัวเล็กหยุดเท้าตรงลิฟต์โดยมีพนักงานตามมาติดๆ เมื่อมันเปิดออกเธอก้าวยืนแล้วกดชั้นที่ต้องการ เพียงครู่หนึ่งลิฟต์จอดชั้นสิบห้า ร่างบางสาวเท้าไปยังห้องพักแล้วเปิดประตูออก พนักงานนำกระเป๋าเข้าวางแล้วก้มศีรษะทำความเคารพ นิลลนาเลยให้ทิปเพื่อเป็นการขอบคุณ แล้วปิดประตูลงตามเดิม ทันทีที่อยู่คนเดียวความอยากรู้เริ่มกระตุ้น นิลลนาสำรวจห้องพักตนเองมองดูเตียงสีเสามีม่านมีขาว พื้นเป็นกำมะหยี่สีแดง ใกล้หัวเตียงมีโต๊ะไม้สักวางโคมไฟรูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว หน้าต่างกระจกปิดด้วยม่านสีขาวถูกเปิดออก เผยทัศนียภาพของเมืองไฮดริกอย่างเต็มตา ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างระบายยิ้มด้วยความสุขใจ ที่นี่ให้ความรู้สึกดีกับเธอจริงๆ คนตัวเล็กหันกลับมาค้นข้าวของตนเองวางเรียงราย กล้องถ่ายรูปอุปกรณ์จำเป็นสำหรับทิปนี้ และชุดต้องทะมัดทะแมงพอในการเดินทางไปไหนมาไหน เมื่อจัดเตรียมเรียบร้อยหญิงสาวรีบหยิบผ้าคลุมอาบน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว เพราะเดินทางมาทั้งวันแถมอากาศค่อนข้างร้อนเหนียวตัวหมดแล้ว หยาดน้ำกำลังพร่างพรมทำให้เธอรู้สึกสดชื่น ออกจากห้องน้ำหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์รัดรูปมาสวม ส่องความเรียบร้อยกับกระจกอีกครั้งแล้วหยิบกล้องถ่ายรูป เธอไม่มีทางพลาดบรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่แน่ แต่ที่สำคัญต้องหาอะไรรองท้องเสียก่อน นิลลนาเดินผ่านห้องอาหารโรงแรมอย่างไม่สนใจแม้มีเงินเท่าไหร่ก็ตาม เรื่องน่าสนใจมันคืออาหารพื้นเมืองตามถนนคนเดินในตลาดถัดไปอีกมุมถนน สองเท้าย้ำลงบันไดอย่างเร่งรีบสาวเท้ายังจุดหมาย เห็นแสงไฟดวงเล็กๆ ตามร้านแผงลอยระยิบระยับ กล้องถูกยกขึ้นมาถ่ายภาพอันงดงามแล้วเจ้าของมันจึงดื่มด่ำกับบรรยากาศ ถนนคนเดิมมีสินค้าจำพวกเครื่องประดับพื้นเมือง ผ้าคลุมหน้า กำไลข้อมือ สร้อยคอ และเสื้อผ้าของชนพื้นเมือง แต่ตอนนี้ท้องของเธอร้องเลยเร่งฝีเท้าไปยังกลิ่นหอมกรุ่น เห็นไส้กรอกเนื้อถูกย่างอยู่บนเตาเลยซื้อเสียหนึ่งไม้รองท้องเสียก่อน มองอีกทางเห็นอิทผาลัมสดน่าทาน แต่ตัดสินใจซื้อน้ำทับทิมชิมสักแก้วแก้กระหายมันอร่อยมากทีเดียว อาหารที่นี่ส่วนมากเป็นนมแพะแม้แต่นมอูฐก็มี พวกผักและผลไม้ค่อนข้างเยอะ น่าแปลกอากาศร้อนขนาดนี้แต่พวกเขาสามารถผลิตพืชผลทางการเกษตรได้อย่างไร ยิ่งทำให้ชวนสงสัย เมื่ออิ่มท้องคนตัวเล็กยกเรียวแขนดูเวลาใกล้ห้าทุ่มแล้วแต่ยังไม่ง่วงเลย อาจเพราะมันต่างจากไทย คงต้องกลับเพราะตลาดกำลังวายแล้ว ร่างบางเดินทางกลับโรงแรมด้วยความอิ่มเอม เธอเดินมาถึงลิฟต์จังหวะนั้นไม่ได้ให้ความสนใจรอบข้างเพราะมัวแต่ดูภาพในกล้อง “อุ้ย!”เธอชะงักช้อนสายตามองคนที่ตนเองชนด้วยความตกใจ “ขอโทษนะคะ” หญิงสาวนิ่งงันดวงตาคมกริบนัยน์ตาสีอำพันนั้นราวกับมีมนต์ให้หยุดนิ่ง มือบางสั่นเทาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ และร่างกายกำลังถูกโอบประคองไม่ให้ล้มลง เธอจึงรู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกคนอื่นทำรุ่มร่ามอยู่ ร่างบางเบี่ยงหนีให้พ้นอ้อมแขนของชายแปลกหน้า อันมีหน้าตาหล่อเหลาและผิวพรรณผิดกว่าคนปกติโดยทั่วไป แต่ทว่าเธอไม่จำเป็นต้องสนใจแม้ตื่นตาตื่นใจในแรกเห็นก็ตาม “ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”นิลลนาบอกพร้อมก้มหน้ารับผิด “ไม่ครับ” น้ำเสียงทุ้มเยือกเย็นตอบกลับ “แล้วคุณเป็นอะไรหรือเปล่า” คนตัวเล็กส่ายหน้าปฏิเสธ พยายามไม่สบตาคู่สนทนาเพราะคิดว่าตนคงเสียเปรียบ ดวงตาคมกริบเหมือนมีแรงดึงดูดใจเลยสั่นสะท้าน “ไปกันเถอะดีล คุณมีประชุมพรุ่งนี้นะ” นิลลนาหันมองชายหนุ่มอีกคน หน้าตาคมเข้มไม่แพ้กัน ดวงตาสีดำสนิท มีหนาวเคราเขียวขรึมเหมือนเพิ่งโกนใหม่ ท่าทางดูเหมือนบอดี้การ์ดประจำตัวชายที่ชื่อดีล “รู้แล้วอัสลัน” เธอเห็นเขาตอบเพื่อน แล้วหันมาสบตาต่อ “คุณเป็นนักท่องเที่ยวใช่ไหม” “ใช่ค่ะ”นิลลนาตอบเสียงแผ่ว รู้สึกเกร็งความจริงเขาควรไปเสียทีตามความต้องการของเพื่อน “เป็นคนเอเชียเหรอ มาจากประเทศอะไรล่ะ” “ประเทศไทย” มือบางอันสั่นเทาถูกกุมแล้วดึงขึ้นมาจุมพิตอย่างกะทันหัน นิลลนาตาโตด้วยความตกใจรีบชักมือกลับหน้าตาตื่น “คุณทำอะไร!”เธอร้องถาม “จูบมือคุณไง ผมพอใจคุณไม่รู้เหรอ” นิลลนาหน้าแดง ทำไมเขาถึงทำอะไรรวดเร็วราวกับผู้หญิงเป็นเหมือนตุ๊กตาไปได้ เพิ่งรู้จักมาทำสนิทสนมขนาดนี้มากเกินไป “แต่ฉันไม่ชอบค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”หญิงสาวตัดบทแล้วเดินหนีไปทันที ข้อมือบางถูกรั้งไว้ทันที แล้วตวัดให้หันกลับมา โน้มใบหน้าเข้าใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นรดใบหน้า นิลลนาตระหนกยกมือดันออกห่างแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับไว้แน่นไม่ยอมให้ทำตามใจ “ปล่อยฉันนะคะ!” เธอส่งเสียงบ่งบอกถึงความไม่พอใจ “ผมมีอะไรไม่ดีงั้นเหรอ คุณถึงไม่อยากคุยด้วย” นิลลนากัดฟันแน่น ต่อให้หน้าดีหล่อเหลาแค่ไหน หากมารยาททรามเธอก็ไม่มีวันญาติดีด้วยหรอก “ไม่ดีทั้งหมดนั่นแหละค่ะ ปล่อยฉันได้แล้ว ฉันไม่ชอบ คุณเป็นใครมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้!” คนตัวเล็กพยายามบิดแขนตนเองให้พ้นจากการฉุดรั้งของอีกฝ่าย แล้วหันหน้าหนีตลอดเวลา “คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณกำลังพูดอยู่กับใคร ผู้หญิงคนไหนเห็นหน้าผมก็ต้องการผมกันทั้งนั้น” “แต่ไม่ใช่ฉัน!” หญิงสาวเถียงกลับตวัดสายตามอง จังหวะนั้นใบหน้าเขาเคลื่อนใกล้จนริมฝีปากแทบชิด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD